บทที่ 144 ฉันช่วยคุณได้
เสิ่นเหลียงเพิ่งจะจากไป เฉินถิงเซียวก็มาถึงพอดี
เขาขับรถเบนท์ลีย์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นซึ่งว่ากันว่ามีมูลค่าหลายสิบล้าน มาหยุดที่ประตูห้างสรรพสินค้า ก็เป็นที่สะดุดตาของผู้คน
มู่น่อนน่อนรีบเปิดประตูและเข้าไปในรถ เร่งรัดเขาว่า“รีบไปเถอะ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ติดเครื่องยนต์ในทันที แต่กลับค่อยๆโน้มตัวมาช่วยเธอรัดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นก็เอามือข้างหนึ่งเกาะที่เบาะนั่งเธอ อีกมือเกาะที่ประตูรถถามเธอด้วยท่าทางสนิทสนม“สีหน้าไม่ค่อยดี เสิ่นเหลียงพาคุณไปดูหนังอะไร”
มู่น่อนน่อนหดตัวไปด้านหลังด้วยความเคยชิน พูดว่า“หนังแฟนตาซี”
“เนื้อเรื่องเศร้ามากเลยเหรอ”
“เปล่า……”
“อย่างนั้นทำไมสีหน้าคุณถึงแย่แบบนี้ล่ะ”เฉินถิงเซียวพูดพลาง ยื่นมือไปแตะใบหน้าของเธอ
มู่น่อนน่อนหดถอยหลังตามสัญชาตญาณ มือของเฉินถิงเซียวจึงตกลงกลางอากาศ แข็งเกร็งค้างอยู่กลางอากาศ
บนใบหน้าของเขาไม่ได้มีสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่กลับเป็นความกดดันบางอย่างที่อธิบายไม่ได้พุ่งเข้ามาทำให้คนรู้สึกบีบคั้น นี่ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายอย่างมาก
เส้นประสาทที่ตึงเครียดมาตลอดหลายวันนี้ ในที่สุดก็ขาดผึงในวินาทีนี้เอง
ใบหน้าของมู่น่อนน่อนคือความรู้สึกที่แหลกสลาย“การตายของพ่อเถาปิง เกี่ยวข้องกับคุณใช่หรือไม่”
เฉินถิงเซียวเงยหน้า ดวงตาดำขลับลึกล้ำเหมือนกับวังน้ำวนที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง เสียงของเขาทั้งทุ้มและเย็นชา“คุณยังเดาอะไรได้อีก”
“นี่คุณยอมรับแล้วเหรอ”มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เสียงสั่นเครือเล็กน้อย
เธอไม่รู้จักเฉินถิงเซียวดีเลยจริงๆ
แม้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตเธอจะไม่อยู่อย่างสุขสบายมากนัก แต่เรื่องที่เอาชีวิตคนมาบีบเอาไว้ในกำมือจนตายเหมือนเป็นของเล่นแบบนี้ กลับไม่อาจทำใจยอมรับได้ง่ายๆขนาดนั้น
ครั้งก่อนโจรสองคนที่จับเธอไปเรียกค่าไถ่ เดิมก็เป็นนักโทษหนีคดีอยู่แล้ว ถูกตำรวจจับกลับไปก็ต้องถูกยิงตาย ดังนั้นความรู้สึกของมู่น่อนน่อนจึงไม่ได้หนักใจอะไรมากขนาดนั้น
แต่ครั้งนี้ เฉินถิงเซียวด้วยความรวดเร็วขนาดนี้ ก็สามารถกำจัดพ่อของเถาปิงได้มู่น่อนน่อนรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นเล็กน้อย
“เขาสมควรตาย”เฉินถิงเซียวกระตุกริมฝีปาก ภายในรอยยิ้มแฝงความกระหายเลือด“ คนพวกนั้นสมควรตาย เถาจื้หลินไม่ใช่คนสุดท้าย”
พ่อของเถาปิงชื่อว่าเถาจื้หลิน
“คุณฉลาดขนาดนั้น คุณสามารถหาตัวคนร้ายได้ จากนั้นคุณก็ส่งพวกเขาให้ตำรวจ……”มู่น่อนน่อนกลัวเฉินถิงเซียวแบบนี้เล็กน้อย แต่กลับยังกล้าเกลี้ยกล่อมเขา
รอยยิ้มมุมปากของเฉินถิงเซียวยิ่งลึกมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาท่ามกลางแสงไฟสลัวเห็นความผิดปกติอย่างชัดเจน“ผมฉลาดเหรอ แต่สิบห้าปีผ่านไปแล้ว ผมก็ยังหาตัวคนร้ายไม่เจอเลย ดังนั้นผมได้แต่หาคนที่มีความเกี่ยวข้องทีละคน แล้วก็จัดการกำจัดทิ้งละคน”
มู่น่อนน่อนกำสองมือเอาไว้แน่นโดยไม่อาจควบคุมได้
เฉินถิงเซียวเขยิบเข้าใกล้เธอ แตะบนใบหน้าเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นก็กระซิบข้างหูเธอว่า“ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับวิธีของผม คุณไปแจ้งตำรวจได้”
มู่น่อนน่อนเกร็งไปทั้งตัว กัดริมฝีปากไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เงยหน้าสบตากับเฉินถิงเซียว
แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเฉินถิงเซียว แต่ว่าเธอก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีทางไปแจ้งตำรวจ
เกี่ยวกับเรื่องของแม่ เฉินถิงเซียวมีความเปราะบางเล็กน้อยอยู่แล้ว
ต่อให้เธอไปแจ้งตำรวจจริง ตำรวจจับตัวเฉินถิงเซียวไปได้ แต่เธอมั่นใจมากว่า ต่อให้เฉินถิงเซียวอยู่ในคุก เขาก็ยังสามารถหาวิธีฆ่าคนที่มีความเกี่ยวข้องกับคดีนั้นได้อยู่ดี
เฉินถิงเซียวมีความสามารถที่จะทำแบบนี้
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวสีหน้าขรึมลง น้ำเสียงแหบพร่าลงเล็กน้อย“นี่ยังอยู่ในรถ อย่ามองผมแบบนี้”
เขาชอบดวงตาคู่นี้ของมู่น่อนน่อนอย่างยิ่ง สดใสเย้ายวน
มู่น่อนน่อนรีบดึงสติกลับมา หันหน้าไปมองทางอื่น
……
พอกลับมาถึงคฤหาสน์ เฉินถิงเซียวก็พามู่น่อนน่อนไปที่ในห้องนอน ยึดเธอไว้ที่บานประตูแล้วจูบเธอทันที
เวลานี้มู่น่อนน่อนไม่มีกะจิตกะใจจะทำเรื่องแบบนี้กับเขา แต่ก็หนีไม่พ้น
เธอหาโอกาสอ้าปากพูด“หลายวันก่อนพ่อฉันไปต่างประเทศแล้ว อีกวันสองวันนี้ก็อาจจะกลับมาแล้ว”
การกระทำของเฉินถิงเซียวก็หยุดลง แต่กลับไม่ได้ปล่อยมู่น่อนน่อน“เขาไปต่างประเทศทำอะไร”
“คุณรู้แล้วยังจะถามอีก”มู่น่อนน่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก พูดว่า“คุณปู่คุณก็จะกลับมาแล้ว”
“จงใจบอกผมเรื่องนี้ทำอะไร”เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงมาที่ริมฝีปากเธอ จุมพิตลงไป“เวลาแบบนี้ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้”
“เพราะเรื่องนี้อยู่ในการควบคุมของคุณตั้งแต่แรก ดังนั้นต่อให้ฉันไม่บอกคุณ คุณก็รู้เรื่องนี้มานานแล้วใช่มั้ยคะ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ปฏิเสธจุมพิตของเขา แต่ก็ไม่ได้ตอบสนอง
เฉินถิงเซียวปล่อยเธออย่างหมดอารมณ์“ในเมื่อรู้แล้ว ทำไมยังจงใจพูดเรื่องนี้ให้ผมไม่พอใจอีก”
มู่น่อนน่อนไม่ได้คิดว่าวิธีการตามหาตัวคนร้ายของเฉินถิงเซียวไม่ถูกต้อง เธอคิดว่าวิธีการของเขาไม่ค่อยถูกต้องนัก
เขาหดหู่เกินไป วิธีการก็โหดเหี้ยมเกินไป
แต่ว่า เธอไม่รู้สื่อสารกับเฉินถิงเซียวอย่างไร
เฉินถิงเซียวแทบจะไม่ฟังที่เธอพูดเลย ไม่มีทางยอมรับความคิดเห็นของเธอ
ผ่านไปพักใหญ่ มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงตนเองพูดขึ้นมาว่า“เฉินถิงเซียว คุณอยากจะตามหาคนร้ายตัวจริงที่จับตัวแม่คุณไปเรียกค่าไถ่ ฉันช่วยคุณได้”
“ช่วยผมเหรอ”เสียงของเฉินถิงเซียวเบาแทบจะไม่ได้ยิน
แม่เป็นเด็กสาวที่มีความสามารถมาจากครอบครัวที่มีความรู้และประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงาม ในวัยแรกรุ่นเธอเป็นคนรักในความใฝ่ฝันของหนุ่มผู้ทรงพลังอำนาจทั่วทั้งเมืองหู้หยาง การผสมผสานระหว่างความสามารถและรูปลักษณ์ และเฉินชิงเฟิงพ่อของเขาในฐานะทายาทตระกูลเฉิน แน่นอนว่าเป็นคนที่โดดเด่นท่ามกลางผู้คนทั้งหมด
เฉินถิงเซียวลูกชายของเขา จึงได้เฉลียวฉลาดมากเป็นพิเศษ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ
หลังจากที่แม่ถูกทำร้าย เขาใช้เวลานานมากจึงได้เดินออกมาได้ ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเหมือนคนปกติ
แต่ช่วงเวลาคืนหนึ่งเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีดูเหมือนว่าช่างยาวนาน ลมหายใจที่หนักแน่นแต่กลับแฝงด้วยความหดหู่ เขาวิ่งไปที่สถานีตำรวจหลายครั้ง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งแอบพูดกับเขาตามความจริงว่า“คดีจับตัวเรียกค่าไถ่ของพวกคุณ ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็อยากจะไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง”
เฉินถิงเซียวรู้ดี คนที่อยากไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งก็คือตระกูลเฉิน
ตระกูลเฉินไม่มีทางยอมให้เรื่องที่แม่ของเขาถูกข่มขืนแพร่งพรายออกมา ดังนั้นจึงไม่อยากจะขุดคุ้ยให้ลึกลงไป
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เริ่มสืบคดีนั้นเอง
พ่อแท้ๆและพี่สาวฝาแฝดต่างไม่เชื่อเขา พวกเขาทั้งหมดรู้สึกว่าเขาช็อกเพราะบาดแผลทางจิตใจอย่างรุนแรงที่เขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ของเขาทั้งหมด ดังนั้นจึงถูกครอบงำทางจิตใจ
เวลานี้เอง มู่น่อนน่อนก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าจริงจังบอกว่าจะช่วยเขา
เสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำกว่าปกติ“ผมเชื่อว่าคดีของแม่ผม มีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง”
“ฉันไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัดของคดีนี้ แต่ฉันเชื่อคุณ คุณฉลาดขนาดนั้น คุณคิดว่ายังมีคนบงการเบื้องหลัง ก็ต้องมีแน่นอน ”
สายตาของมู่น่อนน่อนยืนหยัด ภายในดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อเขา
เฉินถิงเซียวจ้องเธอเขม็งอยู่หลายวินาที ทันใดนั้นก็ดึงเธอเข้าไปกอดแน่นอยู่ในอ้อมอก
เขาไม่พูดอะไร แต่มู่น่อนน่อนกลับสัมผัสได้ถึงความไม่เต็มใจและความเป็นเด็กกำพร้าภายในก้นบึ้งหัวใจของเขาที่ไม่เคยมีใครเข้าใจได้อย่างประหลาด
มู่น่อนน่อนยื่นมมือไปตบที่หลังเขาเบาๆ“แต่ว่า คุณต้องรับปากฉัน ว่าจะไม่…ฆ่าคนส่งเดช”