ในชั่วเวลาสั้นๆ ความกดอากาศภายในห้องทำงานก็ได้ต่ำลงหลากหลายระดับ
เฉินถิงเซียวเลิกตาขึ้นมา ชำเลืองมองเฉินจิ่งหยุ้นไปอย่างเย็นชา ก่อนพูดเสียงต่ำออกไป “ออกไป!”
ในดวงตาประหนึ่งน้ำหมึกคู่นั้นของเขา ได้ปรากฏความเหี้ยมโหดมืดครึ้มออกมา
แต่ไหนแต่ไรมาเฉินจิ่งหยุ้นไม่เคยเจอท่าทีอย่างนี้ของเฉินถิงเซียวมาก่อน เธอกลัวจนถอยหลังออกไปสองก้าวติดๆกัน ลืมพูดไปชั่วขณะ
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา จู่ๆก็ลุกยืนขึ้นมาแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าเฉินจิ่งหยุ้น ยื่นมือไปบีบคอของเฉินจิ่งหยุ้นไปด้วยความรุนแรง
การเคลื่อนไหวของเฉินถิงเซียวกะทันหันเกินไป แม้แต่สือเย่เองก็ไม่สามารถเก็บกลั้นเสียงร้องตกใจออกมาได้ “คุณชาย!”
เขารักษาแรงที่ลำคอของเฉินจิ่งหยุ้นเอาไว้อย่างมั่นคงมองไปแล้วดูไม่ได้เบาเลย เพราะว่าทั้งใบหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้แดงจนเขียวคล้ำออกมาเล็กน้อย
เธอจับแขนของเฉินถิงเซียวเอาไว้ อยากจะปัดแขนของเขาออกไป แต่มือของเฉินถิงเซียวกลับเหมือนกับว่าได้เชื่อมอยู่ที่บนคอของเธอไปก็ไม่ปาน ไม่ว่าเธอจะตบไปยังไงจับไปยังไง เขาก็ไม่ขยับเลยสักนิดเดียว
เธอพยายามฝืนพูดออกมาจากในลำคอด้วยความยากลำบาก “ป…ปล่อย…”
“ตอนเด็กๆ ไม่ใช่ว่าเธอคิดว่าฉันเป็นปีศาจตนหนึ่งหรือไง? แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าหลอกฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้จุดจบของการยั่วโทสะของปีศาจหรือเปล่า?”
เฉินถิงเซียวจ้องมองเฉินจิ่งหยุ้นไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น ในดวงตาไม่มีความอบอุ่นอะไรเลยสักนิดเดียว
สือเย่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเจอท่าทางดุร้ายขนาดนี้ของเฉินถิงเซียวมาก่อนเหมือนกัน อย่างนี้ต่อไปเฉินถิงเซียวจะต้องบีบคอเฉินจิ่งหยุ้นตายจริงๆแน่
“คุณชายครับ คุณรีบปล่อยมือไปเร็วเข้า คุณจะบีบคอคุณหนูเฉินตายเอานะครับ!” สือเย่รู้นิสัยแปลกๆของเฉินถิงเซียว ในช่วงเวลาแบบนี้เลยไม่กล้าแตะต้องเขาด้วยเหมือนกัน กล้าเพียงแต่คอยพูดกล่อมอยู่ข้างๆเท่านั้น
สือเย่ไม่กล้าเรียกรปภ.ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน เรื่องจำพวกนี้ ไม่อาจเผยแพร่ออกไปให้คนอื่นรู้เข้าได้
เห็นเฉินจิ่งหยุ้นได้เริ่มที่จะใกล้หมดสติไปเต็มทีแล้ว สือเย่เหมือนกับว่าจู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้ก็ไม่ปาน จึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปหามู่น่อนน่อน
สิ่งที่น่ายินดีเลยก็คือ เพียงไม่นานก็รับสาย
ในสายได้มีเสียงมู่น่อนน่อนดังขึ้นมา “ฮัลโหล?”
“คุณมู่ ผมสือเย่นะครับ รบกวนคุณช่วยพูดกับคุณชายสักสองสามคำหน่อยครับ”
“พูดอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“พูดอะไรก็ได้ครับ”
สือเย่พูดจบ ก็ยื่นโทรศัพท์ไปข้างๆหูของเฉินถิงเซียว “คุณชายครับ สายของคุณมู่ครับ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจสือเย่ ในดวงตาของเขาได้แสดงสายตาฆ่าฟันออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขาอยากจะบีบคอเฉินจิ่งหยุ้นให้ตายจริงๆ
แต่ไหนแต่ไรมาเฉินถิงเซียวไม่ใช่คนที่จะมีเมตตาอะไรอยู่แล้ว มือของเขาจึงไม่ได้สะอาดอยู่แล้ว
สือเย่ร้อนรนขึ้นมา แล้วได้โพล่งออกไป “เป็นสายของมู่น่อนน่อนครับ! เธอคงมีเรื่องด่วนจะคุยกับคุณ คุณรับหน่อยครับ?”
ราวกับว่าถูกคำว่า “มู่น่อนน่อน” สามคำนี้สะกิดใจเข้า เฉินถิงเซียวเหมือนกับว่าในที่สุดก็ได้สติกลับมาก็ไม่ปาน ผันหน้ามองไปทางสือเย่ พลางเอ่ยเสียงเย็นออกไป “มู่น่อนน่อน?”
สือเย่พยักหน้าออกมา “ใช่ครับ มู่น่อนน่อน”
สือเย่เปิดแฮนด์ฟรี มู่น่อนน่อนที่อยู่ทางปลายสายก็ได้ยินบทสนทนาของเขากับเฉินถิงเซียวด้วยเช่นกัน
แม้ว่าจะกั้นโทรศัพท์กันอยู่คนละฝ่าย มู่น่อนน่อนเองก็สามารถรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวในตอนนี้ผิดแปลกไปบ้าง
ดังนั้นแล้วเธอจึงส่งเสียงเรียกเพื่อเป็นการหยั่งเชิงออกไปในโทรศัพท์ “เฉินถิงเซียว?”
ได้ยินเสียงเธอ เฉินถิงเซียวได้ตกใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงยื่นมือไปเอาโทรศัพท์มา แน่นอนว่าได้ปล่อยเฉินจิ่งหยุ้นไปโดยอัตโนมัติ
เฉินจิ่งหยุ้นไม่มีการประคองตัวเอาไว้ ก็ได้ร่วงลงพื้นไปทันที
สือเย่รีบเข้าไปประคองเฉินจิ่งหยุ้นเข้าไปนอนบนโซฟา ไม่มีเวลาไปคิดถึงเฉินจิ่งหยุ้น ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ร่างของเฉินถิงเซียวไปหมด
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่เดิม ถือโทรศัพท์ส่งเสียงเรียกออกไป “มู่น่อนน่อน”
น้ำเสียงของเขาฟังไปแล้วไม่ได้แตกต่างอะไรจากตอนปกติเลย แต่กลับเผยความแปลกไปออกมารางๆ
มู่น่อนน่อนนึกถึงบทสนทนาของเฉินถิงเซียวกับสือเย่เมื่อกี้นี้ขึ้นมาได้ พลางถามออกไป “เฉินถิงเซียว เมื่อกี้คุณทำอะไรอยู่?”
เมื่อกี้ทำอะไรอยู่?
เฉินถิงเซียวก้มลงมองมือของตัวเองไปแวบนึง แล้วได้เงยหน้าขึ้นมองไปทางเฉินจิ่งหยุ้นที่กำลังนอนอยู่บนโซฟาด้วยสภาพกึ่งๆไม่ได้สติไปแล้ว เขาขมวดคิ้วแน่นออกมา สีหน้าก็ได้ดีขึ้นมาแล้ว
เขาถามออกมา “เมื่อกี้เพิ่งจะจัดการเอกสารไป คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับผม?”
“ฉัน…” โทรศัพท์เป็นสือเย่โทรมาหาเธอ เธอไหนเลยจะมีเรื่องอะไรที่จะคุยกับเฉินถิงเซียวกันน่ะ
แต่ว่าเรื่องมันมาถึงตรงนี้แล้ว เธอทำได้เพียงแค่แต่งเหตุผลไปมั่วๆอันนึงขึ้นมา “ฉันจะถามคุณว่าตอนเที่ยงจะกลับมากินข้าวหรือเปล่า”
เฉินถิงเซียวเงียบไปสักพักหนึ่ง พลางถามออกไป “คุณอยากให้ผมกลับไปกินข้าว?”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบคำถามของเขาไปตรงๆ “แล้วคุณจะกลับมามั้ยล่ะ?”
“ดูสถานการณ์ก่อน”
“อ้อ”
“ไม่มีอะไรแล้วผมวางก่อน”
“อืม”
แต่มู่น่อนน่อนรออยู่นาน ก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียววางสายไปเลย
มู่น่อนน่อนถามเขาออกไป “คุณไม่ใช่ว่าจะวางสายแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่ตอบกลับมาคำนึงอย่างเย็นชา “คุณวางไปก่อน”
มู่น่อนน่อนจำต้องวางสายไป มักจะรู้สึกอยู่ตลอดว่าเฉินถิงเซียวในวันนี้แปลกๆไปหมดเลย
เฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์มาอยู่ที่ตรงหน้า แน่ใจว่าโทรศัพท์ได้วางสายไปแล้ว ถึงจะเอาโทรศัพท์คืนให้กับสือเย่ไป
สือเย่ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกออกมา ในช่วงเวลาคอขาดบาดตาย ก็ยังคงเป็นมู่น่อนน่อนที่สามารถสั่นคลอนเฉินถิงเซียวเอาไว้อยู่หมัด
ในตอนนี้เฉินถิงเซียวจึงได้มีกะจิตกะใจไปดูเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นกึ่งๆนอนอยู่บนโซฟา ตอนนี้ได้ฟื้นคืนสติกลับมาบ้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง
ในตอนที่เธอเห็นเฉินถิงเซียวเดินเข้ามาหาตน ภายในดวงตาได้ปรากฏสายตาหวาดกลัวออกมา ถอยออกไปข้างหลังไปพลาง พูดพึมพำออกมาพลาง “อย่าเข้ามา…นายอย่าเข้ามา…”
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปตรงหน้าโซฟา มองเธอจากด้านบนไล่ลงไป “มีเรื่องอะไร บอกมาให้ชัดเจนในครั้งเดียว”
“ฉันว่า ฉันพูดออกไปหมดแล้ว…” เฉินจิ่งหยุ้นในตอนนี้ได้หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมด ไหนเลยจะยังมีท่าทีหยิ่งยโสของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินอยู่อีก
“เป็นฉันที่หลอกลวงนายไป ซูเหมียนไม่ใช่แม่แท้ๆของมู่มู่…”
“อันที่จริงกู้จือหยั่นเป็นเพื่อนสนิทของนาย สือเย่เป็นลูกน้องที่นายไว้วางใจมากที่สุด มู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่นายรักที่สุด…”
“เป็นฉันที่ส่งนายไปอเมริกา หาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตมา ปิดล็อกความทรงจำก่อนหน้านี้ทั้งหมดของนายเอาไว้…นี่เป็นความผิดของฉันทั้งหมด ฉันสำนึกผิดแล้ว ฉันสำนึกผิดหมดแล้ว ถิงเซียวนายยกโทษให้ฉันสักครั้งเถอะนะ ฉันขอร้องนายล่ะ ขอร้องล่ะ”
เฉินจิ่งหยุ้นร่วงลงจากโซฟา นั่งลงบนพื้นไปอย่างจนตรอก ดึงกางเกงของเฉินถิงเซียวเอาไว้ ขอร้องวิงวอนเขาออกมา
เธอถูกโอ๋มาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่กินสิ่งที่สวมใส่สิ่งของที่ใช้ อะไรๆก็ล้วนแล้วแต่จะดีที่สุดทั้งนั้น
แต่ไหนแต่มารอบตัวก็ล้วนแล้วแต่จะเป็นการ์ดและคนใช้อยู่กันเป็นกลุ่ม เธอยังเคยรู้สึกยินดีปรีดามาก่อนที่ตอนเด็กเธอไม่ถูกลักพาตัวไปด้วย
เธอใช้ชีวิตมาอย่างราบรื่นทุกอย่าง นอกจากน้องชายคนนี้ ที่ไม่เคยฟังคำพูดเธอเลย แตกต่างจากเธอ
เมื่อตอนนั้นเธอคิดเพียงแค่ว่าวิธีการของเธอถูกต้องแล้ว แต่ว่าเธอไม่ได้สนใจกมลสันดานของเฉินถิงเซียวเลย
เขาเป็นปีศาจตนหนึ่งจริงๆ เมื่อตอนนั้นเขาถูกลักพาตัวไปตอนที่ส่งกลับมาอีกที ก็ไม่เหมือนกับเด็กปกติทั่วไปคนหนึ่งเลย ดังนั้นแล้วตั้งแต่เด็กเธอก็ไม่ชอบเขาเลย
แต่ความสามารถเขาโดดเด่น เธออยากจะพึ่งพาเขาเพื่อรักษาความรุ่งโรจน์ของตระกูลเฉินเอาไว้ให้คงอยู่ต่อไป
เพียงแต่ว่าเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฉินถิงเซียวคิดอยากจะฆ่าเธอ
เมื่อกี้เธอเกือบ…ตายในมือของเฉินถิงเซียวแล้ว
ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ปีศาจในใจเขาก็ได้เติบโตมาพร้อมกับเขาด้วย
เฉินจิ่งหยุ้นรู้ว่าเธอไม่มีวันควบคุมเฉินถิงเซียวเอาไว้ได้เลย
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ในดวงตาก็ได้มีพลังทำลายล้างมารวมตัวกันอีกครั้ง
สือเย่ที่อยู่ข้างๆจึงรีบเข้ามาถามเฉินจิ่งหยุ้นออกมาก่อนที่เฉินถิงเซียวจะระเบิดโทสะออกมาอีกครั้ง “ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตคนไหนครับ?”