บทที่ 156 คุณจะจบไม่จบ
ตอนนี้เฉินถิงเซียวเชี่ยวชาญในการถอดเสื้อผ้าของเธอมาก ทั้งยังชำนาญในการหาจุดอ่อนไหวของเธอ
มู่น่อนน่อนไม่ต้องการทำเรื่องนี้กับเฉินถิงเซียวในสถานการณ์แบบนี้ แต่ร่างกายกลับอ่อนแรงไปแล้ว ในที่สุดก็ปล่อยให้เฉินถิงเซียวบรรลุผล
ตอนที่เขาทำเรื่องแบบนี้ มันเหมือนกับว่าเขาทำเรื่องทั่วๆ ไป ไม่อ่อนโยนเลยสักนิด แต่ก็กลับไม่ได้สัมผัสถูกข้อเท้าที่บวมของเธอราวกับให้ความสนใจเป็นพิเศษ
การอาบน้ำนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน
ตอนที่ถูกเฉินถิงเซียวอุ้มออกมาในผ้าเช็ดตัว มู่น่อนน่อนไม่สามารถขยับยกเปลือกตาได้ แค่หลับไปเฉยๆ
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงเดินเบาๆ ในห้อง
ถึงแม้ว่าคนที่เดินไปเดินมาจะวางเท้าแผ่วเบาอย่างระมัดระวังแล้ว แต่ในห้องเงียบมาก มู่น่อนน่อนจึงยังคงได้ยิน
เธอลืมตาขึ้น ก็เห็นเฉินถิงเซียวเดินออกมาจากห้องแต่งตัวใจชุดสูท
ทันทีที่เขาออกมาสายตาก็มองไปบนเตียง พอดีกับที่มู่น่อนน่อนลืมดวงตาพร่ามัวขึ้น
เฉินถิงเซียวนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้ามา “ตื่นแล้วเหรอ”
มู่น่อนน่อนส่งเสียงเยาะ “ไม่มีตามองเองเหรอ”
เมื่อพูดจบก็พลิกตัวหันหลังให้เฉินถิงเซียว
เมื่อคืนตอนที่กลับมา ก้นบึ้งหัวใจเธอไม่มีความสุขเลย ปรากฏว่าเฉินถิงเซียวยัง…
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกโกรธ
เฉินถิงเซียวมองด้านหลังศีรษะของมู่น่อนน่อน ด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้
สุดท้าย เขาเพียงเอ่ยปากออกมาบางเบาว่า “ผมมีเรื่องต้องออกไปก่อน แต่เดี๋ยวไม่นานจะกลับมา”
มู่น่อนน่อนตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “อืม”
เฉินถิงเซียวไม่พอใจกับท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเธอ ขมวดคิ้วบางๆ
ฝ่ามือกระชับกำเล็กน้อย แต่ไม่นานก็คลายออก ยืดตัวเข้าไปดึงไหล่ของเธอ แล้วจูบตามอำเภอใจ ในใจถึงได้ค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง
“เฉินถิงเซียวคุณจะจบไม่จบ มีเรื่องก็รีบไปสิ!” มู่น่อนน่อนในที่สุดก็ทนไม่ได้ระเบิดออกมา
เธอพลิกตัวขึ้นมานั่ง ตะโกนใส่เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเพิ่งตื่น ผมจึงยุ่งเหยิง ผมหน้าม้าตรงหน้าผากยิ่งดูไม่เป็นระเบียบ และใบหน้าที่เปลือยเปล่า จึงดูค่อนข้างเด็ก
เฉินถิงเซียวไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับกันยังรู้สึกว่าท่าทางเธอแบบนี้ค่อนข้างน่ารัก จนกระตุกยิ้มมุมปาก
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าท่าทางของเขาเหมือนโรคจิต
สำหรับเฉินถิงเซียวคนที่ไร้ยางอายขนาดนี้ อย่างไรเธอก็ไม่สามารถไร้ยางอายไปกว่าเขาได้
เมื่อครู่เธอแค่ขัดขืนเข้าไม่ได้ เธอไม่สนเรื่องของเขาหรอก!
มู่น่อนน่อนลงจากเตียง ลืมไปว่าตัวเองเท้าแพลง ทันทีที่เหยียบเท้าลง ก็เจ็บปวดจนเหงื่อเย็นออกหน้าผาก
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเข้ามาช่วยเธอ “คุณเป็นควายเหรอ”
“ฉันเป็นควายหรือไม่ ในฐานะสามีของฉันคุณไม่รู้หรือไง” มู่น่อนน่อนโต้กลับ
ถึงแม้เธอจะโง่ไปหน่อยด้วยการเหยียบเท้าข้างที่เจ็บ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับคำด่าโดยไม่หือไม่อือ
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว และก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เขาไม่ได้ไปทันที กลับกันยังยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำมองมู่น่อนน่อนอาบน้ำ ราวกับกลัวว่าเธอจะเหยียบเท้าข้างที่แพลงอีก
มู่น่อนน่อนอาบน้ำออกมา ก็เห็นเฉินถิงเซียวหยิบเอาชุดกีฬาชุดหนึ่งโยนไปบนเตียง
“อะไร”
“ใส่นี่ซะ”
“คุณสนใจว่าฉันใส่อะไร!” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้จู้จี้ เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนบอกว่ามีเรื่องต้องออกไปข้างนอก ตอนนี้ก็ไม่ได้ออก แถมยังไปเอาเสื้อผ้าให้เธออีก
เฉินถิงเซียวไม่พูดไม่จา เพียงแต่จับจ้องมองลึกไปยังเธอ รูม่านตาลึกลับราวกับหมึกดำมืด มองดูมู่น่อนน่อนที่ออกจะดื้อรั้น
เมื่อคิดแบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าเมื่อเช้านี้ตัวเองค่อนข้างอวดดีต่อหน้าเฉินถิงเซียว ตั้งแง่ใส่เขาตลอดเวลา แต่เขากลับไม่โกรธ
หรือว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน ใจเขาจึงรู้สึกผิด ดังนั้นถึงได้ตามใจเธองั้นเหรอ
ขณะที่เธอจมอยู่กับความคิด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประตูเปิด
มู่น่อนน่อนเงยหน้า พอดีกับที่เห็นหลังเฉินถิงเซียวหายออกนอกประตูไป
ในที่สุดก็ไปแล้ว…
……
สุดท้ายมู่น่อนน่อนก็ยังใส่ชุดกีฬาที่เฉินถิงเซียวเอาออกมาให้เธอ
ชุดกีฬาที่แต่เดิมหลวมอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นฤดูหนาว เมื่อสวมใส่ลงไปบนร่างกายจึงดูบวมมาก ไม่สวยเลยสักนิด แต่เธอก็ทำได้แค่ต้องใส่มัน
เมื่อลงมาชั้นล่าง ห้องโถงก็ว่างเปล่า
เพียงแต่ไม่นาน ไม่รู้ว่าบอดี้การ์ดคนหนึ่งโผล่มาจากไหน “คุณหญิงน้อย คุณอยากทานอะไรครับ”
“อะไรก็ได้ค่ะ” มู่น่อนน่อนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง สไตล์การโผล่มาเหมือนผีนี้คล้ายกลับเฉินถิงเซียวจริงๆ
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัว ในขณะที่ทานก็โทรหาเสิ่นเหลียงไปด้วย
“เมื่อคืนนี้เธอปล่อยให้เฉินถิงเซียวพาฉันไปทั้งแบบนั้นเหรอ ไหนบอกว่าจะเป็นพี่น้องกันไปตลอดชีวิตไง”
“เป็นพี่น้องกันไปตลอดชีวิต แต่ก็ต้องรับประกันชีวิตเล็กๆ ก่อนถึงจะได้! ตอนนี้เฉินถิงเซียวเป็นเจ้านายใหญ่ของฉัน ถ้าฉันกล้าขัดคำสั่งเขา เขาจะไม่บีบฉันให้ตายเลยเหรอ”
“……..” เธอกับเสิ่นเหลียงอาจเป็นพี่น้องดอกไม้พลาสติก
ทั้งสองคนคุยกันสักพักแล้ววางสายไป
ในวีแชทมีการแจ้งเตือนข้อความใหม่
มู่น่อนน่อนกดเปิดดูทันที พบว่ามีใครบางคนเพิ่มเพื่อนเธอมา
เหมือนว่ารูปประจำตัวจะเป็นรูปทะเล ชื่อเล่นเป็นคำง่ายๆ ว่า “หยู้”
นิ้วมือมู่น่อนน่อนหยุดนิ่ง ลังเลว่าจะเพิกเฉยหรือจะเพิ่มเพื่อน
เธอเหมือนจะคาดเดาได้ว่าเป็นใคร
เรื่องเมื่อคืน ทำให้มู่น่อนน่อนอยากแยกตัวออกจากผู้ชายสองคนนี้ซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียว
ลังเลไปสักพัก แต่มู่น่อนน่อนก็ยังเพิ่มเขา
ทันทีที่เพิ่มเพื่อน ไม่นาน “หยู้” ก็ส่งข้อความมาให้เธอ
[น่อนน่อน ผมคือซือเฉิงหยู้]
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบกลับเขา แต่ซือเฉิงหยู้ก็ยังคงส่งข้อความถึงเธอต่อ
[เรื่องเมื่อคืน ผมต้องขอโทษมากๆ ครับ มันจะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว]
[คุณกับถิงเซียวโอเคใช่ไหมครับ]
เขาส่งข้อความเข้ามาสามครั้ง มู่น่อนน่อนไม่ได้มีการตอบกลับไปเลย
ที่จริงเธอไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี
ผ่านไปสักพัก มู่น่อนน่อนตอบกลับไปว่า “อืม”
เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงชอบใช้คำว่า “อืม” ในการตอบคำถาม เพราะมันทั้งง่ายและสะดวก นอกจากนี้ยังสามารถหลีกเลี่ยงความลำบากใจที่ไม่จำเป็น
ซือเฉิงหยู้ [งั้นก็ดีแล้ว]
[ผมอยากหาเวลาว่างเชิญคุณและถิงเซียวไปทานอาหารครับ]
ครั้งนี้มู่น่อนน่อนบอกโดยไม่คิดว่า [เรื่องนี้คุณถามเฉินถิงเซียวเถอะ]
มู่น่อนน่อนจ้องโทรศัพท์มือถืออย่างเสียสมาธิเล็กน้อย
“พี่น่อนน่อน”
เสียงของเฉินเจียฉินดังขึ้นที่ด้านหลัง
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองเขา “ทานข้าวแล้วเหรอ”
เฉินเจียเฉินหาวและนั่งลงตรงข้ามกับเธอ “ทานแล้วครับ”
เขาลงมาทานอะไรตั้งแต่เช้าแล้ว หลังจากนั้นก็กลับไปนอนและหลับต่อ
“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามเมื่อวานของฉันเลย” ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็เอ่ยปาก เฉินเจียฉินไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปครู่หนึ่ง
“คำถามอะไรครับ”
มู่น่อนน่อนพูดน้ำเสียงบางเบา “เกี่ยวกับเรื่องของชิงหนิง”
คำถามนี้ เหมาะแล้วที่จะถามเฉินเจียฉิน
เฉินเจียฉินชะงักไปครู่หนึ่ง ควบคุมสีหน้าบนใบหน้าเล็ก “เธอเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเราครับ มาเล่นที่บ้านเราเป็นประจำ เป็นคนดีมาก”
มู่น่อนน่อนคาดเดาได้แล้วว่า “ชิงหนิง” คนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา ได้ยินเฉินเจียฉินพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
เธอถามคำถามหนึ่งที่ตัวเองอยากรู้มากที่สุด “เฉินถิงเซียวก็รู้จักเธอเหรอ”
“ครับ ญาติผู้พี่ก็รู้จักเธอ ตอนนั้นญาติผู้พี่กับพี่ชายผมแล้วก็เธอ เป็นเพื่อนสนิทสามคนที่รักกัน ทุกคนล้วนดีต่อเธอ…”
เมื่อเฉินเจียฉินพูดจบ ถึงได้พบว่าตัวเองเหมือนจะพูดเรื่องที่ไม่ควรออกไป