ตอนที่ 75 พาเธอกลับสั่งสอนให้ดีดี
กลับมาถึงคฤหาสน์ มู่น่อนน่อนดูในเว็บก่อน เพื่อดูว่ามีข่าวคราวที่เกี่ยวกับเธอเผยออกมาหรือเปล่า
เธอเลื่อนดูพอนานสักพักก็ไม่มี เลยไอที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร
ถึงเวลากินข้าว เฉินถิงเซียวยังคงเช่นเคยไม่ออกมาให้เห็นหน้า “เฉินเจียฉิน” ก็ไม่รู้หายไปแล้ว
เธอนี่ก็พึ่งสังเกตเห็นว่า ราวว่าตอน “เฉินเจียฉิน” อยู่บ้าน มักจะดูยุ่งมาก ไม่ค่อยทานข้าวที่บ้าน
มู่น่อนน่อนส่ายหัว รู้สึกว่าตัวเองอาจจะถูก “เฉินเจียฉิน” กดดันจนบ้าไปแล้ว เขาไม่อยู่บ้าน เธอกลับมีความรู้สึกไม่ค่อยชิน
วันต่อมา
สือเย่ขับรถมาหน้าประตูตรงเวลาเพื่อส่งเธอไปทำงานที่บริษัทมู่ซื่อ
ตอนกลับมานั้น สือเย่เห็นแต่ไกลมีรถคันหนึ่งจอดหน้าประตูคฤหาสน์
ตอนเขาจอดรถแล้วเดินเข้าไป ถามบอดี้การ์ด “มีคนมาหาคุณชายเหรอ? ”
บอดี้การ์ดพยักหน้าพูดขึ้น “คุณนางท่านนั้นบอกว่าเธอคือคุณแม่ของคุณผู้หญิงครับ”
เนื่องด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของเฉินถิงเซียวพิเศษหน่อย ในคฤหาสน์เลยมีบอดี้การ์ดหลายคนเฝ้าอยู่ หลายปีนี้เขาไม่ได้ออกมาให้ทุกคนได้เห็น ฉะนั้นแล้วการเดินทางลับแบบนี้มักมีเพื่อนฝูงที่ให้เห็น คนที่จะมาหาเขาน้อยยิ่งกว่าน้อย
ถึงแม้จะมีคนมาหาเขา ก็ไม่สามารถเจอเขาได้ง่ายๆ
สือเย่ฟังแล้ว ก้าวเท้าเดินเข้าไป พลางเห็นเซียวชู่เหอที่นั่งอยู่บนโซฟา
เขาเคยช่วยเฉินถิงเซียวสืบข้อมูลมาก่อน เลยรู้ว่าเธอคือเซียวชู่เหอ
แต่ว่า ตัวจริงของคุณนายมู่คนนี้ดูดีกว่าในรูปเยอะ ดูออกว่าตอนสาวนั้นมีหน้าตาที่สวยงามไม่น้อย
เขาเรียกบอดี้การ์ดมาคนหนึ่งพูดขึ้น “เสิร์ฟน้ำช้าให้คุณนายมู่ก่อน”
เขาพูดจบ พลางเดินไปหาเฉินถิงเซียวที่ห้องทำงาน
สองวันนี้ เฉินถิงเซียวให้สือเย่ส่งมู่น่อนน่อนไปบริษัทก่อน จากนั้นค่อยมารับตัวเองไปบริษัทเสิ้นติ่ง ตอนนี้คนเขาอยู่ที่ห้องทำงาน
สือเย่เปิดประตูเข้าไป รายงานอย่างเคารพ “คุณชาย คุณนายมู่มาแล้วครับ”
“คุณนายมู่คนไหน? ” เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่เงยหน้า ดูออกว่าตอบสนองไม่ทันกับ “คุณนายมู่” ที่เขาพูดถึงคือใคร
“คุณแม่ของคุณผู้หญิงครับ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น คิดไปสักพัก แล้วคาดเดาเป้าหมายที่เซียวชู่เหอมาหาเขาโดยประมาณ
สายตาเขามีความดูดีแวบผ่าน “ให้เขาเข้ามา”
……
ตอนเซียวชู่เหอมาถึงห้องทำงาน เดิมคิดว่าสามารถเจอเฉินถิงเซียว แต่กลับรู้ว่าเขานั่งหันหลังให้เธออยู่ ไม่ได้แสดงหน้าให้เธอเห็น
สือเย่ที่ยืนข้างพูดขึ้น “คุณนายมู่มีอะไรก็พูดมาเลยครับ”
เซียวชู่เหอดึงแขนเสื้อทีหนึ่ง ทำหน้ารู้สึกผิดเริ่มพูดขึ้นมา “คุณชายเฉิน ฉันมาวันนี้ เพราะมาขอโทษคุณแทนลูกสาวฉัน”
เธอพูดจบ เห็นเฉินถิงเซียวไม่มีการตอบสนองใดๆ เห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เธอจึงพูดต่อ “ฉันไม่ได้สั่งสอนเขาดีดีเอง ทำให้เขาต้องทำเรื่องผิดต่อคุณ เดิมทีเขาสามารถแต่งงานเข้าตระกูลเฉินแทนพี่สาวเขาได้ พวกคุณไม่เอาเรื่องก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว แต่ไม่คิดว่าเขาไม่เพียงไม่เห็นบุญคุณ กลับฉวยโอกาสตอนคุณไม่อยู่ อ่อยน้องชายคุณแล้วทำเรื่องแบบนั้นกับน้องชายคุณ…”
ไม่ต้องบอกว่าเฉินถิงเซียวมีความคิดยังไง แม้แต่สือเย่ยังมึนงงทั้งหน้า
ไม่ใช่ว่าช่วงนี้คุณหญิงกับคุณชายรักดีดีกันหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน
มีแม่แท้ๆ ที่ไหนจะวิ่งโร่มาลูกเขยเพื่อจัดการลูกสาวของตัวเองกัน
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวเองก็รู้ว่าความสัมพันธ์ครอบครัวของตระกูลมู่ยุ่งยากขนาดไหน เซียวชู่เหอไม่ได้เอ็นดูมู่น่อนน่อน กลับใจใส่แต่พวกมู่หวั่นขีสองคนพ่อลูกนั้น วันนี้ถือว่าได้สัมผัสกันมันอย่างแท้จริงแล้ว
ในตอนที่เขากำลังจะอ้าปากพูด ทันใดนั้นประตูก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง ชนเข้ากับกำแพง จนเกิดเสียงดัง ปึง
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงนี้ ก็ใบหน้าเรียบตึง ไม่ต้องหันไปมองเขาก็เดาได้ว่าเป็นใคร
เซียวชู่เหอและสือเย่ที่ได้ยินก็หันไปมอง ก็พบเห็นเป็นคนที่ควรทำงานอยู่ที่บริษัทอย่างมู่น่อนน่อนกลับมา ยืนอยู่ที่ปากทางประตูด้วยสีหน้าเย็นชา สายตานิ่งเรียบราวกับวิญญาณ
มู่น่อนน่อนสบสายตากับเซียวชู่เหอ และเอ่ยขึ้นเบาๆ “แม่ แอบมาเจอหน้าสามีของฉันเพื่อฟ้องแบบนี้ ทำไมถึงไม่เรียกฉันมาเผชิญหน้าด้วยล่ะ”
“เธอ… เธอไม่ใช่ว่าอยู่ที่บริษัทหรือ” สีหน้าของเซียวชู่เหอซีดเผือดไปในทันที
ในเวลานี้ เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนแล้วว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของเธอเหมือนดั่งในอดีตอีกแล้ว บางครั้งสายตาของมู่น่อนน่อนที่เผยออกมาอย่างกะทันหันนั้น ก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวได้จริงๆ
“หากฉันไม่กลับมา แล้วจะได้ว่าแม่เจตนาดีต่อฉันแบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ” มู่น่อนน่อนกล่าว พลางเดินเข้าไปหาเซียวชู่เหอย่างช้าๆ
เธอไปถึงบริษัทแล้ว หน้าที่ในวันนี้คือออกไปสำรวจตลาดข้างนอก ในตอนที่ออกมาถึงได้พบว่าตัวเองนั้นลืมเอาโทรศัพท์มาด้วย จึงได้กลับมาเอา
ในตอนที่เดินผ่านห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของเซียวชู่เหอดังขึ้นมา
“แม่ขอโทษสามีของฉันแทนฉันอย่างนั้นหรือ” มู่น่อนน่อนแค่นหัวเราะ ดวงตายิ้มนั้นแฝงไปด้วยความเย็นชาอย่างสุดซึ้ง “แม่เป็นแม่ที่ดีของฉันจริงๆ”
เซียวชู่เหอถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว และหยิบของหนึ่งสิ่งออกมาจากที่ตรงไหนก็ไม่รู้ “ฉัน… ฉันมีหลักฐาน”
มู่น่อนน่อนจ้องมอง ถึงได้สังเกตเห็นว่าสิ่งที่เธอนำออกมานั้นคือปากกาบันทึกเสียงด้ามหนึ่ง
แต่เดิมที่เซียวชู่เหอมาหาเธอเมื่อวาน ก็เพราะมีความคิดแบบนี้นี่เอง
เป็นไปได้ยากที่คนขี้ขลาดอย่างเซียวชู่เหอ จะกล้ามาหาเฉินถิงเซียว ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความก็พอจะรู้ จะต้องเป็นมู่หวั่นขีที่มีมู่ลี่เหยียนคอยหนุนหลัง ที่สั่งให้เซียวชู่เหอทำแบบนี้
มู่ลี่เหยียนยังคงหวังว่ามู่น่อนน่อนจะช่วยเขากู้เงินจากเฉินถิงเซียวได้ หากเขารู้ แน่นอนว่าจะต้องไม่ให้มู่หวั่นขีทำเรื่องแบบนี้
เซียวชู่เหอได้กดปุ่มเล่นการบันทึก บันทึกเสียงนี้ไม่ยาว และมีเพียงสองประโยคที่เป็นประโยคใจความสำคัญที่สุด
“บอกความจริงกับฉันมา เธอกับลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียวคนนั้น ได้อยู่ด้วยกันจริงหรือไม่ ครั้งนั้นฉันเห็นพวกเธอในรถ…”
“เกี่ยวอะไรกับแม่ด้วยกัน ต่อให้ฉันกับลูกพี่ลูกน้องของเขาจะอยู่ด้วยกันแล้วมันเป็นอย่างไร”
มู่น่อนน่อนจำได้แม่น คำพูดของเธอในตอนนั้น เหมือนจะเป็น “ทำไมจู่ๆ แม่ก็ใส่ใจเรื่องของฉันขึ้นมา แม่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
บันทึกเสียงที่ต้นทุนต่ำแบบนี้ ก็ยังกล้าเอามาใช้ใส่ร้ายเธอ
เป็นเพราะก่อนหน้านี้มู่หวั่นขีได้แอบถ่ายภาพของเธอกับ “เฉินเจียฉิน” และเอาภาพนั้นซื้อสื่อข่าวให้ลงข่าว แต่ผลสุดท้ายข่าวนั้นกลับไม่มีผลกระทบอะไรกับมู่น่อนน่อนแม้แต่นิด ดังนั้นสุนัขจนตรอก จึงคิดจะเอาเรื่องนี้มาบอกกับเฉินถิงเซียวโดยตรง
“คุณชายเฉิน คุณลองฟังดู น่อนน่อนยอมรับด้วยตัวเอง ที่เธอทำเรื่องแบบนั้นลงไป ทั้งหมดเป็นเพราะฉันไม่ได้ทำการสั่งสอนให้ดีในฐานะคนเป็นแม่ ฉันยินดีที่จะพาเธอกลับไปสั่งสอนให้ดี คุณชายเฉิน คุณดู…”
มู่น่อนน่อนโมโหจนอยากจะหัวเราะ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำเพียงเงยหน้ามองไปทางเฉินถิงเซียว
บรรยากาศในห้องหนังสือเงียบไปอึดใจ น้ำเสียงแหบแห้งของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา “เธอแต่งเข้าตระกูลเฉินของผม ก็เป็นผู้หญิงของเฉินถิงเซียว ผมคนนี้ ผู้หญิงของผม ต้องมีคนมาคอยสนใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“แต่ว่าเธอ…” เซียวชู่เหอไม่คิดว่าเฉินถิงเซียวจะมีท่าทีตอบกลับมาแบบนี้
ในตอนที่เธอมา หวั่นขีบอกเธอว่า เพียงเธอเอาที่อัดเสียงออกมา จะต้องทำให้เฉินถิงเซียวเดือดดาลได้แน่ๆ และเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะรีบไล่มู่น่อนน่อนออกไป…
ถึงแม้ในใจของมู่น่อนน่อนจะรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวไม่มีทางเชื่อบันทึกเสียงที่ปลอมขึ้นมานี้ แต่คำพูดของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา น้ำเสียงของเธออ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว “ขอโทษด้วยนะคะ ที่มีคนมารบกวนคุณเพราะเรื่องของฉัน”