ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม – บทที่ 417 คิดอยากฆ่าเธอ

บทที่ 417 คิดอยากฆ่าเธอ

ในชั่วเวลาสั้นๆ ความกดอากาศภายในห้องทำงานก็ได้ต่ำลงหลากหลายระดับ

เฉินถิงเซียวเลิกตาขึ้นมา ชำเลืองมองเฉินจิ่งหยุ้นไปอย่างเย็นชา ก่อนพูดเสียงต่ำออกไป “ออกไป!”

ในดวงตาประหนึ่งน้ำหมึกคู่นั้นของเขา ได้ปรากฏความเหี้ยมโหดมืดครึ้มออกมา

แต่ไหนแต่ไรมาเฉินจิ่งหยุ้นไม่เคยเจอท่าทีอย่างนี้ของเฉินถิงเซียวมาก่อน เธอกลัวจนถอยหลังออกไปสองก้าวติดๆกัน ลืมพูดไปชั่วขณะ

เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา จู่ๆก็ลุกยืนขึ้นมาแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าเฉินจิ่งหยุ้น ยื่นมือไปบีบคอของเฉินจิ่งหยุ้นไปด้วยความรุนแรง

การเคลื่อนไหวของเฉินถิงเซียวกะทันหันเกินไป แม้แต่สือเย่เองก็ไม่สามารถเก็บกลั้นเสียงร้องตกใจออกมาได้ “คุณชาย!”

เขารักษาแรงที่ลำคอของเฉินจิ่งหยุ้นเอาไว้อย่างมั่นคงมองไปแล้วดูไม่ได้เบาเลย เพราะว่าทั้งใบหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้แดงจนเขียวคล้ำออกมาเล็กน้อย

เธอจับแขนของเฉินถิงเซียวเอาไว้ อยากจะปัดแขนของเขาออกไป แต่มือของเฉินถิงเซียวกลับเหมือนกับว่าได้เชื่อมอยู่ที่บนคอของเธอไปก็ไม่ปาน ไม่ว่าเธอจะตบไปยังไงจับไปยังไง เขาก็ไม่ขยับเลยสักนิดเดียว

เธอพยายามฝืนพูดออกมาจากในลำคอด้วยความยากลำบาก “ป…ปล่อย…”

“ตอนเด็กๆ ไม่ใช่ว่าเธอคิดว่าฉันเป็นปีศาจตนหนึ่งหรือไง? แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าหลอกฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้จุดจบของการยั่วโทสะของปีศาจหรือเปล่า?”

เฉินถิงเซียวจ้องมองเฉินจิ่งหยุ้นไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น ในดวงตาไม่มีความอบอุ่นอะไรเลยสักนิดเดียว

สือเย่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเจอท่าทางดุร้ายขนาดนี้ของเฉินถิงเซียวมาก่อนเหมือนกัน อย่างนี้ต่อไปเฉินถิงเซียวจะต้องบีบคอเฉินจิ่งหยุ้นตายจริงๆแน่

“คุณชายครับ คุณรีบปล่อยมือไปเร็วเข้า คุณจะบีบคอคุณหนูเฉินตายเอานะครับ!” สือเย่รู้นิสัยแปลกๆของเฉินถิงเซียว ในช่วงเวลาแบบนี้เลยไม่กล้าแตะต้องเขาด้วยเหมือนกัน กล้าเพียงแต่คอยพูดกล่อมอยู่ข้างๆเท่านั้น

สือเย่ไม่กล้าเรียกรปภ.ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน เรื่องจำพวกนี้ ไม่อาจเผยแพร่ออกไปให้คนอื่นรู้เข้าได้

เห็นเฉินจิ่งหยุ้นได้เริ่มที่จะใกล้หมดสติไปเต็มทีแล้ว สือเย่เหมือนกับว่าจู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้ก็ไม่ปาน จึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปหามู่น่อนน่อน

สิ่งที่น่ายินดีเลยก็คือ เพียงไม่นานก็รับสาย

ในสายได้มีเสียงมู่น่อนน่อนดังขึ้นมา “ฮัลโหล?”

“คุณมู่ ผมสือเย่นะครับ รบกวนคุณช่วยพูดกับคุณชายสักสองสามคำหน่อยครับ”

“พูดอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“พูดอะไรก็ได้ครับ”

สือเย่พูดจบ ก็ยื่นโทรศัพท์ไปข้างๆหูของเฉินถิงเซียว “คุณชายครับ สายของคุณมู่ครับ”

เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจสือเย่ ในดวงตาของเขาได้แสดงสายตาฆ่าฟันออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เขาอยากจะบีบคอเฉินจิ่งหยุ้นให้ตายจริงๆ

แต่ไหนแต่ไรมาเฉินถิงเซียวไม่ใช่คนที่จะมีเมตตาอะไรอยู่แล้ว มือของเขาจึงไม่ได้สะอาดอยู่แล้ว

สือเย่ร้อนรนขึ้นมา แล้วได้โพล่งออกไป “เป็นสายของมู่น่อนน่อนครับ! เธอคงมีเรื่องด่วนจะคุยกับคุณ คุณรับหน่อยครับ?”

ราวกับว่าถูกคำว่า “มู่น่อนน่อน” สามคำนี้สะกิดใจเข้า เฉินถิงเซียวเหมือนกับว่าในที่สุดก็ได้สติกลับมาก็ไม่ปาน ผันหน้ามองไปทางสือเย่ พลางเอ่ยเสียงเย็นออกไป “มู่น่อนน่อน?”

สือเย่พยักหน้าออกมา “ใช่ครับ มู่น่อนน่อน”

สือเย่เปิดแฮนด์ฟรี มู่น่อนน่อนที่อยู่ทางปลายสายก็ได้ยินบทสนทนาของเขากับเฉินถิงเซียวด้วยเช่นกัน

แม้ว่าจะกั้นโทรศัพท์กันอยู่คนละฝ่าย มู่น่อนน่อนเองก็สามารถรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวในตอนนี้ผิดแปลกไปบ้าง

ดังนั้นแล้วเธอจึงส่งเสียงเรียกเพื่อเป็นการหยั่งเชิงออกไปในโทรศัพท์ “เฉินถิงเซียว?”

ได้ยินเสียงเธอ เฉินถิงเซียวได้ตกใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงยื่นมือไปเอาโทรศัพท์มา แน่นอนว่าได้ปล่อยเฉินจิ่งหยุ้นไปโดยอัตโนมัติ

เฉินจิ่งหยุ้นไม่มีการประคองตัวเอาไว้ ก็ได้ร่วงลงพื้นไปทันที

สือเย่รีบเข้าไปประคองเฉินจิ่งหยุ้นเข้าไปนอนบนโซฟา ไม่มีเวลาไปคิดถึงเฉินจิ่งหยุ้น ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ร่างของเฉินถิงเซียวไปหมด

เฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่เดิม ถือโทรศัพท์ส่งเสียงเรียกออกไป “มู่น่อนน่อน”

น้ำเสียงของเขาฟังไปแล้วไม่ได้แตกต่างอะไรจากตอนปกติเลย แต่กลับเผยความแปลกไปออกมารางๆ

มู่น่อนน่อนนึกถึงบทสนทนาของเฉินถิงเซียวกับสือเย่เมื่อกี้นี้ขึ้นมาได้ พลางถามออกไป “เฉินถิงเซียว เมื่อกี้คุณทำอะไรอยู่?”

เมื่อกี้ทำอะไรอยู่?

เฉินถิงเซียวก้มลงมองมือของตัวเองไปแวบนึง แล้วได้เงยหน้าขึ้นมองไปทางเฉินจิ่งหยุ้นที่กำลังนอนอยู่บนโซฟาด้วยสภาพกึ่งๆไม่ได้สติไปแล้ว เขาขมวดคิ้วแน่นออกมา สีหน้าก็ได้ดีขึ้นมาแล้ว

เขาถามออกมา “เมื่อกี้เพิ่งจะจัดการเอกสารไป คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับผม?”

“ฉัน…” โทรศัพท์เป็นสือเย่โทรมาหาเธอ เธอไหนเลยจะมีเรื่องอะไรที่จะคุยกับเฉินถิงเซียวกันน่ะ

แต่ว่าเรื่องมันมาถึงตรงนี้แล้ว เธอทำได้เพียงแค่แต่งเหตุผลไปมั่วๆอันนึงขึ้นมา “ฉันจะถามคุณว่าตอนเที่ยงจะกลับมากินข้าวหรือเปล่า”

เฉินถิงเซียวเงียบไปสักพักหนึ่ง พลางถามออกไป “คุณอยากให้ผมกลับไปกินข้าว?”

มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบคำถามของเขาไปตรงๆ “แล้วคุณจะกลับมามั้ยล่ะ?”

“ดูสถานการณ์ก่อน”

“อ้อ”

“ไม่มีอะไรแล้วผมวางก่อน”

“อืม”

แต่มู่น่อนน่อนรออยู่นาน ก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียววางสายไปเลย

มู่น่อนน่อนถามเขาออกไป “คุณไม่ใช่ว่าจะวางสายแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เฉินถิงเซียวเพียงแค่ตอบกลับมาคำนึงอย่างเย็นชา “คุณวางไปก่อน”

มู่น่อนน่อนจำต้องวางสายไป มักจะรู้สึกอยู่ตลอดว่าเฉินถิงเซียวในวันนี้แปลกๆไปหมดเลย

เฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์มาอยู่ที่ตรงหน้า แน่ใจว่าโทรศัพท์ได้วางสายไปแล้ว ถึงจะเอาโทรศัพท์คืนให้กับสือเย่ไป

สือเย่ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกออกมา ในช่วงเวลาคอขาดบาดตาย ก็ยังคงเป็นมู่น่อนน่อนที่สามารถสั่นคลอนเฉินถิงเซียวเอาไว้อยู่หมัด

ในตอนนี้เฉินถิงเซียวจึงได้มีกะจิตกะใจไปดูเฉินจิ่งหยุ้น

เฉินจิ่งหยุ้นกึ่งๆนอนอยู่บนโซฟา ตอนนี้ได้ฟื้นคืนสติกลับมาบ้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง

ในตอนที่เธอเห็นเฉินถิงเซียวเดินเข้ามาหาตน ภายในดวงตาได้ปรากฏสายตาหวาดกลัวออกมา ถอยออกไปข้างหลังไปพลาง พูดพึมพำออกมาพลาง “อย่าเข้ามา…นายอย่าเข้ามา…”

เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปตรงหน้าโซฟา มองเธอจากด้านบนไล่ลงไป “มีเรื่องอะไร บอกมาให้ชัดเจนในครั้งเดียว”

“ฉันว่า ฉันพูดออกไปหมดแล้ว…” เฉินจิ่งหยุ้นในตอนนี้ได้หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมด ไหนเลยจะยังมีท่าทีหยิ่งยโสของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินอยู่อีก

“เป็นฉันที่หลอกลวงนายไป ซูเหมียนไม่ใช่แม่แท้ๆของมู่มู่…”

“อันที่จริงกู้จือหยั่นเป็นเพื่อนสนิทของนาย สือเย่เป็นลูกน้องที่นายไว้วางใจมากที่สุด มู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่นายรักที่สุด…”

“เป็นฉันที่ส่งนายไปอเมริกา หาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตมา ปิดล็อกความทรงจำก่อนหน้านี้ทั้งหมดของนายเอาไว้…นี่เป็นความผิดของฉันทั้งหมด ฉันสำนึกผิดแล้ว ฉันสำนึกผิดหมดแล้ว ถิงเซียวนายยกโทษให้ฉันสักครั้งเถอะนะ ฉันขอร้องนายล่ะ ขอร้องล่ะ”

เฉินจิ่งหยุ้นร่วงลงจากโซฟา นั่งลงบนพื้นไปอย่างจนตรอก ดึงกางเกงของเฉินถิงเซียวเอาไว้ ขอร้องวิงวอนเขาออกมา

เธอถูกโอ๋มาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่กินสิ่งที่สวมใส่สิ่งของที่ใช้ อะไรๆก็ล้วนแล้วแต่จะดีที่สุดทั้งนั้น

แต่ไหนแต่มารอบตัวก็ล้วนแล้วแต่จะเป็นการ์ดและคนใช้อยู่กันเป็นกลุ่ม เธอยังเคยรู้สึกยินดีปรีดามาก่อนที่ตอนเด็กเธอไม่ถูกลักพาตัวไปด้วย

เธอใช้ชีวิตมาอย่างราบรื่นทุกอย่าง นอกจากน้องชายคนนี้ ที่ไม่เคยฟังคำพูดเธอเลย แตกต่างจากเธอ

เมื่อตอนนั้นเธอคิดเพียงแค่ว่าวิธีการของเธอถูกต้องแล้ว แต่ว่าเธอไม่ได้สนใจกมลสันดานของเฉินถิงเซียวเลย

เขาเป็นปีศาจตนหนึ่งจริงๆ เมื่อตอนนั้นเขาถูกลักพาตัวไปตอนที่ส่งกลับมาอีกที ก็ไม่เหมือนกับเด็กปกติทั่วไปคนหนึ่งเลย ดังนั้นแล้วตั้งแต่เด็กเธอก็ไม่ชอบเขาเลย

แต่ความสามารถเขาโดดเด่น เธออยากจะพึ่งพาเขาเพื่อรักษาความรุ่งโรจน์ของตระกูลเฉินเอาไว้ให้คงอยู่ต่อไป

เพียงแต่ว่าเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฉินถิงเซียวคิดอยากจะฆ่าเธอ

เมื่อกี้เธอเกือบ…ตายในมือของเฉินถิงเซียวแล้ว

ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ปีศาจในใจเขาก็ได้เติบโตมาพร้อมกับเขาด้วย

เฉินจิ่งหยุ้นรู้ว่าเธอไม่มีวันควบคุมเฉินถิงเซียวเอาไว้ได้เลย

เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ในดวงตาก็ได้มีพลังทำลายล้างมารวมตัวกันอีกครั้ง

สือเย่ที่อยู่ข้างๆจึงรีบเข้ามาถามเฉินจิ่งหยุ้นออกมาก่อนที่เฉินถิงเซียวจะระเบิดโทสะออกมาอีกครั้ง “ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตคนไหนครับ?”

ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม

ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม

Status: Ongoing

แม่ของมู่นอนน่อนคุกเข่าลงต่อหน้าของเธอ ขอให้เธอ แต่งงานแทนพี่สาวกับเฉินถึงเขียวผู้ชายที่ขี้เหร่และพิการที่ ชาวบ้านเล่าลือกัน ในคืนวันแต่งงาน ตอนที่เธอได้พบหน้า หล่อเหลาของชายคนนี้เธอตกใจมาก เฉินถึงเซียวพูดตรงๆ เลยว่าเธอน่าเกลียดมากๆ เดิมที่คิดว่าคงใช้ชีวิตต่างคนต่าง อยู่ แต่กลับถูกผู้ชายคนนี้กดอยู่ใต้รางกายอย่างรุนแรง”ไหน บอกว่าคุณทำไม่ได้ไง”ผู้หญิงตกใจ” ได้หรือไม่ได้ คำพูดของ เธอ ฉันไม่นับ! “บนหน้าของเฉินถึงเชียวแสดงออกถึงความ เจ้าเสน่ห์

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท