“ฉันขอเข้าไปก่อนนะ”
สายตาของมู่น่อนน่อนจับจ้องมาที่ตัวของเฉินถิงเซียว ตอนที่เธอพูดออกมาก็ไม่ได้ละสายตาเลยด้วยซ้ำ แต่เสิ่นเหลียงรู้ดีว่า มู่น่อนน่อนกำลังพูดกับเธอ
“ขอตัวก่อนครับ” ลี่จิ่วเชียนพยักหน้าให้เสิ่นเหลียง และเดินไปพร้อมมู่น่อนน่อนเพื่อมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว
เสิ่นเหลียงเบิกตาโต พลันมองมู่น่อนน่อนที่คล้องแขนลี่จิ่วเชียนตามจริง พลันเดินมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว จนเธอเกิดอาการตัวแข็งทื่อ
เธอกระซิบพูดเกลี้ยกล่อม “น่อนน่อน?นี่แกจะทำอะไร?”
โดยปกติความจริงมู่น่อนน่อนเป็นคนที่โอนอ่อนเป็นพิเศษ แต่ตอนที่โดนยั่งอารมณ์ให้โกรธจริงๆ นั้น จึงเริ่มแสดงพฤติกรรมในทางตรงกันข้ามกันแทน
เห็นได้อย่างชัดเจน การทะเลาะกันของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนในครั้งนี้มันไม่ใช่ธรรมดาเลย
ส่วนเฉินถิงเซียวให้ซูเหมียนนั่งอยู่ด้านข้างนั้น มู่น่อนน่อนก็โกรธขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว ดังนั้นถึงได้ลากลี่จิ่วเชียนให้เดินไปพร้อมกัน
เสิ่นเหลียงรู้สึกว่าพฤติกรรมเช่นนี้ความจริงแล้วมันค่อนข้างปัญญาอ่อนอยู่บ้าง
แต่พอคิดถึงตอนที่เฉินถิงเซียวเห็นพวกเขาสองคนเข้าไปหาแล้ว อาจจะแสดงอากัปกิริยาระเบิดอารมณ์ดั่งสายฟ้าฟาด และต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดของเสิ่นเหลียงแล้ว พลันหันไปยิ้มปลอบใจให้เธอ เพื่อส่งสื่อความหมายว่าเธอมีขีดจำกัด
เสิ่นเหลียงเห็นภาพนั้นแล้ว ได้แต่ยอมแพ้ พร้อมทั้งแฝงตัวเข้าไปท่ามกลางฝูงชนมุ่งหน้าไปทางนั้น เพื่ออยากไปดูเรื่องสนุกๆด้วย
เมื่อครู่มู่น่อนน่อนยืนอยู่มุมห้องพร้อมกับเสิ่นเหลียง คนที่อยู่ในงานมัวแต่สนใจในตัวเฉินถิงเซียว เลยไม่มีใครมองเห็นเธอ
ทว่าตอนนี้เธอเดินออกมาจากมุมห้องแล้ว แถมยังเดินตรงแน่วมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว ดังนั้นจึงเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ด้านข้าง
“ผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน? สวยมาก?”
“ดูคุ้นตาจัง”
“ไอ้หยา นั้นมันไม่ใช่มู่น่อนน่อนอดีตภรรยาของคุณชายเฉินเหรอ? นี่พวกแกจำเธอไม่ได้ตอนที่เธอเข้ามาเหรอ?”
“คนที่เคยตกเป็นประเด็นข่าวคนนั้นอะนะ?”
“ฉันว่าผู้หญิงคนนี้หน้าด้านเกินทน หย่ากับท่านประธานเฉินไปสามปีแล้ว แถมคุณชายเฉินยังมีว่าที่ภรรยาคนใหม่แล้ว แล้วยังหน้าด้านหน้าทนจับไม่ยอมปล่อย…”
“คุณชายเฉินตั้งใจจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้เป็นพิเศษ เพื่อพาพ่อของเขาออกงาน และเรียกว่าที่ภรรยาของเขามาด้วย นี่ไม่ใช่เป็นการออกหน้าให้เธอเหรอ?”
“งั้นฉันก็หมดโอกาสแล้วสิ?”
“ฉันว่านะ…”
มู่น่อนน่อนคล้องแขนลี่จิ่วเชียนเอาไง้ แถมเดินมุ่งหน้าโดยที่ไม่ละสายตาสักนิด
คำพูดเหล่านี้ที่พวกเธอพูดออกมา เธอได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ
ผู้หญิงเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เธอก็ย่อมรู้ดีเช่นเดียวกัน
การได้อยู่ในฐานะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เธอชัดเจนกับเรื่องที่สุดแล้ว คำพูดของพวกเธอย่อมไม่ส่งผลกระทบกับเธอ
หลังจากที่ซูเหมียนนั่งอยู่ด้านข้างของเฉินถิงเซียวแล้ว และคอยกระซิบกระซาบพูดอะไรอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าอายุ 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ซูเหมียนก็บำรุงดูแลผิวพรรณเป็นอย่างดีมาก และนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างมีมารยาทแถมสง่างามจนกลายเป็นภาพวิวที่สวยงามอย่างหนึ่ง
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรกับเธอมากนัก แต่สีหน้าก็มองไม่ออกถึงความกระวนกระวายใดๆที่อยู่บนใบหน้า อารมณ์เย็นชาก็ไม่แตกต่างไปจากกับปกติ
แค่ ตอนที่เขาเบนสายตามาจึงเห็นว่ามู่น่อนน่อนเดินคล้องแขนลี่จิ่วเชียนและมุ่งหน้าเดินมาหาเขา นัยน์ตาที่ไร้ความรู้สึกของเขาแต่เดิมนั้นหดตัวลงทันที
เดิมก็เป็นนัยน์ตาที่เข้มอยู่แล้ว แวบเดียวกลับดำมืดพัดโหมอยู่ด้านใน
ทั้งสองคนสบกันอยู่ห่าง ๆ จากนั้นก็เบนสายตาหนีไปเป็นปริยาย
มู่น่อนน่อนก้มศีรษะลง พลันคลี่ยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่แสดงความรู้สึก
ลี่จิ่วเชียนค่อยๆ เดินช้าๆ พลันถอนหายใจออก และใช้น้ำเสียงที่คนสองคนได้ยินเท่านั้น “จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้ไหม”
มู่น่อนน่อนตะลึงเล็กน้อย
เธอเข้าใจในความหมายของประโยคนั้นของลี่จิ่วเชียนดี
ลี่จิ่วเชียนกำลังถามเธอ ว่าต้องใช้วิธีปัญญาอ่านแบบนี้มากระตุกต่อมให้เฉินถิงเซียวโกรธไหม?
อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงมักเสียสติไปกับอารมณ์แหละมั้ง
ก่อนหน้าเธอเคยพูดว่าเฉินถิงเซียวความคิดเหมือนเด็ก ตอนนี้เธอก็ไม่ใช่เหรอ
เธอเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ย่อมมองไม่เห็นเหตุผลในการถอยกลับแล้ว
ความจริงแล้วระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวห่างกันไม่ไกลนัก แต่ว่าเธอกับลี่จิ่วเชียนเดินช้า ดังนั้นจึงใช้เวลานานในการเดิน
ในที่สุด เธอกับลี่จิ่วเชียนก็เดินมาอยู่ด้านหน้าของเฉินถิงเซียวแล้ว
มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังล้อมรอบและพูดคุยอยู่กับเฉินถิงเซียวแล้ว แต่คนที่กำลังพูดคุยอยู่เหล่านั้น ต่างรักษาระยะห่างกับเฉินถิงเซียวโดยปริยาย เหมือนเกรงกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเขาเช่นนั้น
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเดินออกมาจากมุมนั้นแล้ว ทุกคนต่างมองมาที่เธอเช่นเดียวกัน สถานะของเธอจึงไม่เป็นความลับอีกแล้ว
พวกเขามองเห็นมู่น่อนน่อนเดินมาหา พลันหลีกไปอยู่ด้านข้างยังไม่มีการนัดหมายกัน เพื่อหลีกทางให้มู่น่อนน่อน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเดินเข้ามาใกล้แล้ว แถมเธอยังกล่าวขอบคุณให้คนที่หลีกทางให้เธออย่างสง่างามอีกต่างหาก
มู่น่อนน่อนเป็นคนหน้าตาสวยงาม ดังนั้นพออายุมากขึ้น รูปหน้าตาก็พัฒนาขึ้น แถมยังผ่านประสบการณ์มามาก ความงามของเธอนั้นยิ่งถูกขัดเกลาจนมีเสน่ห์ ยามเมื่อตั้งใจยิ้มให้ใครสักคน ยิ่งการชะแง้แลมองมากกว่าเดิม ยิ่งทำให้คนไม่สามารถมองข้ามได้เลย
คนที่เธอกล่าวขอบคุณกลับ ต่างตอบกลับมาอย่างสติเลื่อนลอย “ไม่เป็นไรครับ”
ยามเมื่อมู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมาแล้ว ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าทันที และเดินผ่านไปยังพื้นที่อันแสนอันตรายที่พวกเขาไม่กล้าเข้าไปเหยียบ เมื่อยื่นอยู่ทางด้านหน้าของเฉินถิงเซียว พลันเผยอปากขึ้น พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงดูเนิบนาบ “คุณเฉิน ไม่ได้เจอกันเสียนานนะคะ”
เฉินถิงเซียวที่นั่งหลังพิงเก้าอี้อยู่ พลันช้อนตามองเธอ นัยน์ตาดำคู่นั้นจับจ้องมองเขาเอาไว้ มุมปากเหมือนมีรอยยิ้มเล็ดลอดปรากฏออกมาให้เห็น
ยิ้มเหรอ?
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนจำพวกชอบยิ้มอะไร เรื่องที่ทำให้เขาดีใจจนหลุดยิ้มออกมานั้นน้อยมาก แต่ที่มากกว่านั้น คือการที่เขาโมโหที่สุดจนต้องยิ้มออกมา
ดูเหมือนว่าภาพที่อยู่ตรงด้านหน้าไม่มีอะไรที่ดีใจเป็นพิเศษ ที่ทำให้เขายิ้มออกนี่
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบกลับ “ทำไมเหรอ? คุณเฉินรู้จักฉันเหรอคะ?”
พูดจบ เธอก็กดคางลง “ต้องการให้ฉันแนะนำตนเองสักหน่อยไหม?”
สือเย่ที่เพิ่งจะช่วยต้อนรับแขกเหรื่อ ตอนที่เขาเห็นมู่น่อนน่อนเข้ามานั้น ก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
เมื่อเขาเดินมาถึงและมองเห็น จึงรู้สึกได้ว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนมันผิดปกติไป บวกกับคำพูดคำจาของมู่น่อนน่อน เขาได้แต่แอบร้องไห้อยู่ในใจ
เฉินถิงเซียวไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากพูดก่อนในตอนแรก สือเย่เห็นแล้วยิ่งร้อนใจอยู่บ้าง ตอนที่เตรียมจะพูดนั้น แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวทำตาแข็งใส่แทน
เฉินถิงเซียวใช้สายตาตักเตือนอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน เขาไม่อนุญาตให้สือเย่เข้ามายุ่ง
จากนั้น เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น พลันมองมู่น่อนน่อนจากสูงลงต่ำ น้ำเสียงเย็นชาราวกับกำลังพูดอยู่กับคนแปลกหน้า “เรื่องแนะนำตัวคงไม่ต้องหรอก เมื่อครู่คิดออกแล้วว่าคุณคือใคร”
ตอนนี้มู่น่อนน่อนก็ยังคล้องแขนลี่จิ่วเชียนเอาไว้ เมื่อได้ยินคำพูดคำจาของเฉินถิงเซียวแล้ว เธอลงแรงอย่างไม่รู้ตัว จนแขนของลี่จิ่วเชียนถูกเธอรวบจนเจ็บ แต่เขาก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
ในตอนนี้ความสนใจของมู่น่อนน่อนอยู่บนตัวของเฉินถิงเซียวทั้งหมด แต่ไม่ได้สังเกตลี่จิ่วเชียนสักนิด
เมื่อครู่เฉินถิงเซียวเอาแต่นั่งอยู่ ส่วนเธอยืนอยู่ ทว่าอาจเป็นเพราะปัจจัยในการมองชะเง้อมอง ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกกดดันเป็นพิเศษ
แต่ตอนนี้เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืนแล้ว เธอจึงเงยศีรษะขึ้นเพื่อจะมองหน้าของเขาได้ ภายใต้การกดดันจากความสูง ออร่าที่ติดตัวอย่างเป็นธรรมชาติที่อยู่บนตัวเขาแผ่รัศมีออกมา
นั่นเป็นรัศมีของเฉินถิงเซียวเฉพาะตัว
ทั้งเย็นชา ทั้งเด็ดขาด
มู่น่อนน่อนร่นถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว “เหรอ? งั้นก็ดี”