เมื่อเฉินถิงเซียวกลับมาถึงยังห้องพักแล้ว พลางเอาคำพูดของเฉินเหลียนกลบฝังอยู่ในหัวสมอง
ไม่มีข้อบกพร่องตรงไหน แถมยังพูดได้อย่างเห็นภาพ แต่มักรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ดูไม่ถูกต้อง
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่า เขายังจำเป็นที่ต้องไปเจอกับซือหมิงหวนดูสักครั้ง
ซือหมิงหวนกับเฉินเหลียนเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่อายุยังน้อย แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ความรู้สึกกลับย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
ในความทรงจำซือหมิงหวนเป็นคนที่ทั้งอ่อนโยนและช่างพิถีพิถันมาก เป็นศิลปินที่ความโรแมนติกเป็นพิเศษเฉพาะตัว และมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนกับเฉินเหลียน ส่วนเขานั้นไม่ค่อยคิดอะไรมากกับหน้าที่การงานของตนเอง
ในทางกลับกันในหลายปีนี้ มัวแต่หมกมุ่นกับวนเวียนเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการภาพวาด จนกระทั่งไม่กลับมาที่ตระกูลเฉินในช่วงวันตรุษจีนเลย
เฉินถิงเซียวตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จากนั้นก็ลงมาชั้นล่างเพื่อสอบถามเบอร์โทรศัพท์ของซือหมิงหวนกับคนรับใช้
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่บ้านของเฉินเหลียน ความสัมพันธ์ระหว่างซือหมิงหวนก็ดูไม่เลวพอตัว แต่หลังจากที่เขากลับไปยังเมืองหู้หยางแล้ว ทั้งสองคนติดต่อกันน้อยครั้งมาก และในเวลานี้ก็ไม่มีการไปมาหาสู่กันเลย
เขากดโทรศัพท์ไปหาซือหมิงหวนทันที
เสียงรอสายดังอยู่หลายครั้งถึงมีการกดรับสาย
“สวัสดีครับ?” น้ำเสียงของซือหมิงหวนอ่อนโยนมาก เรื่องนี้ซือเฉิงหยู้ก็เป็นเหมือนเขาเช่นกัน
เฉินถิงเซียวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อาเขย ผมเอง”
น้ำเสียงของซือหมิงหวนเริ่มตกใจเล็กน้อย “ถิงเซียวเหรอ?”
“ผมเอง ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนครับ มีเวลาพอมานั่งคุยกันสักหน่อยไหมครับ?” ความทรงจำเกี่ยวกับซือหมิงหวนของเฉินถิงเซียวซึ่งมันหยุดอยู่หลายปีก่อน แต่เขารู้ดีว่าซือหมิงหวนไม่มีวันปฏิเสธคำร้องขอเรื่องนี้ของเขาแน่
ซือหมิงหวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ถึงได้ตอบกลับมา “ได้แน่นอน แต่ว่าฉันไม่กลับไปที่เมืองหุ้ยหยางนะ”
“ผมอยู่ที่ เมืองMอยู่ในบ้านของคุณ”
เสียงปลายสายเงียบงันอยู่ชั่วครู่
เฉินถิงเซียวไม่ได้ซักไซ้เร่งรัดซือหมิงหวนแต่อย่างใด ทำได้แค่รอคอยคำตอบจากเขาอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
“ตกลง งานนิทรรศการภาพวาดของฉันทางนี้วันนี้จะเสร็จงานช่วงตอนบ่าย คืนนี้ฉันจะกลับบ้าน แต่ว่าเรื่องนี้คุณอย่าให้อาของคุณรู้เรื่องก็แล้วกัน”
“ผมรู้เรื่องแล้ว”
ซือหมิงหวนกลับมาคืนนี้ เวลาช่างเหมาะเจาะพอดี
หลังจากวางสายแล้ว เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย ในหัวสมองพลันครุ่นคิดกับคำพูดประโยคนั้นของซือหมิงหวน “อย่าให้อาคุณรู้เรื่อง”
คำพูดนี้เมื่อเอามาวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เนื้อหาภายในมันช่างมากมายเหลือเกิน
ไม่ให้เฉินเหลียนรู้เรื่องด้วย ซือหมิงหวนจะยินยอมที่จะพูดคุยกับเฉินถิงเซียวแทน
ส่วนเฉินถิงเซียวเองก็ไม่พูดเรื่องที่ต้องการจะพูดออกมาเลยด้วยซ้ำ
เห็นได้อย่างชัดเจนมากกว่าซือหมิงหวนรู้เรื่องว่าเฉินถิงเซียวต้องการมาคุยกับเขาว่าเป็นเรื่องอะไร
นี่คือความเข้าใจโดยปริยายระหว่างคนฉลาดเฉลียวที่มีต่อกัน
……
เวลาย่ำค่ำ หลังจากที่เฉินถิงเซียวโทรศัพท์มาหาซือหมิงหวนหนึ่งครั้ง ก็นัดเจอกันที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งในตัวเมือง
ตอนที่เฉินถิงเซียวมาถึง เป็นเวลา 6 โมงเย็นพอดี
เขาสั่งกาแฟมาแก้วหนึ่ง พร้อมทั้งนั่งเลือกนั่งริมหน้าต่างที่สามารถเห็นตำแหน่งที่จอดรถตรงประตูพอดี เพื่อรอให้ซือหมิงหวนมาหา
หลังจากเขารอเกือบครึ่งชั่วโมงนั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นระงมอยู่หลายเสียง
จากนั้นก็มีสีฝีเท้าและเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นระงมไปทั่ว
“พระเจ้า เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน!”
“คนเป็นไงบ้าง?”
“รีบเรียกรถพยาบาลเร็ว”
เฉินถิงเซียวย่นคิ้วเล็กน้อย ตอนแรกก็ไม่สนใจสักเท่าไหร่
จู่ ๆ เขาก็เหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ พลันผุดลุกและมุ่งหน้าเดินออกไปทางด้านนอกทันที
เขาแหวกกลุ่มคนเข้าไป และไปยืนอยู่ด้านหน้าของคนที่โดนรถชนคนนั้น
คนที่ถูกชนเป็นชายวัยกลางคน เสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจนแดงไปทั่ว เหลือแค่ช่วงคอเสื้อเท่านั้นที่มีสีขาวหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ใบหน้าทั้งหน้าถูกชนจนไม่สามารถเห็นใบหน้าเดิมได้สักเท่าไหร่
เฉินถิงเซียวคุกเข่าลง พลางยื่นมือออกไปปาดคราบเลือดที่อยู่บนหน้าของเขา จนพอสามารถเห็นใบหน้าที่ชัดเจนเดิมของเขาได้
ผู้ชายคนนี้ ก็คือ ซือหมิงหวน!
การกระทำของเฉินถิงเซียวค้างเติ่งอยู่กับที่ และเปล่งเสียงเรียก “อาเขย? ซือหมิงหวน?”
ผู้ชายที่นอนอยู่กับพื้นขยับนิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็หมดลมหายใจไป
คนที่อยู่ข้างๆ พลางหยิบกระเป๋าสตางค์ของซือหมิงหวนขึ้นมา จากนั้นก็พูดตอนเห็นเอกสารที่อยู่ในนั้น “ผู้ชายคนนี้ชื่อซือหมิงหวน”
“พระเจ้า เขาเป็นจิตรกรคนนั้นเหรอเนี่ย?”
“ลูกสาวของฉันอยากจะไปดูงานนิทรรศการภาพวาดของเขาสักครั้งมาตลอดเลย!”
เวลานี้เอง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาทันที
“ทุกคนรบกวนหลีกทางหน่อย ช่วยหลีกทางให้หน่อยครับ”
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรีบไล่คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ออกไป ถึงได้เดินมาเรียกเฉินถิงเซียว “คุณผู้ชายท่านนี้ รบกวนคุณช่วยลุกขึ้นมาหน่อย อย่าเกะกะการทำงานของพวกเราเลย”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นด้วยหน้าตาเย็นชา พลางก้าวถอยหลังไปด้านข้างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เขามองทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เอามือเข้าไปอังบริเวณจมูกของซือหมิงหวน จากนั้นก็พูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ด้านข้าง “หมดลมหายใจแล้ว”
……
เฉินถิงเซียวตามเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังสถานี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งเฉินเหลียนให้ทราบ
ตอนที่เฉินเหลียนมาถึงนั้น ร่างกายเหมือนวิญญาณหลุดลอยไป “หมิงหวนล่ะ? หมิงหวนอยู่ที่ไหน?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบเดินดักหน้าขวางเฉินเหลียนเอาไว้ “คุณนายซือ ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ”
เฉินเหลียนเห็นเฉินถิงเซียว ก็เดินมุ่งหน้ามาหาเขา “ถิงเซียว อาเขยของแกเขาเป็นอะไรไป? ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้?”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น พลางจ้องมองผู้หญิงที่ร้องไห้ไม่หยุดจนดวงตาแดงก่ำจนบวมเป่ง พลันตอบกลับ “ผมไปดูเขาเป็นเพื่อนคุณเอง”
ตอนที่เฉินเหลียนเห็นศพของซือหมิงหวนนั้น ก็เป็นลมล้มพับสลบไปทันที
เฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ด้านหน้าศพของซือหมิงหวนนั้น มีความรู้สึกหนักใจเหลือเกิน
แม้ว่าซือหมิงหวนจะไม่ใช่พ่อบังเกิดเหล้าของซือเฉิงหยู้ แต่เขาก็เป็นบิดาแท้ๆ ของเฉินเจียฉิน
เฉินเจียฉินกับซือหมิงหวนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก
เรื่องของซือหมิงหวนยังอยู่ระหว่างการสอบสวน ว่าอุบัติเหตุในครั้งนี้มีคนบงการทำให้เกิดเรื่องขึ้นหรือว่าเป็นอุบัติเหตุจริงๆ กันแน่ แต่ก็ไม่สามารถสรุปเหตุดังกล่าวได้ในเวลานี้
เฉินถิงเซียวให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกอย่าง เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้ได้
รอจนจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว เวลาก็เป็นกลางดึกแล้ว
เวลาในประเทศนั้นคือยังกลางวันอยู่
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ขอบแปลงดอกไม้ด้านนอกสถานีตำรวจ พลางโทรศัพท์หามู่น่อนน่อน
โทรศัพทมีเสียงรอสายสองครั้งจากนั้นมู่น่อนน่อนก็กดรับสาย
น้ำเสียงอันอ่อนโยนดังออกมาจากปลายสาย “เฉินถิงเซียว? ”
“เรื่องของซือเฉิงหยู้ ผมถามเธอแล้ว”
“แล้วเธอตอบว่ายังไงเหรอ?”
เฉินถิงเซียวเอาคำพูดของเฉินเหลียนบอกกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเงียบงันอยู่สักพัก จากนั้นก็ถามเขากลับ “คุณรู้สึกว่าจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า? ”
มองออกอย่างชัดเจนว่า มู่น่อนน่อนไม่เชื่อกับการที่พูดออกมาแบบนี้
แต่ว่าเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลามาเสาะหาความจริงกับเรื่องนี้
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวแหบพร่าลง “อาเขยประสบอุบัติเหตุรถชนจนเสียชีวิตไปแล้วนะ”
มู่น่อนน่อนคิดตามอยู่ชั่วครู่ จากนั้นถึงคิดออกว่า อาเขยของเฉินถิงเซียว ก็คือพ่อของเฉินเจียฉิน
มู่น่อนน่อนถามกลับ “คุณบอกเสี่ยวฉินหรือยัง?”
“มีคนแจ้งไปแล้วแหละ” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อย
“ตอนนี้ที่ เมืองM ก็เป็นเวลาดึกดื่น คุณต้องดูแลตัวเองดีๆ มีเวลาก็พักสักหน่อยนะ” ห่างกันไกลมากขนาดนี้ ทำได้แค่พูดกำชับเขาเท่านั้นเอง
หลังจากมู่น่อนน่อนวางสายแล้ว สือเย่ก็โทรศัพท์มาหาทันที
เรื่องที่สือเย่พูดกับเธอ ก็คือข่าวที่ซือหมิงหวนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต
สือเย่ก็ได้ยินข่าวมาจากลูกน้องของเฉินชิงเฟิงอีกที
แต่มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าซือหมิงหวนกำลังรีบไปตามนัดที่ได้นัดหมายกับเฉินถิงเซียวเอาไว้จนเกิดอุบัติเหตุรถชน ดังนั้นในเวลานี้เลยคิดว่าเป็นเพียงแค่รถชนกันตามปกติทั่วไปเท่านั้นเอง
จนตอนท้าย มู่น่อนน่อนพูดออกมา “สือเย่ คุณก็ไปเมืองMกับพวกเขาเถอะ คุณพ่อของเฉินถิงเซียวน่าจะไปเมืองMกับเสี่ยวฉิน ฉันอยู่ที่เมืองหู้หยางคนเดียวได้ไม่มีปัญหาอะไร ในทางกลับกันการที่เฉินถิงเซียวไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว มันไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่”
ความจริงแล้วสือเย่ก็อยากไปเมืองMพร้อมกับเฉินถิงเซียว เมื่อได้ยินมู่น่อนน่อนพูดออกมาเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่คำนึงถึงอะไรอีกแล้ว พลันเดินทางขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังเมืองMพร้อมกับพวกของเฉินชิงเฟิงทันที