มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเสิ่นเหลียงไม่เห็นท่าทางของเธอในตอนนี้ เธอจึงพูดออกไปว่า “ฉันเป็นคนโทรให้เขาเอง”
“เธอโทรไปหาเขา แล้วเขาก็มารับเธอเลยเนี่ยนะ? ถ้าพูดว่าเขาไม่มีความรู้สึกอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่เชื่อหรอก…”
ในตอนนั้น เสียงผู้ช่วยของเสิ่นเหลียงก็ดังขึ้นจากในโทรศัพท์ “พี่เหลียง เดี๋ยวจะต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว”
เสิ่นเหลียงตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เธอเดินไปก่อนเลย”
จากนั้นก็พูดกับคนในสายว่า “น่อนน่อน ฉันไปขึ้นเครื่องก่อนนะ ถ้าไปถึงตรงนั้นแล้วฉันต้องนั่งรถไฟและรถยนต์ต่ออีก ฉันคิดว่าน่าจะไม่มีเวลาติดต่อเธอไปเลย รอให้ตอนที่ฉันกลับมา ไม่แน่นะบอสใหญ่อาจจะความทรงจำกลับมาแล้ว”
“เดินทางปลอดภัยนะ ถ้าว่างฉันจะไปเยี่ยมที่กองละคร”
“มันไกลเกินไป อีกอย่างก็เดินทางไม่สะดวก เธอไม่ต้องไปหรอก”
“พอได้แล้ว รีบไปขึ้นเครื่องเถอะ”
มู่น่อนน่อนเร่งให้เสิ่นเหลียงวางสาย จากนั้นเธอก็โบกรถที่ข้างถนน
ในบ้านมีแต่ความว่างเปล่า มู่น่อนน่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ยกแล็ปท็อปและโน๊ตบุ๊คไปที่หน้าต่าง เพื่อเตรียมจะทำงาน
ถึงแม้ว่าเธอจะดูเรื่องเมืองพังไปหลายรอบแล้ว แต่เธอก็ยังต้องใส่ใจกับรายละเอียดอีกเยอะ เพื่อไม่ให้ปรากฏข้อบกพร่องที่ชัดเจนเกินไป จนผู้ชมค้นพบสิ่งนี้
ในสายอาชีพนี้ ครึ่งหนึ่งจำเป็นต้องแข่งขันกับตัวเอง อีกครึ่งหนึ่งก็จำเป็นต้องแข่งขันกับทางผู้ชม
การเขียนบทการประชุมทางธุรกิจขนาดเล็กๆ หรือการดำเนินการเพื่อปราบปรามโจร บางทีก็อาจจะต้องตรวจสอบข้อมูลหลายสิบหน้า และสิ่งที่คุณต้องการในตอนสุดท้าย ก็จะมีเพียงหน้าเดียวหรือสองหน้าเท่านั้น
แม้ว่าส่วนแรกจะถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานแล้ว แต่ที่จริงแล้วการเขียนภาคสองก็ไม่ต่างจากการเขียนเรื่องใหม่เลย ต้องเขียนเรื่องราวใหม่ๆ แล้วเอาเรื่องราวเก่าๆ เข้ามาสอดแทรก เชื่อมต่อกันจนกลายเป็นเรื่องเดียวกัน
มู่น่อนน่อนใช้แล็ปท็อปเปิดเรื่องเมืองพัง แล้วก็พิมพ์เรื่องราวลงในโน๊ตบุ๊ค
เวลาที่เธอเหนื่อย เธอก็จะหยิบมือถือขึ้นมาและดูข่าวออนไลน์
ข่าวก่อนหน้านี้ของเธอกับเสิ่นชูหาน หายไปนานแล้ว ส่วนใหญ่แล้วไม่มีสื่อใหญ่ๆ สื่อไหนที่จะยังคงเก็บข่าวนี้ไว้
ส่วนบริษัทสื่ออื่นๆ ที่ไม่ได้มีอำนาจมาก ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนดูตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากข่าวอื้อฉาวของดาราแล้ว รวมถึงข่าวโปรโมทละครเรื่องใหม่ ก็ไม่มีข่าวอะไรที่น่าสนใจเลย
เธอดูข่าวทั้งหน้าจนหมด เธอก็กลับไปที่ด้านบน แล้วก็กดรีเฟรชอย่าเคยชิน จากนั้นเธอก็เห็นว่ามีพาดหัวข่าวใหม่ปรากฏขึ้น
“ตะลึง: ประธานบริษัทเฉินซื่อแอบไปสถานีตำรวจกลางดึก จากนั้นก็พาหญิงสาวคนหนึ่งกลับไปด้วย สงสัยว่าจะเป็นรักครั้งใหม่…”
มู่น่อนน่อนกดเข้าไปอ่าน ภาพที่อยู่ในข่าวเห็นได้ชัดว่าเป็นภาพที่ถูกถ่ายจากที่ไกลแล้วซูมเข้ามา รูปภาพดูค่อนข้างจะเบลอ
พื้นหลังในรูปก็คือด้านนอกของสถานีตำรวจ ข้างกายของเฉินถิงเซียวที่สูงโปร่งมีหญิงสาวที่ผมกระเซิงอยู่ด้วย
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ได้ชัดมากนัก แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เขามักจะปรากฏตัวบนสื่ออยู่บ่อยครั้ง ต่อให้ไม่เห็นใบหน้า แต่ออร่าที่แพร่ออกมาจากบนตัวเขาก็ทำให้คนจำเขาได้อย่างง่ายดาย
แล้วหญิงสาวที่ผมกระเซิงอยู่ข้างกายเขา…
หลังจากที่มู่น่อนน่อนซูมดูรูปภาพ เธอก็มองดูอยู่หลายที เธอไม่อยากจะเชื่อว่าในรูปนั้นคือตัวเธอเอง
ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นใบหน้าโดยตรง และเห็นเพียงแค่เธอกำลังกอดแขนของเฉินถิงเซียวไว้ รวมถึงผมที่ยุ่งกระเซิงเหมือนกับเส้นฟาง เห็นแค่นี้ก็รู้สึกไม่อยากจะมองต่อแล้ว
คอมเม้นต์ด้านล่างมีความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกับเธอ
“นี่คุณบอกฉันว่าผู้หญิงคนนี้คือรักใหม่ของคุณชายเฉินเหรอ? สายตาของคุณชายเฉินได้แค่นี้เหรอ?”
“ฮาฮาฮาผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนคนที่มีปัญหาทางสมองเลย”
มู่น่อนน่อนหัวเราะแห้งๆ เธอน่ะสิที่ป่วย
เมื่อเลื่อนลงไปเรื่อยๆ
“ไม่เห็นหน้าเลย ไม่แน่นะอาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณชายเฉินก็ได้?”
“ตอบคอมเม้นต์บน ไม่มีทางเป็นไปได้ ในข่าวลือต่างก็บอกว่าคุณชายเฉินเป็นคนที่มีนิสัยเย็นชามาก ยังไงเขาก็ไม่มีทางทำตัวสนิทสนมกับลูกพี่ลูกน้องแบบนี้”
“ไม่ใช่สิ คุณชายเฉินมีคู่หมั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วก็ไม่ได้ข่าวเลยว่าเขาทะเลาะกับคู่หมั้นคนนั้น!”
“ขนาดสามีภรรยายังสามารถหย่าร้างกันได้เลย แล้วนี่ก็เป็นแค่คู่หมั้นเท่านั้น”
มู่น่อนน่อนก็เพิ่งจะนึกเรื่องบางอย่างออก ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวและซูเหมียนอยู่ในสถานะ “คู่หมั่นคู่หมาย”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากขึ้น
ข่าวเพิ่งจะถูกเปิดเผยออกมา เธอก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวรู้เรื่องนี้หรือยัง
ไม่แน่บางทีเฉินถิงเซียวอาจจะคิดว่า เธอเป็นคนปล่อยข่าวพวกนี้ให้กับสื่อใดสื่อหนึ่ง
มู่น่อนน่อนหาโทรศัพท์ตัวเอง ก่อนจะกดโทรไปหาเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวที่อยู่ในสายพูดอย่างเย็นชาว่า “ว่า”
เขาเย็นชามากจริงๆ
มู่น่อนน่อนพูดว่า “เมื่อคืนตอนที่คุณไปรับฉันออกมาจากสถานีตำรวจ พวกเราโดนสื่อแอบถ่าย ตอนนี้ก็เป็นข่าวแล้ว ข่าวน่าจะเพิ่งถูกปล่อยออกมา”
อีกทางด้านหนึ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น “ผมรู้แล้ว”
เธอรู้สึกได้ว่าหลังจากเฉินถิงเซียวพูดจบเขาก็จะวางสายทันที เธอก็เลยรีบตะโกนออกไปว่า “เฉินถิงเซียว”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเห็นได้ชัดว่าดูไม่พอใจมาก “มีธุระอะไรอีก?”
“ตอนกลางคืนคุณจะมาทานข้าวไหม?” หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็พูดเสริมไปอีกว่า “ถ้าคุณอยากทานอะไรก็บอกฉันได้เลยนะ”
เฉินถิงเซียวตอบรับอย่างราบเรียบว่า “อืม”
มู่น่อนน่อนรู้สึกตกใจเล็กน้อย เธอคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะตอบรับในทันที
หลังจากที่เฉินถิงเซียววางสายไป เขาก็ส่งข้อความไปหามู่น่อนน่อน ในข้อความนั้นมีชื่ออาหารอยู่หลายอย่าง
เมื่อครู่นี้ที่เธอถามว่าเฉินถิงเซียวจะมาทานข้าวเย็นไหม เธอถามเขาทางอ้อมเพื่อขอคำตอบ
ถ้าเกิดว่าเฉินถิงเซียวยังรู้สึกไม่พอใจกับข่าวของเธอกับเสิ่นชูหาน ยังไงเขาก็จะไม่มีทางมาทานอาหารเย็นที่นี่ แต่เขาตอบตกลงแล้วว่าจะมาทานอาหารเย็นที่นี่ ก็แสดงว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้แล้ว
เดิมทีมันก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวง
เพราะว่าเฉินถิงเซียวจะมาทานอาหารเย็นที่นี่ ในตอนเย็น มู่น่อนน่อนก็เลยขับรถออกไปซื้อกับข้าว
เธอไปที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในใจกลางเมือง
ตั้งแต่ที่ออกมาจากที่จอดรถ เธอก็รู้สึกว่ามีคนกำลังเฝ้าดูเธออยู่
จนกระทั่งเธอเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ความรู้สึกนั้นก็ชัดเจนมากขึ้น
เธอมองไปด้านหลังด้วยความหวาดระแวง เธอก้าวเข้าไปตรงกลางของชั้นวางแถวหนึ่ง จากนั้นเธอก็รีบเดินไปซ่อนที่มุมทางเดิน
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงมุมทางเดินไม่นานนัก ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมา เธอเหมือนกำลังหาใครบางคนอยู่
เมื่อหญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ มู่น่อนน่อนก็เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน
คือเซียวชู่เหอนี่เอง!
เซียวชู่เหอมองไม่เห็นเธอ เธอหันตัวและกำลังคิดที่จะแอบเดินจากไป
แต่ ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“น่อนน่อน!”
เซียวชู่เหอตะโกนเรียกเธอ ก่อนจะรีบมายืนบังอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอมองสำรวจไปทางมู่น่อนน่อน ในแววตาของเธอมีความดีใจแอบแฝงอยู่ “เป็นเธอจริงๆ ด้วย!”
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองไปที่เซียวชู่เหอ เธอก็ตอบรับด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “คุณนายมู่”
เมื่อเซียวชู่เหอได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที “น่อนน่อน ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ แต่ในใจของเธอก็ยังเกลียดฉันอยู่…”
เกือบจะในทันที มู่น่อนน่อนตอบกลับเธออย่างหนักแน่น “ไม่นะ”
เซียวชู่เหอเงยหน้ามองไปที่เธอ ในแววตาของเธอมีความงงงวยแอบแฝงอยู่
“ตอนแรกก็ไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว พูดไม่ได้ว่าเกลียดหรอก ถ้าเกิดว่าฉันเกลียดคุณจริงๆ ฉันเกรงว่าคุณอาจจะไม่สามารถยืนพูดคุยกับฉันได้อย่างปกติอย่างตอนนี้แล้ว”
สภาพจิตใจของมู่น่อนน่อนในตอนนี้ ดูราบเรียบเหมือนกับน้ำเสียงของเธอในการพูดเลย
เธอรู้สึกเฉยชากับเซียวชู่เหอแล้ว ถ้าเกิดว่าเธอไม่ปรากฏตัวขึ้นมา บางทีมู่น่อนน่อนอาจจะลืมไปแล้วว่ายังมีเธอคนนี้อยู่บนโลกใบนี้