ลี่จิ่วเชียนออกมาจากห้องนอน ก็ได้ยินการเคลื่อนไหวที่ในห้องครัว
เขาหันหน้าไปมองห้องที่อยู่ข้างๆ ก้าวเท้าเดินไปยังห้องครัว
มู่น่อนน่อนกำลังผูกผ้ากันเปื้อนยืนหั่นผลไม้อยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ในครัว
ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลัง เธอหันหน้าไป ก็เห็นลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ห่างจากเธอไปสองก้าว ยิ้มออกมาจางๆแล้วมองเธอ
มู่น่อนน่อนยิ้มกลับไปให้ “อรุณสวัสดิ์”
“กำลังทำอะไรอยู่?” ลี่จิ่วเชียนเดินเข้ามาใกล้อีกนิด พิงเข้ากับขอบเคาน์เตอร์ครัว ไปดูของที่วางอยู่ที่ข้างๆ
บนใบหน้าของมู่น่อนน่อนแสดงความมีความสุขออกมา “ตื่นเช้า ก็เลยมาดูที่ห้องครัวสักหน่อย แต่ผลสุดท้ายก็มาพบว่าตัวเองทำอาหารเป็น”
เมื่อคืนวาน เธอกับลี่จิ่วเชียนไปเดินซูเปอร์กัน ซื้อของกลับมาเยอะเลย
ตอนที่ซื้อส่วนประกอบในการทำอาหาร เธอก็ได้พบว่าตัวเองเลือกอาหารมาอย่างนึง ในหัวก็ได้ปรากฏวิธีการทำอาหารเมนูนั้นขึ้นมา
เช้าวันนี้พอตื่นขึ้นมา เธอก็ได้เตรียมที่จะมาลองดูที่นี่สักหน่อย นึกไม่ถึงว่าเธอจะทำเป็นจริงๆ
นี่มันก็ไม่ได้ต่างไปจากการคาดเดาเมื่อก่อนหน้านี้ของเธอมากนัก
ฐานะทางบ้านของเธอธรรมดามาก ตัวเองทำอาหารเป็น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนตัวเองคงจะอยู่คนเดียว ก็คงจะค่อนข้างที่จะยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองได้พอสมควร
สายตาของลี่จิ่วเชียนหยุดอยู่ที่บนใบหน้าของเธอไปสักพักนึง “ไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก ตอนนี้เธอยังเป็นคนป่วยอยู่ เดี๋ยวฉันจะเชิญคุณป้าสักคนมาทำอาหารให้”
“ไม่ได้ลำบากเลย ร่างกายของตัวฉันเองฉันรู้หรอก ตอนนี้ฉันรู้สึกดีมาก” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เอาผลไม้ที่หั่นเสร็จแล้วจัดใส่จานไปให้เรียบร้อย “เสร็จแล้ว สามารถกินมื้อเช้ากันได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนเอาอาหารเช้ามาวางลงบนโต๊ะอาหาร ก็ได้ยินลี่จิ่วเชียนพูดออกมาว่า “อีกเดี๋ยวฉันจะไปทำงาน ตอนเที่ยงจะกลับมาพาเธอไปกินมื้อเที่ยงกัน”
มู่น่อนน่อนก็ได้ปฏิเสธไปโดยไม่แม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ “ไม่ต้องหรอก ฉันทำเองก็ได้แล้ว”
ลี่จิ่วเชียนราวกับว่านึกไม่ถึงว่าเธอจะปฏิเสธออกมาอย่างรวดเร็วอย่างนี้ จึงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็ได้ส่ายหน้าออกมา “ฉันกลับมาดีกว่า”
มู่น่อนน่อนพูดออกมา “ไม่ต้องจริงๆ ท่าทางระมัดระวังอย่างนี้ของนาย จะทำให้ฉันคิดว่าฉันไม่ได้เสียความทรงจำ แต่ได้กลายมาเป็นคนพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้วนะ”
ลี่จิ่วเชียนยิ้มออกมา ไม่ได้พูดอะไรออกไปมากมายอีก
……
ลี่จิ่วเชียนกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ไปทำงาน มู่น่อนน่อนก็ได้จัดการทำความสะอาดครัวไปสักหน่อย ลงมาชั้นล่างไปทิ้งขยะ
เธอโยนขยะเข้าไปในถังขยะ หันหน้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นคนสองคนกำลังทำลับๆล่อๆอยู่ตรงที่ไม่ไกลออกไป
เห็นรูปร่างเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
ผู้หญิงแต่งตัวครบเครื่อง ผู้ชายนั้นปกติอย่างมาก
มู่น่อนน่อนมองไปด้วยความสงสัยอยู่หลายวิ ในใจเกิดความลังเลว่าจะต้องเรียกรปภ.มาหรือเปล่า
ตอนนี้ผู้หญิงที่แต่งตัวครบเครื่องคนนั้นได้วิ่งเข้ามาทางเธอ
ผู้หญิงยังสวมรองเท้าส้นสูงอยู่ วิ่งมาเสียรวดเร็วขนาดนี้ มู่น่อนน่อนเห็นก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา
ผู้หญิงวิ่งเข้ามา ตรงเข้ามากอดมู่น่อนน่อนเอาไว้แน่น “น่อนน่อน! เป็นเธอจริงๆด้วย! ฉันก็ยังนึกว่ากู้จือหยั่นจะโกหกฉันเสียอีก!”
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตัวแข็งทื่อถูกเธอกอดเอาไว้ ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆกว่าจะเอ่ยถามออกไป “คุณผู้หญิงท่านนี้…”
“คุณผู้หญิงท่านนี้อะไรกัน ฉันคือเสิ่นเหลียงไง!”
เสิ่นเหลียงปล่อยมู่น่อนน่อนออก มองสำรวจเธอไปอย่างละเอียด “ทำไมถึงได้ผอมอย่างนี้ได้กัน?”
มู่น่อนน่อนป่วยหนักเพิ่งจะฟื้นตัวกลับมา มองดูซีดเซียวและก็ยังซูบผอมไป
มู่น่อนน่อนเอ่ยถามออกไปเป็นเชิงหยั่งเชิง “เธอชื่อ…เสิ่นเหลียง?”
“ใช่แล้ว ฉันคือเสิ่นเหลียง…” เสิ่นเหลียงพูดออกมาก็มีการสะอึกสะอื้นออกมา
คำพูดตรงข้างหลังยังไม่ทันได้พูดออกมาจนจบ ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นเสียงสะอึกสะอื้นออกมา
หลังจากนั้น เธอก็ได้นั่งยองๆลงบนพื้นแล้วร้องไห้ออกมา
ร้องไห้เสียจนดูเสียอกเสียใจอย่างมาก
“เสิ่นเสี่ยวเหลียง”
กู้จือหยั่นที่ยืนอยู่ข้างๆไม่ได้ส่งเสียงพูดออกมาโดยตลอด เห็นเสิ่นเหลียงเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ได้นั่งลงยองๆเพื่อจะปลอบเธอไปด้วยสีหน้าตะลีตะลาน
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่อีกด้านนึง ตื่นตกใจรับมือไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย “คุณเสิ่น…”
คุณเสิ่นคนนี้เหมือนกับว่าจะรู้จักเธอ แต่ว่าภาพจำที่เธอมีต่อคุณเสิ่นไม่มีเลยสักนิดเดียวจริงๆ เธอถึงกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเลยทีเดียว
เสิ่นเหลียงได้ยินเธอเรียกตัวเองว่า “คุณเสิ่น”แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมา “คุณเสิ่นอะไรกัน เธอป่วยหนักเพิ่งจะฟื้นตัวมาก็สามารถเปลี่ยนท่าทีมาแตกหักไม่รู้จักใครกันมาทันทีเลยนะ!”
เสิ่นเหลียงร้องไห้ออกมาจนเครื่องสำอางเลอะไปหมด ละเลงไปทั้งใบหน้า
สุดท้ายแล้ว มู่น่อนน่อนจำต้องพาพวกเขาทั้งสองคนขึ้นมาข้างบน
เสิ่นเหลียงเข้าห้องน้ำไปจัดแจงตัวเองสักหน่อย ตอนที่กลับเข้าไปที่ห้องโถง ก็ได้กลับมาสงบลงเป็นปกติแล้ว
มู่น่อนน่อนกำลังรินน้ำให้พวกเขา
เสิ่นเหลียงไม่แม้แต่จะกะพริบตา มองจ้องมู่น่อนน่อนไปอย่างไม่คลาดสายตา
ก่อนที่จะมา กู้จือหยั่นได้บอกถึงสถานการณ์ของมู่น่อนน่อนมาบ้างแล้ว
เมื่อตอนนั้นเดิมทีแล้วเธอไม่ได้คิดอะไรมากมาย ขอเพียงแค่มู่น่อนน่อนยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว
แต่ว่าตอนนี้เห็นมู่น่อนน่อนยังมีชีวิตอยู่ยืนอยู่ที่ตรงหน้าเธอแบบเป็นๆ ตอนที่รู้ว่าเธอลืมเรื่องทั้งหมดในอดีตไป ในใจของเสิ่นเหลียงก็ยังรู้สึกทุกข์ใจสุดๆอยู่ดี
ตอนที่มู่น่อนน่อนยกน้ำเข้ามา ก็เห็นเสิ่นเหลียงกำลังจ้องมองเธอมาด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ
มู่น่อนน่อนยื่นน้ำแก้วนึงไปให้เธอ เอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เธอยังโอเคอยู่หรือเปล่า?”
เสิ่นเหลียงรับพยักหน้าออกมาทันที มองเธอไปตาปริบๆ “แล้วเธอล่ะ?”
มู่น่อนน่อนถูกท่าทางมองมาตาปริบๆนี้ของเธอทำให้รู้สึกตลกขึ้นมา “ฉันเองก็สบายดีเหมือนกัน ร่างกายในตอนนี้ก็แข็งแรงมาก เพียงแต่ฉันในตอนนี้…”
“ฉันรู้หมดแล้ว จำไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะถึงยังไงวันเวลาต่อจากนี้ไปก็ยังอีกยาวไกล ยังสามารถสร้างความทรงจำให้มากขึ้นอีกได้” น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงซื่อตรงและจริงใจ
เสิ่นเหลียงได้ยอมรับเรื่องที่มู่น่อนน่อนเสียความทรงจำไปได้แล้ว
เจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่ ก็ดีแล้ว
ท่าทางของเสิ่นเหลียง ทำให้มู่น่อนน่อนเชื่อออกมาได้โดยอัตโนมัติว่าเมื่อก่อนเสิ่นเหลียงกับเธอจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากแน่ๆเลย
เธอนึกว่าเสิ่นเหลียงจะพูดพวกเรื่องในอดีตกับเธอ แต่ผลสุดท้ายเสิ่นเหลียงก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย
เสิ่นเหลียงเพียงแค่ถามพวกสถานการณ์ความเป็นอยู่ในช่วงนี้ของเธอมาเท่านั้น
อันที่จริงเธอฟื้นขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไหร่เอง นอกจากลี่จิ่วเชียนแล้ว เธอเองก็รู้จักแค่กู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียงเท่านั้น และมันก็ไม่ได้มีเรื่องอื่นให้น่าพูดคุยกันนัก
เสิ่นเหลียงให้ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกันมากกับเธอ
ตั้งใจหาเรื่องมาพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย เพียงไม่นานก็มาถึงตอนเที่ยงแล้ว
เห็นพวกเขาดูเหมือนยังไม่คิดที่จะกลับไปกัน จึงส่งเสียงพูดออกไป “พวกเธออยู่กินข้าวกันที่นี่เถอะ”
เสิ่นเหลียงได้ตอบรับออกมาทันที “ได้เลย”
เธอพูดจบ ก็ได้เกาหัวไปอย่างเขินอายออกมาเล็กน้อย เหมือนกับจะตอบไปเร็วเกินไป…
อันที่จริงเธอนั้นมัวแต่โอ้เอ้ไม่ยอมไปอยู่ตลอด
เมื่อก่อนเธอได้ยินกู้จือหยั่นบอกว่าคนที่ช่วยมู่น่อนน่อนเอาไว้เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ดูแลมู่น่อนน่อนมาสามปีโดยที่ไม่แยกห่างไปไหน เธออยากเจอผู้ชายคนนั้นสักหน่อย
“งั้นฉันขอตัวไปเตรียมก่อนสักหน่อยนะ” มู่น่อนน่อนพูดแล้วลุกยืนขึ้นมา เดินไปห้องครัวด้วยฝีเท้าที่อ่อนช้อย
พอเธอเดินออกไป เสิ่นเหลียงก็ได้หันหน้าไปถามกู้จือหยั่น “ก่อนหน้านี้นายบอกว่าเมื่อวานนายไปหาบอสใหญ่มา? เขามีปฏิกิริยายังไง?”
“เหมือนกับเมื่อก่อนเลย” กู้จือหยั่นทอดถอนหายใจออกมา ตอบกลับมาอย่างอ่อนแรง
เสิ่นเหลียงเองก็กดขมับของตัวเองไปด้วยความหงุดหงิดใจไปอย่างช่วยไม่ได้ “อยู่ดีๆทำไมถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ไปได้นะ? เขาลืมน่อนน่อนไปโดยสมบูรณ์ แล้วยังมีคู่หมั้นอีก…ผู้ชายมันแน่เอานอนไม่ได้เลย!”
กู้จือหยั่นส่งเสียงค้านออกไป “เธอจะว่าเขาก็ว่าเขาไปสิ ฉันไม่เหมือนเขาเสียหน่อย…”
เสิ่นเหลียงไม่มีกะจิตกะใจจะไปเถียงกับเขา เหมือนกับว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าจึงจริงจังออกมา แล้วเอ่ยเตือนออกมา “นายอย่าได้เอ่ยถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมาต่อหน้าน่อนน่อน แม้แต่คำเดียวก็ห้ามเอ่ยถึง!”
เฉินถิงเซียวในตอนนี้ก็จำมู่น่อนน่อนไม่ได้เหมือนกัน ถ้าต้องให้มู่น่อนน่อนนึกถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมาได้ แต่เฉินถิงเซียวกลับคบอยู่กับผู้หญิงคนอื่น อย่างนั้นแล้วจะทำร้ายจิตใจของมู่น่อนน่อนเอามากเลยนะ
สำหรับตรงจุดนี้แล้ว อันที่จริงกู้จือหยั่นก็ได้เจอมากับตัวแล้ว
นึกถึงไปถึงเมื่อก่อนหน้านี้ที่เฉินถิงเซียวบอกว่าหลังจากนี้ไปจะเพิ่มเขาลงบัญชีดำ เขาก็รู้สึกปวดตับขึ้นมา “รู้แล้ว”