เฉินถิงเซียววางกล่องลังลงบนโต๊ะ สีหน้าสงบนิ่ง
เขาสามารถเข้ามาอยู่ได้ต้องอาศัยการตามตื๊อไปอย่างไม่ยอมแพ้ทั้งนั้น สือเย่มีสิทธิ์อะไรที่จะถูกมู่น่อนน่อนเชิญเข้ามานั่งเล่นได้ง่ายๆกันล่ะ?
เฉินถิงเซียวส่งเสียงเฮอะออกมาเบาๆ แล้วก็ได้เงยหน้าขึ้นไปมองมู่น่อนน่อนแวบนึง แล้วถอนสายตากลับมา เปิดกล่องลังเอาเอกสารที่อยู่ด้านในออกมา
มู่น่อนน่อนไม่ได้เข้าไปทางเฉินถิงเซียว ตัดสินใจที่จะเข้าห้องไปดูเฉินมู่สักหน่อย
ตอนบ่ายเฉินมู่ไปนอนกลางวัน จนถึงตอนนี้ยังไม่ตื่น ตอนนี้ก็จะหกโมงเย็นไปแล้ว ต้องไปปลุกเธอขึ้นมาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับอีก
เธอมองดูเวลา ถึงได้พบว่าวันนี้เฉินถิงเซียวกลับมาเร็วมาก
เธอเพิ่งจะเดินมาถึงประตูห้องของเฉินมู่ ประตูห้องก็ค่อยๆถูกคนเปิดมาจากด้านใน
เฉินมู่ยืนผมชี้ยุ่งไปหมดอยู่ที่หลังประตู หาวออกมาเบาๆแล้วส่งเสียงเรียกออกมา “คุณแม่”
“มู่มู่ตื่นแล้วเหรอ” มู่น่อนน่อนอุ้มเธอขึ้นมา ยื่นมือไปจัดผมให้เธอ แล้วอุ้มเธอไปล้างหน้าล้างตา
ตอนที่ผ่านตรงห้องโถงใหญ่เห็นเฉินถิงเซียว เฉินมู่ก็ส่งเสียงเรียกออกไป “คุณพ่อ”
เสียงค่อนข้างที่เบาอยู่บ้าง เสียงอู้อี้เพิ่งจะตื่นนอน
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียง ก็เงยหน้าไปมองเฉินมู่ แล้วตอบออกมา “อืม”
อีกด้านนึงของห้องรับแขกได้เพิ่มโต๊ะทำงานกับชั้นวางหนังสือมาใหม่ เฉินมู่คาดว่าคงจะมองเห็นจุดที่ต่างออกไป ตอนที่เข้าห้องน้ำไป ยังมองไปทางเฉินถิงเซียวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ออกมาจากด้านในห้องน้ำ หลังจากที่มู่น่อนน่อนได้สวมเสื้อคลุมตัวนอกให้เฉินมู่แล้ว เฉินมู่ก็วิ่งไปทางเฉินถิงเซียวอย่างเริงร่า
ส่วนสูงของเธอยังขาดอีกหน่อยนึงถึงจะสูงเท่าโต๊ะทำงานได้
เธอยื่นมือที่อ้วนจ้ำม่ำทั้งสองข้างตะเกียงตะกายไปบนโต๊ะทำงาน เขย่งเท้าเงยหน้าขึ้นเสียสูงมากเพื่อไปดูเอกสารที่เฉินถิงเซียวจัดวางอยู่ “คุณพ่อ คุณพ่อกำลังทำอะไรอยู่…”
ประโยคแบบนี้อันที่จริงเธอพูดยังไม่ได้ชัดมากนัก แต่เฉินถิงเซียวเคยชินกับการฟังเธอพูดแล้ว จึงสามารถฟังออกได้ไปโดยปริยาย
เฉินถิงเซียวไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมา “ทำงาน”
เฉินมู่ถามไปด้วยความอยากรู้ “ทำงานอะไร?”
เฉินถิงเซียวเลิกตาขึ้นมา เห็นเฉินมู่กำลังตะเกียกตะกายอยู่ที่พื้นผิวโต๊ะไปอย่างยากลำบาก เงยหน้าขึ้นมองเธอ เพราะว่าใช้แรงมากเกินไป คิ้วของเธอเลยขมวดลาดเอียงกลายเป็นปม เม้มริมฝีปากแอบใช้แรงไปเงียบๆ
เฉินถิงเซียวจ้องมองเธอไปสองวิ ยื่นแขนข้ามผิวโต๊ะ ใช้มือทั้งสองข้างจับไปที่ใต้รักแร้ของเฉินมู่ แล้วยกเธอขึ้นมาวางลงบนโต๊ะทำงานทันที
ตอนที่เฉินมู่ถูกยกขึ้นมา ก็ยื่นมือไปจับแขนของเฉินถิงเซียวไปอย่างตื่นกังวล รอจนถึงตอนที่ถูกวางลงไปบนโต๊ะอย่างสวัสดิภาพแล้ว เธอจึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกออกมา “เฮ้อ!”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วออกมา “ถอนหายใจอะไร?”
“ไม่ได้ถอนหายใจ” เฉินมู่ส่ายหน้าปฏิเสธ ยื่นมือไปปัดเอกสารที่อยู่ตรงหน้าเขาไปอีกด้านหนึ่ง
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปกดเอกสารเอาไว้ น้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนอย่างเคย “อย่ากระดุกกระดิก”
เฉินมู่ตกใจกลัวจนหดมือกลับไปทันที เบิกตากว้างมองเฉินถิงเซียวไปตาปริบๆ แล้วยังเอามือไปไว้ข้างหลังเงียบๆ เหมือนกับว่ากลัวเฉินถิงเซียวจะตีเธอก็ไม่ปาน
มู่น่อนน่อนอยู่ที่ไม่ไกลออกไปมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้า ก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
เจ้าเด็กฉลาดเป็นกรดคนนี้นี่นะ
เฉินมู่เงียบไปได้ไม่ถึงสิบวิ ก็เข้าไปตรงหน้าของเฉินถิงเซียวไปดูเอกสารที่อยู่ในมือของเขาไปอีกครั้ง ยื่นมือออกไปแตะดูด้วยความกระตือรือร้นที่อยากจะลองดู
พอเฉินถิงเซียวเลิกตาขึ้นมา เธอก็ไปหดมือกลับไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เฉินมู่กำลังท้าทายหาเรื่องให้โดนอัดอยู่
เป็นอย่างนี้ไปซ้ำๆหลายครั้ง เฉินถิงเซียวหันหน้ามองไปทางมู่น่อนน่อน “มองพอแล้วก็พาลูกสาวคุณออกไป!”
มู่น่อนน่อนยืนตัวตรง พลางเอ่ยออกไปอย่างได้ใจสุดๆ “ฉันจะไปทำกับข้าว คุณดูมู่มู่ไปเถอะ อย่าทำให้เธอร้องไห้ล่ะ”
เฉินถิงเซียวย่นคิ้วออกมา เขาฟังออกได้ถึงอาการมีความสุขในความทุกข์ของคนอื่นจากในคำพูดของเธอ
มู่น่อนน่อนพูดจบก็เข้าห้องครัวไป เฉินถิงเซียวก้มหน้ามองไปทางเฉินมู่ เฉินมู่เองก็เลิกตาขึ้นมามองเขา
ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กน้อยหนึ่งสบตากันอยู่สักพักหนึ่ง เฉินมู่ส่งเสียงเรียกเขาเสียงเบาออกมากับนิ้วมือ “คุณพ่อ”
น้ำเสียงของเฉินมู่พูดออกมาอย่างระมัดระวัง ไม่ได้แตกต่างไปจากน้ำเสียงที่มู่น่อนน่อนพูดกับเขาตอนที่เขาโกรธเมื่อก่อนหน้านี้เลย
ตรงกลางระหว่างคิ้วของเฉินถิงเซียวนิ่วเข้าด้วยกันแล้วก็ได้คลายออกไปอย่างนั้น เขาแตะหัวเฉินมู่ไปเบาๆ “หนูว่าง่ายๆหน่อย อย่ากระดุกกระดิก ฉันจะเอารถเร็วเป้าลี่ของหนูมาให้”
ดวงตาของเฉินมู่เป็นประกายออกมาทันที “ได้!”
เฉินถิงเซียวหารถเร็วเป้าลี่มาให้เฉินมู่เล่น
เฉินมู่รับรถเร็วเป้าลี่มา แล้วเล่นไปอย่างตั้งอกตั้งใจ ขาอวบเล็กทั้งสองข้างวางอยู่บนโต๊ะทำงานได้โยกไปมา ที่ปากก็พูดพึมพำออกมา เล่นไปจนตั้งอกตั้งใจมาก
ขนาดเฉินถิงเซียวมองเธออยู่สักพักใหญ่ เธอก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลย
นี่คือลูกสาวของเขากับมู่น่อนน่อน
แต่น่าเสียดายที่เหมือนเขามากกว่าหน่อย ถ้าหน้าตาเหมือนกับมู่น่อนน่อนสักหน่อยก็จะดีกว่า
……
ตอนเย็น มู่น่อนน่อนได้รับสายของเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นกลับเมืองหู้หยางแล้ว
วันต่อมา มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงนัดกันไปกินข้าวข้างนอก
ตอนนี้เฉินถิงเซียวกับเฉินมู่ต่างอาศัยอยู่ด้วยกันกับเธอ เฉินถิงเซียวไปทำงานที่บริษัท แน่นอนว่าเธอจะต้องพาเฉินมู่ออกไปด้วยกัน
เสิ่นเหลียงถึงแม้ว่าภายนอกจะดูค่อนข้างที่จะไม่สนใจอะไร แต่ความจริงแล้วเป็นคนคิดละเอียดรอบคอบมากเลยเหมือนกัน
เธอรู้ว่ามู่น่อนน่อนจะพาเฉินมู่ออกไปด้วย ก็ยังพาของขวัญเล็กๆน้อยๆไปให้เฉินมู่ด้วย
มู่น่อนน่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “เธอมีของเล่นเยอะแล้ว ซื้อเยอะไปเธอเล่นไม่ไหวหรอก”
เสิ่นเหลียงเอ่ยออกมาอย่างไม่แยแส “เด็กน้อยมีที่ไหนจะไม่ชอบของขวัญกัน ของเล่นเดิมทีแล้วก็คือสิ่งที่เอามาเล่นอยู่แล้ว เธอจะไม่ชอบที่เสื้อผ้าเธอเยอะขึ้นมาหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนคิดว่าหมดหนทางที่จะโต้แย้งออกไป เธอไม่มีทางจะไม่ชอบที่เสื้อผ้าของตัวเองเยอะได้เลยจริงๆ
เสิ่นเหลียงเห็นสีหน้าของเธอผ่อนคลายมาบ้างแล้ว จึงเอ่ยออกไป “ถึงยังไงก็เป็นของเล่นกระจุ๊กกระจิ๊กที่ไม่ได้มีค่าอะไรอยู่แล้ว”
แท้ที่จริงแล้ว ของที่เสิ่นเหลียงซื้อมาไม่ใช่ของที่มีราคาแพงมากเป็นพิเศษจำพวกนั้น แต่มองไปแล้วกลับน่าสนใจมาก จึงมีความตั้งใจที่จะมอบให้อย่างเต็มเปี่ยม
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องที่ภูเขาเมื่อก่อนหน้านี้กันไปเล็กน้อย
เสิ่นเหลียงฟังจบ ก็ได้พยักหน้าออกมาเล็กน้อยตามมา “คุณลุงก็สบายดีมากเลย”
มู่น่อนน่อนกำลังอยากจะพูดอะไรออกไป ก็เห็นสายตาเสิ่นเหลียงจรดมองไปที่ด้านหลังของเธอ
“มีอะไร?” มู่น่อนน่อนมองไปข้างหลังตามสายตาของเธอ ก็เห็นเฉินถิงเซียวกับกู้จือหยั่นเดินเข้ามาทางนี้
กู้จือหยั่นเดินเข้ามาแล้วก็ตรงเข้าไปนั่งที่ข้างๆเสิ่นเหลียงทันที ยืดแขนยาวไปพาดลงบนพนักโซฟาด้านหลังเสิ่นเหลียง เอียงหน้าไปถามเธอ “ยังไม่สั่งอาหารเลยเหรอ?”
เสิ่นเหลียงเอี้ยวหน้าไป จ้องเขม็งไปที่แขนของเขาแวบนึง
กู้จือหยั่นจึงเก็บแขนของตัวเองกลับมาทันที แล้ววางลงบนโต๊ะ
ตอนนี้ก็ได้มีพนักงานเข้ามาเสิร์ฟน้ำพอดี กู้จือหยั่นจึงยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ถือโอกาสปกปิดความอับอาย
การปฏิสัมพันธ์ของทั้งของคนอยู่สายตาของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงนั่งกันอยู่ริมหน้าต่าง เฉินมู่นั่งอยู่ตรงที่ติดผนังตรงนั้น มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ใกล้กับตรงริมทางเดินตรงนี้
เฉินถิงเซียวนั่งลงข้างๆมู่น่อนน่อน สีหน้าเรียบนิ่ง
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเขา ไม่ต้องรอให้เธอพูดออกมา เฉินถิงเซียวก็ได้ตอบคำถามเธอออกมาอย่างรับรู้ได้ทันที “ออกมากินข้าว ระหว่างทางบังเอิญเจอจือหยั่น”
มู่น่อนน่อนมองดูนาฬิกาข้อมือไปเล็กน้อย จึงได้พบว่าเวลามันสายมากแล้ว ถึงเวลากินข้าวแล้ว
เธอเลิกตาขึ้นมองเฉินถิงเซียวไปด้วยสีหน้าที่เย็นชา “ที่นี่ใช้เวลาขับรถมาจากบริษัทเฉินซื่อประมาณสี่สิบนาที จากบริษัทเฉินซื่อใช้เวลาขับรถไปที่บริษัทเสิ้งติ่งครึ่งชั่วโมง พวกคุณไปบังเอิญเจอกันได้ยังไง?”
ข้ออ้างที่ทนคิดกลั่นกรองมากไม่ไหวนี้ของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนไหนเลยจะไปเชื่อเขาได้