เสียงของคนรับใช้ทำให้คนอื่นกรูกันเข้ามา
มู่น่อนน่อนตกตะลึงมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า จ้องมองทุกคนที่ล้อมรอบอยู่ข้างกายคุณท่านเฉิน จากนั้นมู่น่อนน่อนถึงได้ยกเท้าวิ่งลงมาด้านล่าง
เฉินเหลียนเองก็เดินตามเสียงเข้ามา : “พ่อ! พ่อเป็นอะไรคะ พ่อ”
เธอวิ่งลงมาตามบันไดได้เพียงสองขั้น ก็เห็นเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงเดินมุ่งมาทางนี้อย่างรีบร้อน
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองมาทางเธอแวบหนึ่ง ราวกับมีกระแสจิตก็ไม่ปาน
เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็มองเธอเพียงเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
แววตานี้ช่างเย็นชามาก
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป คุกเข่านั่งลงกับพื้นแล้วตะโกนเรียก : “คุณปู่”
คุณท่านเฉินตกลงมาจากบันไดที่สูงขนาดนั้น เลือดไหลออกมามากมาย บวกกับที่อายุมาก จึงไม่มีใครกล้าที่จะแตะต้องตัวเขา
คุณท่านเฉินหมดสติ ไม่มีการตอบสนองใด ๆ
ไม่ช้าแพทย์ประจำตระกูลก็มาถึง จัดการกับคุณท่านเฉินอยู่ครู่หนึ่ง ก็นำขึ้นรถส่งไปยังโรงพยาบาล
ทุกคนได้ตามไปที่โรงพยาบาลด้วย
ก่อนไป เฉินชิงเฟิงหันมามองคนรับใช้คนแรกที่เป็นคนพบคุณท่านเฉินตกลงมา :“พวกเธอก็ตามมาด้วย”
โชคดีที่มีโรงพยาบาลเอกชนสังกัดบริษัทเฉินซื่อ สามารถทำการผ่าตัดให้กับคุณท่านเฉินได้ในทันที
“วินิจฉัยเบื้องต้นคือมีอาการเลือดออกในสมอง มีการแตกหักของกระดูกหลายจุดในร่างกาย สถานการณ์ไม่สู้ดี ตอนนี้ต้องรีบทำการผ่าตัดด่วน”
คำพูดของแพทย์ทำให้ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน บรรยากาศหยุดนิ่ง
ประตูห้องผ่าตัดถูกปิดลง ทุกคนต่างรออยู่ด้านนนอก
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าที่เยือกเย็นของเขา เธอจึงเอื้อมมือออกไปกุมมือของเขา
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้กุมมือเธอกลับเหมือนอย่างทุกครั้ง และก็ไม่ได้หันมามองเธอ
เวลานี้ ระเบียงทางเดินที่เงียบสงัดมีเสียงของเฉินชิงเฟิงดังขึ้น
“ใครเป็นคนแรกที่พบคุณท่านเฉิน” มีความเคร่งขรึมในน้ำเสียงของเขา
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงจึงหันไป
“ดิฉันค่ะ” เป็นเสียงตอบของคนรับใช้คนหนึ่งที่ได้ตามมาด้วย
คนรับใช้คนนั้นดูเหมือนว่าจะกลัวเฉินชิงเฟิงโยนความผิดเรื่องนี้มาให้เธอ สีหน้าของเธอจึงดูแย่มาก น้ำเสียงก็ซ่อนด้วยความตื่นตระหนกกลัว
ดูเหมือนว่าเธอนึกอะไรบางอย่างขึ้น จึงยื่นมือชี้ไปที่มู่น่อนน่อน : “ดิฉันได้ยินเสียงของคุณหญิงน้อยจึงได้เข้าไป ตอนที่ไปถึงก็เห็นคุณท่านนั้นตกลงมาแล้วค่ะ……”
เฉินชิงเฟิงได้ยินดังนั้นจึงหันหน้าไปทางมู่น่อนน่อน : “น่อนน่อน ไหนเธอบอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อคำพูดของเขาออกมาจากปาก ทุกสายตาต่างหันมองมาทางมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีข้างในจิตใจ
พวกเขาคิดว่าเธอเป็นคนผลักคุณท่านเฉินตกลงมาจากบันไดเหรอ
มู่น่อนน่อนทำจิตใจให้นิ่งแล้วกล่าว : “ก่อนหน้านี้มีคนรับใช้มาเรียกหนู บอกว่าคุณปู่เรียกให้ไปหา เมื่อหนูไปถึงก็พบว่าในห้องไม่มีคน หนูได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่หน้าบันได เมื่อเดินเข้าไป คุณปู่ท่านก็……ตกลงไปแล้ว”
เฉินชิงเฟิงได้ยินดังนั้น จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “เป็นคนรับใช้คนไหนที่มาเรียก”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า : “หนูไม่รู้ค่ะ ตอนนั้นคนรับใช้คนนั้นเรียกหนูจากนอกห้อง”
เฉินชิงเฟิงได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้น มองมู่น่อนน่อนแล้วเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆจึงได้เดินมาบังอยู่ตรงด้านหน้าของมู่น่อนน่อน แล้วกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชา : “นี่คุณพ่อสงสัยว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนผลักคุณปู่เหรอ”
เฉินชิงเฟิงเงยหน้าจ้องตากับเฉินถิงเซียว : “เกิดเรื่องที่บ้านกับคุณปู่แน่นอนว่าจะต้องทำการสอบถามคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด”
เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะอย่างไม่พอใจ : “ทุกคนต่างก็ดูออกว่าคุณปู่นั้นชอบมู่น่อนน่อนมาก แล้วเธอจะมีเหตุผลอะไรที่ไปทำแบบนี้กับคุณปู่”
“แน่นอนว่าเธอย่อมมีเหตุผลที่จะทำแบบนี้!”
เสียงเฉินอินหย่าดังขึ้นในบัดดล
ทุกคนหันไปมอง ก็เห็นเฉินอินหย่ากับซือเฉิงหยู้และพรรคพวกเดินเข้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว
พวกเขาเพิ่งจะรู้ข่าวทีหลังว่าคุณปู่ตกลงมาจากบันได จึงได้รีบเร่งเดินทางมา
เฉินชิงเฟิงดุว่าเฉินอินหย่าด้วยน้ำเสียงรุนแรง : “อินหย่า รู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไร”
“แน่นอน ฉันรู้ตัวดีว่ากำลังพูดอะไรอยู่!”
เฉินอินหย่าพลางพูดพลางหันหน้าไปมองทางมู่น่อนน่อน ยกริมฝีปากยิ้มขึ้นอย่างดูแคลน : “มู่น่อนน่อน เธอเคียดแค้นเรื่องที่คุณปู่ส่งผู้หญิงไปที่คฤหาสน์ของพี่สาม ดังนั้นจึงได้ลงมือกับคุณปู่อย่างโหดร้าย ถูกไหม”
มู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มองเฉินอินหย่าอย่างไม่เชื่อสายตา : “ฉันเปล่า”
“เปล่าเหรอ” ยิ้มมุมปากเฉินอินหย่าลึกมากยิ่งขึ้น: “สองวันมานี้ ในตระกูลเฉินก็เธอคนเดียวที่แซ่อื่น นอกจากเธอแล้วยังจะมีใครได้อีก ยังมีใครที่จะใจร้ายพอลงมือกับคนแก่ได้อีก เธอบอกเธอเปล่า พี่สามเชื่อเธอไหม”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น หัวใจบีบรัดแน่น
ตามความรู้สึก เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวนั้นต้องเชื่อเธอ
แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น
เธอจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวค่อยๆดึงมือตัวเองออกจากมือของเธอ ดวงตาดำดุจหมึกจ้องมองเธออย่างเคร่งขรึม : “คุณเคียดแค้นคุณปู่ด้วยเรื่องนั้นจริงเหรอ”
สมองของมู่น่อนน่อนดัง“ตุ้บ”ขึ้น
นี่เฉินถิงเซียวกำลังสงสัยเธอใช่ไหม
เขาไม่เพียงแต่ไม่พูดตรง ๆ ว่าเชื่อเธอ กลับยังตั้งคำถามสงสัยเช่นนี้กับเธอ
มู่น่อนน่อนรู้สึกมีความเย็นวาบผ่านเข้ามาจากฝ่าเท้า จากนั้นกระจายไปทั่วแขนขาของเธอ
เธอยังคงส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนก่อนหน้านี้ : “ฉันเปล่า”
เฉินถิงเซียวมองเธอเพียงครู่เดียวแล้วก็เบนสายตาไป จากนั้นถามต่อขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “คุณยืนยันได้ไหมว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ตอนนั้นข้างกายคุณยังมีคนอื่นอยู่หรือเปล่า”
มู่น่อนน่อนถอยหลังออกไปครึ่งก้าว มองเฉินถิงเซียวด้วยแววตาไม่คุ้นเคย : “เฉินถิงเซียว คุณหมายความว่าอย่างไร ตอนนี้คุณเชื่อว่าฉันคือคนต้องสงสัยที่ทำร้ายคุณปู่ ดังนั้นจึงเริ่มสอบปากคำฉันแล้วใช่ไหม”
ในน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวฟังไม่ออกถึงอารมณ์ใด ๆ : “ตอบคำถามผมมา”
เสียงคำสุดท้ายของเขายังไม่ทันจาง มู่น่อนน่อนก็ตะโกนขึ้น : “ฉันไม่ตอบ!”
“ฉันไม่ได้ทำร้ายคุณปู่ ทำไมฉันจะต้องยอมรับการสอบปากคำจากคุณ!”
ถ้าหากเวลานี้คนที่ถามคำถามเหล่านีคือเฉินชิงเฟิง มู่น่อนน่อนก็คงจะไม่ต่อต้านขนาดนี้
เธอคิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาแรกของเฉินถิงเซียวคือการสงสัยเธอ
เฉินชิงเฟิงได้ยืนออกมา เขาตบเข้าที่ไหล่ของเฉินถิงเซียว : “มีอะไรค่อยๆพูด น่อนน่อนยังตั้งท้องอยู่ ตอนนี้คุณปู่ยังอยู่ในห้องผ่าตัด เรื่องราวยังไม่มีข้อสรุป ทุกคนต่างก็น่าสงสัยทั้งนั้น แต่ว่าน่อนน่อนเป็นเมียแก แกไม่ควรจะสงสัยเธออย่างนี้”
คำพูดของเฉินชิงเฟิง ฟังแล้วเหมือนจะมีเหตุผล แต่เมื่อทบทวนสองรอบก็รู้สึกผิดปกติ
เมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าเฉินชิงเฟิงเป็นคนแรกที่ถามว่าใครเป็นคนแรกที่เจอคุณปู่ ตอนนี้กลับมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย บอกว่าเรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุป……
เฉินอินหย่าได้ยินคำพูดของเฉินชิงเฟิง ใบหน้าจึงบังเกิดความไม่พอใจ : “คุณลุงคะ เรื่องของคุณปู่นี้จะต้องหนีไม่พ้นผู้หญิงคนนี้อย่างแน่นอน!”
“อินหย่า อย่าโวยวาย คุณปู่ยังอยู่ในห้องผ่าตัด รอท่านทำการผ่าตัดเสร็จแล้ว พวกเราค่อยมาจัดการเรื่องนี้ แต่……”
เฉินชิงเฟิงพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักขึ้น กวาดสายตาไปยังผู้คนที่อยู่ตรงนี้ สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของมู่น่อนน่อน : “ ห้ามทุกคนออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผม”