ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม – บทที่ 364 ตามใจจนเสียนิสัยตรงไหน?

บทที่ 364 ตามใจจนเสียนิสัยตรงไหน?

ซูเหมียนนึกไม่ถึงว่าทันทีที่เฉินถิงเซียวเอ่ยปากพูดจะพูดเรื่องนี้ออกมา สีหน้าจึงเปลี่ยนไปโดยทันที “หมายความว่าอะไรคะ?”

“คำพูดง่ายๆแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ เฉินมู่ไม่สามารถให้เธอมาดูแลได้หรอก” เฉินถิงเซียวย่นคิ้วออกมาเล็กน้อย น้ำเสียงเยือกเย็นออกมายิ่งกว่าเดิม

ความอดทนของเขาได้หายไปทีละนิดๆ

“ไม่ว่าจะพูดยังไง ฉันก็เป็นคู่หมั้นของคุณนะ และก็เป็นแม่แท้ๆของมู่มู่ คุณมาพูดอย่างนี้กับฉันได้ยังไง!” ซูเหมียนถูกเขายั่วให้รู้สึกโมโหขึ้นมา ระดับเสียงยกสูงขึ้น ไม่มีท่าทางใจเย็นสง่างามของตอนปกติอยู่เลยสักนิดเดียว

เธอทนมาพอแล้ว ผ่านมาสามปีไปแล้ว

ถึงแม้ว่าจะเป็นก้อนน้ำแข็ง ก็ควรจะละลายไปได้แล้ว

แต่ว่าเฉินถิงเซียวกลับเหมือนกับก้อนหิน ท่าทีที่มีต่อเธอยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเดียว

“อย่างแรก เรื่องคู่หมั้น เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนพูดมาเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน อย่างที่สอง ถ้าเธอไม่ใช่แม่แท้ๆของเฉินมู่ เธอคิดว่าตอนนี้เธอจะยังสามารถนั่งคุยกับฉันอยู่ที่ตรงนี้ได้เหรอ?”

น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นชาจนเกือบจะโหดร้ายไปเลย

ซูเหมียนใบหน้าซีดออกมา พูดไม่ออกอยู่นาน จากนั้นก็ถือกระเป๋าลุกขึ้นเดินออกไป

ทันทีที่เธอเดินไปถึงที่ประตูทางเข้า ก็เจอกับเฉินจิ่งหยุ้นที่กำลังเข้าประตูมาพอดี

เฉินจิ่งหยุ้นรีบรั้งเธอเอาไว้ทันที “ซูเหมียน? นี่เธอจะไปไหน? ดึกขนาดนี้แล้วก็พักที่นี่เสียเลยเถอะ”

ซูเหมียนหันไปมองทางข้างในอย่างระมัดระวัง แล้วก็ลากเฉินจิ่งหยุ้นเดินไปที่ตรงมุมที่ไม่มีใครเลยที่ข้างนอกประตู

ภายใต้แสงไฟริมถนนสีเหลืองนวล เฉินจิ่งหยุ้นมองเห็นซูเหมียนเบ้าตาแดงก่ำออกมา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“จิ่งหยุ้น ฉันทนเฉินถิงเซียวไม่ไหวแล้วจริงๆ เขายังคงเป็นก้อนหินไม่เปลี่ยนไปเลย…”

ซูเหมียนได้เอาคำพูดของเฉินถิงเซียวเมื่อครู่นี้เล่าให้กับเฉินจิ่งหยุ้นไป

เฉินจิ่งหยุ้นลังเลตัดสินใจออกมาไม่ได้ ไม่ได้พูดอะไรออกไป

ซูเหมียนถอนหายใจออกมาด้วยความอดกลั้นเป็นอย่างมาก “เมื่อตอนนั้นเธอไม่ควรจะพาเฉินมู่กลับมาเลย เฉินถิงเซียวดีกับเธอมากกว่าฉันเสียอีก!”

“อย่าพูดอย่างนั้น เฉินมู่เป็นลูกสาวแท้ๆของถิงเซียวนะ” ในใจของเฉินจิ่งหยุ้น ความสัมพันธ์ของคนทางสายเลือดสำคัญมาก

เฉินถิงเซียวจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้ เฉินจิ่งหยุ้นนึกว่าการที่เธอบอกเฉินถิงเซียวไปว่าซูเหมียนเป็นแม่แท้ๆของเฉินมู่ไปแล้ว อย่างน้อยเฉินถิงเซียวก็จะมีความรู้สึกที่พิเศษกับซูเหมียนมาบ้างสักนิด

แต่นึกไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเฉินมู่เลย แต่กับซูเหมียนกลับยังเย็นชาอย่างนี้อยู่เหมือนเดิม

สามปีมานี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเดียว

ด้วยเหตุนี้เอง เฉินจิ่งหยุ้นถึงได้จงใจปล่อยข่าวกับสื่อออกไปว่าซูเหมียนเป็นคู่หมั้นของเฉินถิงเซียว

ซูเหมียนถึงแม้ว่าจะไม่พอใจกับการแถลงออกไปนี้ของเฉินจิ่งหยุ้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาให้มากมาย เพียงแค่เอ่ยพูดออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายอยู่บ้างเล็กน้อย “วันนี้ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ขอตัวกลับก่อน”

“ฉันให้คนขับรถไปส่งเธอ แล้วฉันจะคิดหาวิธีดู” เฉินจิ่งหยุ้นพูดออกไป จากนั้นก็ยื่นมือออกไปตบไหล่ของซูเหมียน

……

ส่งซูเหมียนไปแล้ว เฉินจิ่งหยุ้นถึงได้เข้ามา

เฉินถิงเซียวกำลังกินอาหารเย็นอยู่ ข้างๆเขามีเก้าอี้สำหรับทานอาหารของเด็กวางไว้ตัวนึง เฉินมู่กำลังกอดถ้วยเล็กๆสีฟ้าจางๆกินผลไม้อยู่

เธอเห็นเฉินจิ่งหยุ้นเดินเข้ามา ส่งเสียงเรียกเสียงอ้อแอ้ออกไป “คุณป้า~”

“มู่มู่กำลังกินผลไม้อยู่เหรอเนี่ย~” เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มพลางเดินเข้าไป

เฉินมู่ยื่นมือไปถือส้อม จิ้มแตงโมชิ้นนึงยื่นไปตรงหน้าของเฉินจิ่งหยุ้น “คุณป้ากิน”

เฉินจิ่งหยุ้นมองผลไม้ในถ้วยที่ถูกเฉินมู่จิ้มจนเละเทะไปหมด และก็ไม่รู้ด้วยว่าได้ละเลงน้ำลายลงไปเท่าไหร่ เฉินจิ่งหยุ้นเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย

เธอยิ้มแล้วกุมมืออวบเล็กของเฉินมู่เอาไว้ เอาผลไม้ยื่นไปทางปากของเฉินมู่ “มู่มู่กินเองเลย กินเยอะๆ จะได้สวยๆ”

เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆได้ยินคำพูดของเฉินจิ่งหยุ้น ได้หันหน้าไปมองเธอเล็กน้อย ส่งเสียงพูดออกไปเบาๆ “มู่มู่ ให้พ่อกินแอปเปิลสักชิ้นนึงสิ”

เฉินมู่ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว ดวงตาก็เป็นประกายออกมา เอาแตงโมยัดเข้าปากของตัวเองไป หาแอปเปิลมาชิ้นนึงจิ้มขึ้นมาอย่างแม่นยำแล้วยื่นไปที่ปากของเฉินถิงเซียว

เฉินถิงเซียวอ้าปากกินมันลงไป “ที่เหลือต้องกินเองให้หมด”

เฉินมู่เหมือนกับได้รับการให้กำลังใจมา จึงได้ทิ้งส้อมไปแล้วใช้มือจับไปเลยทันที

เฉินจิ่งหยุ้นอยากจะส่งเสียงห้าม แต่ก็ถูกเฉินถิงเซียวขัดออกมา “เธอยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย?”

“ยัง”

เฉินถิงเซียวเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “งั้นก็ไปกินเถอะ ไม่ต้องสนใจมู่มู่”

ตอนที่เฉินจิ่งหยุ้นเข้าห้องรับประทานอาหารไป ก็มีคนใช้เอาอุปกรณ์ในการรับประทานอาหารมาวางเอาไว้ที่ฝั่งตรงกันข้ามของเฉินถิงเซียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เฉินมู่กินผลไม้ที่อยู่ในถ้วยไปจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วก็ดึงแขนเสื้อของเฉินถิงเซียว ชูถ้วยขึ้นสูง “คุณพ่อหนูกินหมดแล้ว”

ของที่อยู่ในปากของเธอยังกินไปไม่หมด ใบหน้าที่เดิมทีก็อวบอ้วนอยู่แล้วก็ยิ่งกลมออกมายิ่งกว่าเดิม

เฉินถิงเซียวเห็นก็รู้สึกสนใจ จึงได้ยื่นมือไปหยิกหน้าของเธอ

“ไอ้หยา ทำอะไร…” เฉินมู่ยื่นมือไปตีมือของเฉินถิงเซียว

เฉินถิงเซียวเก็บมือกลับมา แล้วก็มีคนใช้ถือทิชชูมาเพื่อเช็ดน้ำผลไม้ที่อยู่ตามขอบปากให้เฉินมู่

เฉินมู่ไม่ได้ให้ความร่วมมือเท่าไหร่นัก แต่ได้ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปทางเฉินถิงเซียว อยากให้เฉินถิงเซียวอุ้มเธอออกไปจากเก้าอี้ทานอาหารของเด็ก

“ฉันจัดการเอง” เฉินถิงเซียวรับทิชชูจากมือของคนใช้มา ช่วยเช็ดตรงขอบปากให้เฉินมู่ แล้วอุ้มเธอมาวางลงบนขา

“นั่งให้ดี”

หาได้ยากที่เฉินมู่จะนั่งดีๆอย่างว่าง่าย และก็ไม่ได้ขยับซนไปด้วย

เฉินถิงเซียวกินข้าวต่อ

เฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามเห็นปฏิสัมพันธ์ของสองพ่อลูกคู่นี้แล้ว ก็ได้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย “นายก็อย่าตามใจเธอเกินไปสิ เด็กเล็กอย่าตามใจจนเสียนิสัย”

เฉินมู่กำลังศึกษาลำคอของเฉินถิงเซียวไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ตอนที่เฉินถิงเซียวกินข้าว ลำคอก็ขยับ เฉินมู่ยื่นมือไปสัมผัสด้วยความอยากรู้

เฉินถิงเซียวจับมือที่ขยับซุกซนของเธอเอาไว้ หลุบตาลงมองเธอไปเชิงเตือน เฉินมู่จึงรีบพิงเข้ากับอ้อมแขนของเขาไม่ส่งเสียงอะไรออกมาอย่างเป็นเด็กดี

ต่อจากนั้น เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองไปทางเฉินจิ่งหยุ้น น้ำเสียงไม่แยแสอะไร “ตามใจจนเสียนิสัยตรงไหนกัน?”

เฉินจิ่งหยุ้นถูกคำพูดของเขาทำเอาสำลักไป มองดูท่าทางที่ไร้อารมณ์ของเฉินถิงเซียว แล้วก็มองดูเฉินมู่ที่กำลังพิงอยู่ในอ้อมแขนเงียบน่ารักน่าเอ็นดู เธอก็ได้เม้มริมฝีปากออกมา หมดคำที่จะพูด

รอจนตอนที่เฉินถิงเซียวกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ได้พบว่าหัวเล็กๆของเฉินมู่ได้ผงกกำลังจะนอนหลับเต็มทีเหมือนกับลูกไก่ที่กำลังจิกข้าวออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ค่อยๆย่องขึ้นไปข้างบน เอาเธอวางลงไปบนเตียง

ทันทีที่ได้วางลงไป เฉินมู่ก็ได้ส่งเสียงงึมงำออกมา เฉินถิงเซียวยื่นมือไปตบหลังของเธอไปเบาๆ เธอจึงได้หลับไปอย่างสงบอีกครั้ง

ลูกชิ้นน้อยนอนอยู่บนเตียง นอนเสียเหมือนกับลูกหมูตัวน้อยตัวหนึ่ง

เฉินถิงเซียวนึกถึงตอนที่เริ่มฟื้นขึ้นมาแรกๆ จำอะไรไม่ได้เลย สำหรับลูกสาวคนนี้เองก็ไม่เคยจะเป็นห่วงเป็นใยอะไรนัก ลูกสาวเป็นเด็กที่คนใช้เลี้ยงดูจนเติบโตมา

จนกระทั่งมีอยู่วันนึง เขาเลิกงานกลับมา เจ้าลูกชิ้นน้อยกระโจนเข้ามาอย่างกระง่อนกระแง่นเข้ามาจูบเขา…

บางทีนี่ก็อาจจะเป็นความมหัศจรรย์ทางสายเลือด

เขาจำไม่ได้ว่าเมื่อก่อนตัวเองไปคบกับซูเหมียนได้ยังไง กับซูเหมียนก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีๆอะไรเลยด้วย แต่สำหรับเฉินมู่แล้วนั้น สำคัญมาก

เมื่อแน่ใจแล้วว่าเฉินมู่นอนหลับไปแล้ว เฉินถิงเซียวจึงค่อยๆปิดประตูออกไปอย่างเบามือเบาเท้า

ทันทีที่ออกมาก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้น เห็นได้ชัดว่าเฉินจิ่งหยุ้นได้รออยู่นานแล้ว

“ถิงเซียว ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

เฉินถิงเซียวเอามือทั้งสองข้างสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ตัวเขามองไปแล้วดูมีท่าทีสบายๆอยู่บ้างเล็กน้อย “ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับซูเหมียน เธอไม่จำเป็นจะต้องพูดแล้ว ฉันฟังมาจนเอียนแล้ว”

“ซูเหมียนไม่ดีตรงไหนกัน รักนายอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แล้วก็ยังเป็นแม่แท้ๆของเฉินมู่อีก อีกอย่างอายุเธอก็มากแล้วด้วย…”

เฉินถิงเซียวขัดเธอออกมา “เธอเองก็อายุมากแล้ว เอาตัวเองแต่งออกไปก่อนเถอะ”

“ถิงเซียว นาย…

ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม

ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม

Status: Ongoing

แม่ของมู่นอนน่อนคุกเข่าลงต่อหน้าของเธอ ขอให้เธอ แต่งงานแทนพี่สาวกับเฉินถึงเขียวผู้ชายที่ขี้เหร่และพิการที่ ชาวบ้านเล่าลือกัน ในคืนวันแต่งงาน ตอนที่เธอได้พบหน้า หล่อเหลาของชายคนนี้เธอตกใจมาก เฉินถึงเซียวพูดตรงๆ เลยว่าเธอน่าเกลียดมากๆ เดิมที่คิดว่าคงใช้ชีวิตต่างคนต่าง อยู่ แต่กลับถูกผู้ชายคนนี้กดอยู่ใต้รางกายอย่างรุนแรง”ไหน บอกว่าคุณทำไม่ได้ไง”ผู้หญิงตกใจ” ได้หรือไม่ได้ คำพูดของ เธอ ฉันไม่นับ! “บนหน้าของเฉินถึงเชียวแสดงออกถึงความ เจ้าเสน่ห์

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท