บทที่149 รบกวนเมียแล้ว
พอค้นหา กู้จือหยั่นพบว่าในอินเทอร์เน็ตก็มีคำถามแบบเดียวกันนี้มากมาย
ผลก็คือความคิดเห็นด้านล่างก็คล้ายกันแบบนี้:
“ผู้โพสต์คุกเข่าเรียกพ่ออยู่นานมากแค่ไหน”
“ไม่มีทาง คุณยังไม่ได้ให้อีกฝ่ายคุกเข่าให้ ตัวเองก็คุกเข่าลงไปก่อนแล้ว”
“คิดอย่างใสซื่อจริงๆ”
“เคยมีคนหนึ่งถามคำถามนี้ต่อมา……เขาตายแล้ว”
“……”
ล้วนมีแต่ความคิดเห็นบ้าๆพวกนี้
กู้จือหยั่นดูความคิดเห็นคล้ายๆกันนี้มากมาย พบว่าส่วนใหญ่มีแต่ความคิดเห็นแบบนี้
ยังมีหัวข้อคำถามนอกจากนี้ยังมีผู้โพสต์ต้นฉบับที่โพสต์คำถามประเภทนี้และกลับมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโพสต์ที่ติดตาม มีเพียงประโยคเดียว:“เป็นลูกชายนี่ดีมากเลยQAQ!”
กู้จือหยั่นโยนโทรศัพท์ไปข้างๆ นั่งลงเริ่มจัดการกับเอกสาร
สู้เฉินถิงเซียวไม่ได้ เขาก็สิ้นหวังมา
……
เฉินถิงเซียวขับรถใช้เวลายี่สิบนาทีกลับมาที่บ้าน
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนไล่ให้ช่างแต่งหน้าพวกนั้นไป พวกเขาก็ไม่ยอมไป
เธอได้แต่ให้คนดูแลต้อนรับให้พวกเขาดื่มชาในห้องโถง ส่วนเธอเองก็ไปที่ห้องครัวทำอาหารอย่างเชื่องช้า
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมา พวกเขาก็ดื่มชากันเต็มท้องแล้ว ตอนที่เห็นเฉินถิงเซียว เหมือนเห็นผู้ปลดปล่อย“คุณชายเฉิน!”
เฉินถิงเซียวกวาดสายตามองไป ถามบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆ“คุณผู้หญิงล่ะ”
“ที่ห้องครัวครับ” บอดี้การ์ดชี้นิ้วไปทางห้องครัว
มู่น่อนน่อนกำลังดูสูตรอาหาร ช่วงนี้เธอคิดค้นเมนูใหม่หลายอย่าง เย็นนี้วางแผนจะทำอาหารจานหนึ่งมาลองชิม
ตอนที่เธอกำลังเปิดตำราอาหารอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักสม่ำเสมอจากด้านนอกประตูดังเข้ามา
ที่แปลกประหลาดก็คือ พอเธอได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้เฉินถิงเซียวกลับมาแล้ว
เธอแสร้งทำเป็นไม่รู้ อ่านตาราอาหารของตนต่อไป
เฉินถิงเซียวเดินไป มองเห็นตำราอาหารในมือเธอจากทางด้านหลัง มองเห็นชื่ออาหารด้านบนก็ค่อยๆขมวดคิ้วพูดออกมาว่า “มะระยัดไส้มูส?”
“คุณกลับมาแล้วเหรอ” มู่น่อนน่อนพูดโดยไม่ได้หันกลับไปมอง เห็นชัดว่าเย็นชามาก
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปดึงตาราอาหารออกจากมือเธอ อาศัยร่างที่สูงสง่ายกขึ้นสูงๆ มู่น่อนน่อนหันกลับมาเขย่งปลายเท้าไปหยิบหนังสือ ผลก็คือเตี้ยกว่าเขาเยอะ ไม่มีทางจะหยิบหนังสือได้,
มู่น่อนน่อนมีความโมโหแบบที่ระงับเอาไว้ ตอนนี้ก็ยิ่งโกรธแล้ว
เธอเตะไปที่ขาของเฉินถิงเซียวอย่างโมโห“เอาตำราอาหารคืนให้ฉันนะ!”
“คุณดูตำราอาหารก็ไม่อยากมองผม” เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว พูดหาเรื่องอย่างไร้เหตุผลด้วยน้ำเสียงจริงจัง
มู่น่อนน่อนเชิดคางถลึงตาใส่เขา“ใช่สิ มองเห็นคุณก็รำคาญ”
เฉินถิงเซียวไม่เพียงไม่โกรธยังกลับยิ้ม เขาวางตำราอาหารไว้ด้านข้าง ก้มหน้าก็ประกบลงไปบนริมฝีปากของมู่น่อนน่อน กอดเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะตั้งสติกลับมาได้
พูดเสียงแผ่วเบาข้างหูเธอว่า“คุณอยากช่วยผมไม่ใช่เหรอ ก็ต้องรบกวนเมียแล้ว”
เสียงจองเขาเดิมก็ทุ้มต่ำน่าฟังอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจงใจกดเสียงให้ต่ำลงอีก แบบนี้เสียงที่เรียก“เมีย”ก็เพิ่มความ
อ่อนโยนชวนหลงใหลยิ่งนัก
มู่น่อนน่อนรู้สึกจั๊กจี้ที่หู ยื่นมือออกไปอยากจะเกาหู เฉินถิงเซียวกลับเหมือนเดาได้ว่าเธอจะต้องมีอาการแบบนี้ จึงกุมมือเธอเอาไว้อย่างเงียบๆ จูบเบาๆที่ข้างหูเธอ “ไปงานเลี้ยงมั้ย”
มู่น่อนน่อนจั๊กจี้จนหดคอลงไป พูดเสียงดังว่า“ฉันไป ฉันไปโอเครึยังล่ะ!”
“ลำบากคุณแล้ว” เฉินถิงเซียวจึงได้ปล่อยเธอ
หูของมู่น่อนน่อนค่อนข้างอ่อนไหว ตอนนี้แดงก่ำแล้ว เฉินถิงเซียวอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบิดเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนตีมือของเขาอย่างโกรธๆด้วยความเขินอาย“อย่ามารุ่มร่าม ฉันจะไปลองชุดราตรีแล้ว”
เฉินถิงเซียวก็ไม่พูดอะไร ได้แต่มองเธอยิ้มๆ
ดูเหมือนว่าเขาจะเจอจุดอ่อนอีกอย่างของมู่น่อนน่อนแล้ว
“มีอะไรน่าขำ ไม่ต้องขำเลย!”มู่น่อนน่อนผลักเขาออกไปอย่างหยาบคาย
หลังจากที่มู่น่อนน่อนลองชุดราตรีมาแล้วสี่ถึงห้าชุด ในที่สุดก็ลองชุดที่ถูกใจสไตลิสต์
ตามคำพูดของสไตลิสต์ ทุกชุดใส่แล้วดูดีหมด แต่เธอคิดว่ามู่น่อนน่อนยังสามารถลองชุดที่สวยกว่าได้อีก
ตอนที่นั่งอยู่หน้ากระจกถูกพวกเขาพลิกไปพลิกมา ในที่สุดมู่น่อนน่อนก็จิตใจสงบเย็นลง
เมื่อครู่เฉินถิงเซียวใช่เล่ห์มารยาผู้ชายหรือ
ก็เหมือนจะออดอ้อน……กับเธอ
ดูจากใบหน้าที่เย็นชาตามปกติของเฉินถิงเซียวก่อนที่เขาจะกอดเธอเรียกว่า “เมีย” อย่างแผ่วเบา ถือว่าเป็นการออดอ้อนแล้วจริงๆ
ผู้ชายอย่างเฉินถิงเซียวนี้เวลาออดอ้อนขึ้นมา ผู้หญิงก็ยังไม่อาจเข้าถึงได้จริงๆ!
……
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดมู่น่อนน่อนก็ถูกช่างทำผมพลิกกลับไปมาเสร็จแล้ว
สไตลิสต์พูดด้วยสีหน้าอึ้งทึ่งว่า“คุณหญิงน้อยแบบนี้สวยจริงๆเลยค่ะ ลงไปชั้นล่างให้คุณชายเฉินดูหน่อย!”
มู่น่อนน่อนมองดูในกระจก
ชุดราตรีร่างกายของเธอเป็นสีแดงฉูดฉาด บวกกับเดิมเธอก็มีผิวขาวเนียนอยู่แล้วราวกับว่ามันสามารถสะท้อนแสงได้
ผมหน้าม้าที่หน้าผากถูกหวีขึ้นไป เผยให้เห็นหน้าผากที่เรียบเนียน มีปอยผมเล็ก ๆ ตกลงมาที่แก้มทั้งสองข้าง ผมยาวตรงด้านหลังยังถูกทำให้เป็นลอนขนาดใหญ่ บวกลิปสติกสีแดงสดสีเดียวกับชุดราตรี ดูมีเสน่ห์มากยากจะใดเปรียบ
ตอนที่มู่น่อนน่อนมองแวบแรก ก็ตกใจเล็กน้อย
แต่หลังจากมองดูสักพัก ก็รู้สึกว่าไม่ได้ต่างอะไรจากปกติมากนัก ก็คือแต่งหน้าทำให้เธอดูโตขึ้นมีเสน่ห์มากขึ้นอีกนิด
ชุดราตรีต้องสวมรองเท้าส้นสูงจึงจะเข้ากัน มู่น่อนน่อนเมื่อก่อนไม่ค่อยได้ใส่รองเท้าส้นสูง ตอนลงไปชั้นล่างก็เกาะราวบันไดเดิน
ตลอดเวลาเฉินถิงเซียวนั่งอยู่ในห้องโถง ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงด้านหลัง ก็หันกลับไปมอง
มู่น่อนน่อนคาดหวังให้เขามองเล็กน้อย สไตลิสต์บอกว่าเธอแต่งแบบนี้สวยมาก เฉินถิงเซียวจะคิดว่าแบบนี้เธอสวยมากหรือเปล่า
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวมองเพียงแค่ไม่กี่วินาที ก็ละสายตาไปทางอื่น เดินมาประคองเธอ“ไม่ชินกับการใส่รองเท้าส้นสูง”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า“อืม เมื่อก่อนไม่ค่อยได้ใส่”
สไตลิสต์เลือกรองเท้าส้นสูงแปดเซนติเมตรให้เธอ บวกกับความสูงหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดของเธอ ตอนนี้ก็คือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้า
ส่วนเฉินถิงเซียวคือหนึ่งร้อยแปดสิบแปด ปกติความสูงทั้งสองต่างกันยี่สิบกว่าเซ็น แต่ตอนนี้มู่น่อนน่อนใส่รองเท้าส้นสูง ความสูงจึงไม่ได้ต่างกันกับเฉินถิงเซียวชัดเจนมากขนาดนั้น
เธอเปรียบเทียบความสูงชองตนเองกับเฉินถิงเซียวอย่างแปลกใจ
เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขาหันกลับมาถามสไตลิสต์ที่อยู่ด้านหลังเธอ“เปลี่ยนรองเท้าคู่หนึ่งให้เธอ ไม่เอารองเท้าส้นสูง”
สไตลิสต์ลำบากใจเล็กน้อย“แต่ถ้าไม่สวมรองเท้าส้นสูง ก็อาจจะดูไม่เข้ากันเท่าไหร่……”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก“อย่างนั้นก็ไม่ไป”
“ฮะ”มู่น่อนน่อนถามด้วยสีหน้าตกตะลึงทันที “ไม่ไปไหน”
“ไม่ไปงานเลี้ยง สไตลิสต์บอกว่าจำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูง คุณใส่ไม่ชิน”เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงมามองเธอ สายตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงจัง
นี่มันเหตุผลอะไรกันแน่
ความคิดของคุณชายใหญ่เฉินช่างเปลี่ยนไปตามอำเภอใจ
“ฉันคิดว่าฉันไหวนะคะ”มู่น่อนน่อนพูดพลางเดินอ้อมเขาไปสองสามก้าว
ก็แค่ใส่ไม่ชินเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่เคยใส่ ตอนที่เธอฝึกงานบริษัทก็ให้เธอใส่รองเท้าส้นสูง เธอก็เคยใส่มาแล้ว
เฉินถิงเซียวกระแอมเบาๆพูดว่า“อย่างนั้นเปลี่ยนชุด เปลี่ยนการแต่งหน้า”
ทันใดนั้นบรรดาสไตลิสต์ที่อยู่ด้านหลังก็หัวเราะออกมาเบาๆ มู่น่อนน่อนรู้สึกปลาบปลื้มใจทันที เข้าใจอะไรบางอย่าง ได้