ตอนที่ 80 ไม่ได้มาดี
เรียกได้ว่ามู่ลี่เหยียนนั้นรักมู่หวั่นขีโดยไม่ใช้สมองครุ่นคิดและยำเกรงต่อสิ่งใดทั้งนั้น
ย่อมชอบฟังคนยกยอมู่หวั่นขีอยู่แล้ว
พูดกันอย่างตรงไปตรงมา มู่น่อนน่อนก็อยู่ในตระกูลมู่มานานหลายปี เชื่อฟังไม่น้อยไปกว่าสุนัขบ้าน ดังนั้นการที่เธอมาพูดเช่นนี้ ก็ทำให้มู่ลี่เหยียนเองก็เชื่ออยู่บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น มู่น่อนน่อนก็ยังบีบน้ำตาออกมาหลายหยด
ในที่สุดมู่ลี่เหยียนก็ผ่อนคลายลง “โอเค ฉันจะทำเรื่องย้ายเธอไปก่อน หากเธอความสามารถไม่ถึง ฉันก็จะย้ายเธอกลับมา”
มู่น่อนน่อนยิ้มหวานให้กับเขา “ขอบคุณค่ะพ่อ”
มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีวิสัยทัศน์ มู่น่อนน่อนในตอนนี้สวยแล้ว แม้แต่มู่ลี่เหยียนเองก็รู้สึกว่าสบายตาขึ้นมากยามที่มองเธอ เสียงที่เอ่ยว่า “ขอบคุณค่ะพ่อ” ก็ฟังรื่นหูยิ่งขึ้น
“เธอกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกหวั่นขีก่อน แล้วจะกลับมาบอกให้เธอย้ายไป”
มู่น่อนน่อนออกมาจากออฟฟิศของมู่ลี่เหยียน ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มจางลงไป ยื่นมือขึ้นมาเช็ดรอยน้ำตาบนใบหน้า และมุมปากก็ยกยิ้มเยาะเย้ย
…..
ทันทีที่มู่น่อนน่อนออกไป มู่ลี่เหยียนก็ต่อสายภายในเรียกมู่หวั่นขีให้มาหา
ทันทีที่มู่หวั่นขีเข้ามา ก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พ่อ เรียกฉันมาทำไม ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกมากเลยนะ”
มู่ลี่เหยียนไม่ได้สนใจท่าทางของเธอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เมื่อครู่มู่น่อนน่อนมาหาพ่อ บอกว่าอยากย้ายไปทำงานกับลูก อยากจะเรียนรู้จากลูก ลูกเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
“เธอเป็นคนพูดหรือ” มู่หวั่นขีได้ยินเช่นนั้น สองตาก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ เธอพูดขึ้นมาเองเลย”
“เธออยากจะมาเรียนกับฉันจริงๆ หรือ เธอคงกำลังคิดจะทำอะไรอีกแน่ๆ” มู่หวั่นขีแค่นเสียงในลำคอ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ขอต่อรอง “พ่อ ฉันไม่ให้เธอย้ายมาทำที่ฝ่ายฉัน แค่เห็นเธอก็รำคาญแล้ว”
แต่เดิมมู่ลี่เหยียนก็คิดที่จะต่อรองกับมู่หวั่นขี แต่เมื่อเห็นท่าทีที่แข็งกร้าวไม่ไว้หน้าเขาของมู่หวั่นขีแล้ว เขาก็อดที่จะโมโหขึ้นมาไม่ได้ “หวั่นขี ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกเธอก็เป็นพี่น้องกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังต้องพึ่งพาให้เธอไปช่วยพูดกับเฉินถิงเซียวเรื่องเงินลงทุนของบริษัทเรา เรื่องถูกตกลงเรียบร้อยแล้ว พ่อจะย้ายเธอไปแผนกของลูก ดูเธอให้ดีด้วย”
มู่หวั่นขีไม่พอใจ และบันดาลโทสะออกไปตรงๆ “พ่อ ทำไมพ่อถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ฉันพูดไปแล้วไงว่าไม่อยากให้เธอย้ายไปแผนกฉัน พ่อฟังไม่เข้าใจหรือ”
มู่ลี่เหยียนตะโกนเสียงดัง “มู่หวั่นขี”
เมื่อรับรู้แล้วว่าเขาโกรธจริงๆ มู่หวั่นขีก็ต้องให้ความร่วมมือแต่โดยดี “ก็ได้ๆ ตามใจพ่อเลย”
มู่หวั่นขีกล่าวจบ ก็รีบออกไปทันที
ตอนที่ออกไป ก็ยังปิดประตูเสียงดังสนั่น “ปึง”
คิ้วของมู่ลี่เหยียนขมวดแน่น รู้สึกว่าตัวเองนั้นตามใจมู่หวั่นขีเกินไปแล้วใช่ไหม เธอถึงได้จักแต่จะสาดอารมณ์ยามที่อยู่ต่อหน้าเขาอย่างเดียว
…..
โดยเร็วมู่น่อนน่อนก็ได้รับประกาศให้ย้ายแผนก
เธอเก็บของของตัวเองอย่างง่ายดาย และบอกลากับเพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคยกันสองสามคน และอุ้มกล่องตรงไปยังแผนกโครงการ
เธอยืนอยู่ที่หน้าประตูออฟฟิศผู้จัดการ แล้วเคาะประตูออฟฟิศของมู่หวั่นขี
ไม่นาน ข้างในก็มีเสียงของมู่หวั่นขีดังออกมา “เข้ามาได้”
มู่น่อนน่อนเปิดประตูเข้าไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ต่อจากนี้คงต้องขอให้พี่สาวแนะนำกันเยอะๆ ด้วยนะคะ”
ทันทีที่มู่หวั่นขีเห็นเธอสีหน้าก็ย่ำแย่ทันที
“ที่นี่คือบริษัท เรียกฉันว่าผู้จัดการมู่”
มู่น่อนน่อนก็รีบเรียกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการมู่”
มู่หวั่นขีเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเธอ ทันใดนั้นก็รู้ว่าตัวเธอเหมือนถูกกดหัว
ดังนั้นเธอจึงให้คนไปเอาเอกสารที่ไม่มีประโยชน์อะไรมา แล้วให้มู่น่อนน่อนไปถ่ายเอกสาร หลังจากนั้นก็ให้เธอนำเอกสารนั้นไปทำลาย
มู่น่อนน่อนทำแต่เรื่องนี้ทั้งวัน
คิดไว้ว่า มู่น่อนน่อนทำไปได้สักพักต้องมาอารมณ์เสียใส่เธอแน่ ไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนยังคงทำตามแบบนั้นอยู่ทั้งวัน โดยที่ไม้บ่นเลยแม้แต่นิดเดียว
นั้นทำให้มู่หวั่นขีรู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อวานมู่น่อนน่อนยังมาหาเรื่องเธอถึงออฟฟิศด้วยท่าทีดุดัน วันนี้นิสัยเปลี่ยนไปแล้วหรือ
แต่เธอก็ไม่เชื่ออยู่ดี
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน มู่หวั่นขีก็ให้คนนำเอกสารกองโตไปให้มู่น่อนน่อนแล้วให้เธอถ่ายเอกสาร
จนกระทั่งคนอื่นออกไปจนหมด มู่น่อนน่อนก็ยังถ่ายไม่เสร็จ
มู่หวั่นขีไปห้องถ่ายเอกสาร เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนยังคงตั้งใจถ่ายเอกสารอยู่ที่ตรงนั้น เธอเดินไปหาโดยที่ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “มู่น่อนน่อน เธอกำลังจะเล่นเกมอะไรอีกกันแน่ เธอหลอกพ่อของฉันได้ แล้วเธอคิดว่าเธอจะหลอกฉันได้ด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ฉันหลอกอะไรเธอกัน ฉันเพียงรู้สึกว่าพี่สาวของฉันนั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ ดังนั้นเลยอยากจะมาเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เธอดูแล”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนของมู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงเองก็เปลี่ยนไปลึกซึ้ง “หากฉันไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นจะคิดไปว่าพี่สาวไร้ความสามารถหรือไม่”
มู่หวั่นขีหัวเราะเยาะ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ได้มาดี”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเธอ แล้วจัดการเอกสารในมือต่ออย่างไม่รีบร้อน และไม่สนใจเธออีก
ได้ยินคนในบริษัทพูดมาตั้งนานแล้ว ว่ามู่หวั่นขีที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการของแผนกโครงการ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดนั้นเป็นความดีความชอบของคนที่อยู่ภายใต้การดูแลทั้งนั้น
“แค่พ่อรู้ว่าฉันมาเรียนรู้จากเธอด้วยใจจริงก็พอแล้ว ส่วนฉันนั้นจะมาดีหรือไม่ สำคัญที่ตรงไหนกัน” มู่น่อนน่อนยิ้มเย้ยหยัน หยิบเอกสารถ่ายสำเนาใบสุดท้ายออกมา และหันหลังเดินออกไป
…..
ค่ำคืนของฤดูหนาวมาถึงอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนออกมาจากบริษัทมู่ซื่อ ก็ใกล้จะหนึ่งทุ่ม ท้องฟ้าได้มืดแล้ว
สือเย่ได้มารออยู่สักครู่แล้ว
เธอขึ้นรถ และกล่าวกับสือเย่ว่า “ไม่ต้องมารับฉันทุกวันก็ได้ ฉันนั่งรถกลับไปเองได้”
ที่ผ่านมาเธอไม่เคยได้รับสวัสดิการที่มีรถคอยมารับมาส่งแบบนี้มาก่อน ถึงแม้จะรู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนใจดี แต่เธอก็ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่นัก
น้ำเสียงของสือเย่ยังคงจริงจังเช่นเดิม “คุณชายสั่งมาครับ นี่คือหน้าที่ของผม”
เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งก่อน “เฉินเจียฉิน” ได้ยัดบัตรดำใส่มือของเธอ
เธอวางกระเป๋าลง หยิบบัตรดำใบนั้นและไปหาเฉินถิงเซียวที่ห้องหนังสือ
เวลาที่เขาอยู่บ้าน เวลาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ห้องหนังสือ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังยุ่งอยู่กับอะไร
เฉินถิงเซียวยังคงไม่เผยใบหน้าดังเก่า นั่งหันหลังให้กับเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “มีธุระอะไร”
“ฉันเจอบัตรดำที่บ้านใบหนึ่ง ฉันคิดว่าน่าจะเป็นของคุณ” มู่น่อนน่อนไม่กล้าพูดว่าบัตรใบนี้เป็น “เฉินเจียฉิน” ที่ให้เธอมา
เฉินถิงเซียวเงียบไปอึดใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นมา “ไหนๆ ก็เจอแล้ว ก็เก็บไว้ใช้เถอะ”
“แต่ฉันได้ยินคนเขาพูดว่าบัตรใบนี้มีค่ามาก…” ทำเสิ่นชูหานและมู่หวั่นขีแตกตื่นได้ จะไม่มีค่าได้อย่างไรกัน
ไม่สามารถฟังจากน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวออกได้ว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหน “ต่อให้มีค่าก็ต้องมีคนนำไปใช้ มันถึงจะเป็นของที่มีประโยชน์”
มู่น่อนน่อนชะงักนิ่งไปอึดใจ แล้วก็รู้สึกว่าคำพูดของเขานั้นสมเหตุสมผลเป็นพิเศษ จนทำให้เธอหาคำพูดมาแย้งกลับไม่ได้
เมื่อเห็นว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรอีก มู่น่อนน่อนก็หันหลังกลับเดินออกไป
ตอนเย็นเสิ่นเหลียงโทรมาหาเธอ บอกว่าพรุ่งนี้จะกลับแล้ว
“จองสถานที่ แล้วไปทานข้าวด้วยกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนมองบัตรสีดำในกระเป๋าของตัวเอง และเอ่ยเบาๆ “แบบนั้นไปโรงแรมจีนติ่งกันเถอะ”
“เธอถูกรางวัลห้าล้านหรือ”
“ก็ประมาณนั้น…มั้ง” เฉินถิงเซียวกล่าว ต่อให้เป็นของที่มีค่า ก็ต้องมีคนนำไปใช้ถึงจะแสดงประโยชน์ของมันออกมาได้
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจจะใช้มัน