มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าครั้งนั้นเซียวซู่เหอมาหาเธอ
เรื่องนี้เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดถึง
เพราะมู่น่อนน่อนรับสายจึงก้าวช้าลง ตอนแรกเธอเดินข้างเฉินถิงเซียว ตั้งแต่นั้นก็ตามหลังเฉินถิงเซียวสองก้าว
มู่น่อนน่อนฟังคำพูดเซียวซู่เหอแล้วอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าเธอไม่ได้ตามมา จึงหันกลับไปมองเธอพอดี
เห็นเธอจ้องมองพร้อมกับโทรศัพท์ เขาจึงเลิกคิ้ว “รีบมาเร็ว”
“น่อนน่อน?” เสียงของเซียวซู่เหอดังขึ้นในสาย “ทำไมแกไม่พูด”
“ไม่มีอะไรค่ะแค่นี้นะ” มู่น่อนน่อนพูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชา ก่อนจะวางสายไป แล้วเดินไปหาเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวสัมผัสได้ว่าเธออารมณ์ไม่ปกติ จึงขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้ถาม แค่พาเธอเข้าไปในห้องอาหาร
นั่งลงที่โต๊ะทานข้าว มู่น่อนน่อนไม่ได้มองเฉินถิงเซียวมากนัก เฉินถิงเซียวคีบอาหารให้เธอ เธอก็ไม่ตอบสนอง
เหมือนเธอติดอยู่ในอารมณ์ของตัวเองโดยสมบูรณ์
เฉินถิงเซียวนึกขึ้นได้ว่าเธอเพิ่งรับโทรศัพท์ เดาว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับสายนั้น
หลังจากทานอาหารเช้า มู่น่อนน่อนไม่ได้กลับห้อง
เธอลุกขึ้นและพูดกับเฉินถิงเซียวว่า “ฉันจะไปเดินเล่นในสวน”
ไม่รอคำตอบของเฉินถิงเซียว เธอก็เดินออกไปข้างนอกเลย
เฉินเจียฉินวิ่งมานั่งลงข้างเฉินถิงเซียว “พี่น่อนน่อนไปไหน คุณไม่รีบตามไปเหรอครับ ช่วงสองสามวันนี้พวกคุณตัวติดกันอย่างกับแฝดสยาม ผมหาโอกาสเล่นกับพี่น่อนน่อนไม่ได้เลย…”
เฉินถิงเซียวไม่พูด และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เฉินเจียฉินรู้สึกเบื่อหน่าย กำลังจะลุกขึ้นเพื่อออกไป ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวเรียกไว้ข้างหลัง “นายช่วยไปดูเธอให้ฉันหน่อย อย่าให้เกิดเรื่อง”
เพราะอย่างไรมู่น่อนน่อนก็ไม่คุ้นเคยกับบ้านเก่า เขาจึงยังกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ
เฉินเจียฉินเปิดจิตใต้สำนึกโดยสมบูรณ์ “ทำไมคุณไม่ตามไปครับ พวกคุณทะเลาะกันเหรอครับ”
ปรากฏว่าคำพูดของเขาทำให้เฉินถิงเซียวเหลือบมองอย่างเย็นชา เฉินเจียฉินแลบลิ้น ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป
เฉินถิงเซียวมองเฉินเจียฉินหายออกจากประตูไป ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วถอนสายตากลับ
ก่อนหน้านี้ตอนที่มู่น่อนน่อนรับสายได้มองเขาด้วยสายตาซับซ้อนเล็กน้อย มันเจืออารมณ์ที่เขาเห็นแล้วไม่เข้าใจ
เขายังไม่ไปพูดกับเธอก่อน รอเธอสงบจิตสงบใจลงบ้างแล้ว โดยธรรมชาติก็จะเต็มใจมาพูดกับเขาเอง
……
เฉินเจียฉินไปถึงในสวน พบมู่น่อนน่อนนั่งอยู่ในศาลาคนเดียว
บ้านเก่าเป็นอาคารย้อนยุค ดังนั้นจึงมีสระกับศาลาสร้างขึ้นในสวน
มู่น่อนน่อนพิงกับเสาของศาลา สายตาจ้องมองน้ำตรงหน้า
“พี่น่อนน่อน คุณดูอะไรอยู่เหรอครับ”
เฉินเจียฉินวิ่งเข้ามา พอดีกับที่ลมหนาวพัดมา เขาสั่นเล็กน้อย “หนาวจัง”
“เธอตามมาทำไมที่นี่” มู่น่อนน่อนเอียงหน้าไปมองเขา
เฉินเจียฉินสวมหมวกแจ็คเก็ตลง แล้วนั่งลงข้างมู่น่อนน่อน “ญาติผู้พี่ให้ผมมาครับ”
มู่น่อนน่อนกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่ได้พูดอะไร
“พวกคุณทะเลาะกันใช่ไหมครับ” เฉินเจียฉินรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนไม่ค่อยมีความสุขนัก
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “เปล่า”
เฉินถิงเซียวไม่ได้บอกว่าเซียวซู่เหอมาหาเธอ โดยพื้นฐานแล้วคือดีต่อเธอ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เธอจะไม่ทะเลาะกับเฉินถิงเซียวเพราะเรื่องนี้
ต่อให้ตอนนั้นเธอจะรู้ว่าเซียวซู่เหอมาหาเธอ เธอก็ไม่แน่ว่าจะให้เซียวซู่เหอมาพักอยู่ด้วย อาจจะให้คนส่งเซียวซู่เหอกลับไปตระกูลมู่
ถ้าเซียวซู่เหอไม่กลับไปตระกูลมู่ เธออาจจะเปิดโรงแรมข้างนอกเพื่อให้เธอพัก
แต่วิธีการของเฉินถิงเซียว มันก็ออกจะเกินไปหน่อย
เพราะถึงอย่างไรแม้แต่คนในตระกูลเฉินเขาก็ไม่สนิท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซียวซู่เหอ
เพียงแต่มู่น่อนน่อนยังไม่ค่อยสบายใจ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เซียวซู่เหอเป็นแม่ของมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวไล่เซียวซู่เหอไปก็ควรจะบอกเธอ
เฉินถิงเซียวดูเย็นชา แต่เขาเป็นคนรอบคอบและเอาใจใส่
วิธีที่เขาทำ ทำให้มู่น่อนน่อนตระหนักขึ้นมาฉับพลัน ว่าคนสองคนไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเท่าเทียมกัน
การที่เฉินถิงเซียวตัดสินใจแทนเธอ แล้วไม่บอกเธอเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะในใจของเขา เธอเป็นคนที่ไม่สามารถจัดการกับเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง
เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว ที่จริงเธอไม่มีอะไรเลย
ไม่มีหน้าที่การงานที่ดี ไม่มีข้อได้เปรียบพิเศษ และไม่ฉลาด
ดังนั้นเฉินถิงเซียวจึงตัดสินใจไล่เซียวซู่เหอไปแทนเธอ เขาถึงขนาดคิดว่าการบอกเธอมันไม่จำเป็น
เธอกับเฉินถิงเซียวห่างชั้นกันมาก ยกเว้นที่เฉินถิงเซียวมีนิสัยแตกต่างจากคนทั่วไป นอกนั้นเขาไร้ที่ติ
เธอรู้ว่าโดยพื้นฐานแล้วเขาอาจจะทำสิ่งที่ดีต่อเธอ…
แต่หลายครั้ง มีบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้แค่ภายนอก ไม่สามารถมองแค่เขาทำดีเพื่อเธอเท่านั้น
คนสองคนไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเท่าเทียมกัน มันยากจะยืนยาว
ช่วงนี้เธอพึ่งพาเฉินถิงเซียวมากเกินไป
เธอไม่อยากทำตัวเป็นดอกฝอยทอง ได้แต่ล้อมรอบผู้ชาย ให้ผู้ชายคอยช่วยจัดการทุกอย่างให้เธอ
เฉินเจียฉินเอียงศีรษะ ขมวดคิ้วท่าทางครุ่นคิด “แล้วพวกคุณเป็นอะไรครับ”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ “เด็กน้อยสนใจจังเลยนะ”
เฉินเจียฉินบึนปาก ยื่นนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ออกมาทำเป็นตัวอักษรเลขแปด “อย่ามาเรียกผมเด็กน้อยนะ คุณแก่กว่าผมแค่แปดปีเท่านั้น ถ้านับรุ่น พวกเรายังเป็นรุ่นเดียวกัน เป็นเด็กน้อยที่ไหนกันล่ะ”
มู่น่อนน่อนส่งเสียงพึมพำ “หนาวจัง กลับกันเถอะ”
ตอนที่ออกมาเมื่อครู่ยังปกติ ตอนนี้เธอรู้สึกหนาวนิดหน่อย
เธอกับเฉินเจียฉินเพิ่งออกจากศาลา ก็เห็นเฉินถิงเซียวเดินมาทางนี้พร้อมกับเสื้อคลุมของเธอ
มู่น่อนน่อนเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป “เฉินถิงเซียว”
คิ้วของเฉินถิงเซียวขมวดเล็กน้อย เหมือนปมที่แก้ไม่ได้
เขาคลุมเสื้อลงบนตัวเธอเงียบๆ
ทั้งสองเดินไปด้วยกัน
เฉินถิงเซียวคิดว่ามู่น่อนน่อนจะพูดอะไรกับเขา ปรากฏว่าเธอไม่ได้พูดอะไรเลย
เขาคิดขึ้นมาได้ว่าที่จริงแล้วมู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกเก่ง
ก่อนหน้านี้ก็รู้อยู่แล้ว ว่าเขาควรถามเธอไปตรงๆ แทนที่จะให้โอกาสเธออยู่คนเดียวเงียบๆ
เธอออกมาเดินวนเวียน หลังจากนั้นก็เงียบไป แทนที่จะบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
มู่น่อนน่อนนึกถึงตอนนั้นที่ฉินสุ่ยซาน ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้เธอ
ตอนนั้นถึงแม้เธอจะปฏิเสธฉินสุ่ยซานอย่างชัดเจน แต่กลับยังบันทึกเบอร์ของฉินสุ่ยซานเอาไว้
ฉินสุ่ยซานนั้นเพราะความสัมพันธ์ของพ่อของเขา จึงมีคนในวงการมากมายสามารถขายหน้าเธอได้
ฉินสุ่ยซานบอกว่ายินดีจะช่วยแนะนำคนให้เธอได้ ตราบใดที่เธอจริงใจ จะช่วยหาคนที่เชื่อถือได้ให้เธอแน่นอน
มู่น่อนน่อนหาจนพบเบอร์ของฉินสุ่ยซาน หลังจากครุ่นคิดแล้วก็ไม่ได้โทรไปเลย แต่ค้นหาวีแชตของฉินสุ่ยซานด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเขาแทน
จู่ๆ ไปโทรหาฉินสุ่ยซาน แน่นอนว่ามันคงน่าอาย
มู่น่อนน่อนส่งคำร้องเพิ่มเพื่อน ระบุชื่อกับข้อมูลเพิ่มเติมของตัวเองลงไป
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า เธอคิดว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าฉินสุ่ยซานจะตอบกลับหรือจะเพิกเฉย
ทว่าข้อความของเธอเพิ่งออกไปไม่นานก็ตรวจสอบผ่าน