น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนไม่ได้เย็นมาก แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ เสิ่นเหลียงกลับตัวสั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เสิ่นเหลียงควงแขนของมู่น่อนน่อน ก่อนจะพิงเธอเหมือนไม่มีกระดูก “น่อนน่อน เธออยู่กับบอสใหญ่มานาน ตอนที่พูดยังเกือบจะชั่วร้ายเหมือนกับเขาแล้ว”
มู่น่อนน่อนถูกคำพูดของเธอทำให้รู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา “แต่เธอกลับเหมือนพวกบล็อกเกอร์ที่ปล่อยข่าวไม่ดีเพื่อหาผลประโยชน์คอยรับเงินแล้วปล่อยข่าวปลอมๆ สร้างความเสียหายให้กับคนดัง นับวันยิ่งสวยขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
เสิ่นเหลียงตบแขนเธอ
ตอนที่พวกเธอออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยง จึงเห็นกู้จือหยั่นที่กำลังวิ่งหอบเข้ามา
พอเห็นมู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียง เขาก็หยุดลง แล้วหอบหืดพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พวกคุณ…ทำไม… ออกมา… มู่ … “
มู่น่อนน่อนหยุดคำพูดที่อยู่ด้านหลังของเขา แล้วพูดว่า “มู่มู่อยู่ข้างใน”
“ห๊ะ?” กู้จือหยั่นมองไปทางห้องจัดงานเลี้ยงด้วยความประหลาดใจ
วินาทีต่อมา เสิ่นเหลียงก็หยิบกระเป๋ามาฟาดใส่หัวเขา “ให้คุณดูแลเด็ก เด็กแค่คนเดียวคุณยังดูแลไม่ได้ น่อนน่อนก็บอกแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้ามีอะไรให้โทรมา! เด็กหายไปคุณไม่รู้จักโทรมาหรือไง”
“โอ๊ย!”
คนที่ภายนอกยิ่งใหญ่น่าเคารพนับถือ คนที่ดาราสาวทุกคนต่างก็อยากผูกสัมพันธ์ด้วยอย่างประธานกู้ ในเวลานี้ เขากลับทำได้แค่กุมหัวปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งทุบตีเท่านั้น
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังไม่สามารถโต้กลับด้วย
มู่น่อนน่อนยืนมองนิ่งอยู่สักพัก พอเห็นมีคนเดินออกมาจากในงานเลี้ยง จึงดึงห้ามเสิ่นเหลียงไว้ “เอาล่ะ ไม่ต้องตีแล้ว”
กระเป๋าของผู้หญิงไม่ใหญ่มากนัก เพียงพอจะใส่มือถือกับกระจกบานเล็ก แล้วก็ลิปสติกสองแท่งเท่านั้น ใช้ตีคนก็ไม่เจ็บอะไรมาก
กู้จือหยั่นไม่ได้ต่อสู้กลับ เพราะเขาอยากทำให้เสิ่นเหลียงหายโกรธ
เสิ่นเหลียงหายโกรธลงเล็กน้อย แต่ในใจยังรู้สึกผิดต่อมู่น่อนน่อนเล็กน้อย
“ขอโทษด้วยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดของฉัน มู่มู่คงไม่…”
มู่น่อนน่อนรีบพูดขัดจังหวะเธอไว้ก่อน “อย่าพูดอย่างนั้นสิ มู่มู่เป็นเด็กซุกซน และมีความคิดโตคนเด็ก ฉันจะโทษเธอได้ยังไงกัน”
เธอปลอบเสิ่นเหลียง แล้วหันไปถามกู้จือหยั่น “เกิดอะไรขึ้นคะ?”
มีคนเดินออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยงเรื่อยๆ มู่น่อนน่อนจึงโบกมือให้พวกเขาคุยกัน พร้อมกับเดินไปด้วย
“มู่มู่บอกว่าเธอหิว ผมเลยโทรสั่งอาหารไปที่ห้อง แต่เธอยืนกรานที่จะกินซาลาเปา ผมก็เลยตั้งใจจะพาเธอออกไปกิน…แล้ว…”
แค่ดูแลเด็กคนหนึ่งยังดูแลไม่ดี กู้จือหยั่นเองก็รู้สึกละอายใจ “ในลิฟต์มีคนแน่น ตอนที่ประตูลิฟต์เปิดเธอแอบออกไปตามพวกเขาและวิ่งหนีไป … “
ปกติแล้วเฉินมู่จะเป็นเด็กดีมาก ถ้าในสถานการณ์ปกติเธอจะไม่วิ่งเล่นวิ่งเล่นไปที่อื่น
มู่น่อนน่อนนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วถามว่า “เธออยากจะออกมาหาฉันใช่ไหมคะ?”
กู้จือหยั่นพยักหน้า
“กลับกันก่อนเถอะค่ะ” มู่น่อนน่อนพูด แล้วเดินนำหน้าไปก่อน
“แล้วมู่มู่ล่ะ ตอนนี้ซูเหมียนยังใช้เธอเป็นโล่อยู่เลยนะ!” เสิ่นเหลียงยิ่งพูดยิ่งรู้สึกโกรธ ไม่สบอารมณ์เอามากๆ อย่าว่าแต่มู่น่อนน่อนเลย
“มีเฉินถิงเซียวอยู่ที่นี่ ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อตะกี้มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นว่าตอนที่เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ เขาพยายามที่จะปกปิดการมองเห็นของเฉินมู่ไว้
แม้ว่าเธอกับเฉินถิงเซียวจะไม่เคยได้คุยกันว่าจะเปิดเผยตัวตนของเฉินมู่หรือไม่ แต่ทั้งคู่ก็ปกป้องเฉินมู่ไว้อย่างพร้อมใจกัน เพราะไม่ต้องการให้เธอปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน
เพราะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวในตอนนี้นั้น ถ้าเปิดเผยถึงการมีอยู่ของเฉินมู่ไม่ส่งผลดีอะไร
มู่น่อนน่อนเองก็เคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้มาก่อน อาจเป็นเพราะเธอกับเฉินถิงเซียวล้วนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในครอบครัวมาก และทั้งคู่ต่างก็อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เฉินมู่ และตงไม่สามารถทนได้ถ้าเฉินมู่ถูกทำร้ายจากโลกภายนอก
เด็กน้อยยังบริสุทธิ์และไร้เดียงสา แต่เธอกับเฉินถิงเซียวรู้ดีถึงความชั่วร้ายของโลกใบนี้
ในสายตาของคนภายนอก มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวหย่าร้างกันแล้วเมื่อสามปีก่อน มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นตรงกลาง อีกทั้งเธอเคยอาศัยอยู่กับลี่จิ่วเชียนระยะหนึ่งด้วย ตอนนี้เฉินมู่อายุสามขวบกว่า เรื่องทั้งหมดพอเอามารวมกันจะอธิบายไม่ใช่เรื่องง่าย หยิบออกมาสักเรื่อง ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ยากที่จะรับประกันว่าจะมีคนเอาเฉินมู่มาสร้างปัญหา
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ปกป้องเฉินมู่ให้ดี
ดังนั้น เมื่อตะกี้ตอนที่อยู่ในงาน เธอจึงไม่ทำอะไรเลย
ตอนที่มู่น่อนน่อนพูด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความไว้วางใจในตัวเฉินถิงเซียว และเสิ่นเหลียงก็สบายใจตามไปด้วย
ทั้งสามคนขึ้นลิฟต์แล้วตรงออกจากโรงแรมไปทันที
ตอนที่มาถึงที่จอดรถ มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมจะโทรหาเฉินถิงเซียว
เธอนิ่งคิด สุดท้ายก็เลือกที่จะโทรหาสือเย่แทน
“คุณหญิงน้อย” สือเย่รับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนถามออกไปตรงๆ “ตอนนี้พวกคุณอยู่ที่ไหนคะ”
สือเย่หันศีรษะไปทางเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวเหมือนจะเดาได้ก่อนแล้วว่ามู่น่อนน่อนโทรมา และเขาก็กำลังจ้องมองสือเย่ด้วย
สือเย่ถูกเฉินถิงเซียวมองอยู่แบบนี้ เขาก็กดเปิดลำโพงโทรศัพท์อย่างรู้หน้าที่ และตอบคำถามของมู่น่อนน่อน “ตอนนี้พวกเรากำลังจะขึ้นลิฟต์เพื่อกลับไปแล้วครับ”
“บอกเฉินถิงเซียว ฉันจะรอเขาอยู่ที่บ้าน”
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงของมู่น่อนน่อน แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “บอกมู่น่อนน่อน ว่าฉันไม่ไป”
สือเย่เปิดลำโพง มู่น่อนน่อนจึงได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียวไปด้วย
เฉินมู่ที่อยู่ในอ้อมกอด ก็หลับไปแล้ว
มู่น่อนน่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา “คุณบอกเฉินถิงเซียวด้วยว่า ถ้าคืนนี้เขาไม่มา เขาก็ไม่ต้องมาอีก”
เฉินถิงเซียว “บอกมู่น่อนน่อนด้วย คืนนี้ฉันไม่ไปแน่นอน!”
มู่น่อนน่อน “บอกเฉินถิงเซียวด้วย ถ้าแน่จริงก็อย่ามา!”
สือเย่ “…”
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว ทำการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ของสือเย่ และพวกเขาก็ทะเลาะกันตามสาย
สือเย่ถือโทรศัพท์ไว้ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย เขาจึงทำได้เพียงเป็นตัวกลาง นั่งฟังการทะเลาะวิวาทระหว่างเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อน
แม้จะเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่คำ
“คุณจะไม่มาจริงๆ ใช่ไหม?”
“ไม่ไป!”
“…”
สือเย่ยื่นโทรศัพท์ให้เฉินถิงเซียวเงียบๆ แต่เฉินถิงเซียวไม่รับโทรศัพท์
“ไม่ต้องเอาโทรศัพท์ให้ฉัน ฉันไม่อยากคุยกับเธอ”
วินาทีถัดมา ก็มีเสียง “ตู๊ด” จากโทรศัพท์ที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายวางสายไปแล้ว
มือของสือเย่ที่ถือโทรศัพท์อยู่ชะงักไป และหันศีรษะไปทางเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวมองโทรศัพท์ด้วยใบหน้าบึ้งตึง “กล้าวางสายของฉันเหรอ?”
สือเย่พยักหน้า
“เหอะ” เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะ ลิฟต์เพิ่งมาถึง เขาก็เอื้อมมือข้างหนึ่งเพื่อกดลิฟต์ แล้วเดินเข้าไป
เฉินมู่ในอ้อมแขนนอนหลับไม่ค่อยสนิท
เดิมทีเธอนอนพาดบนไหล่ของเฉินถิงเซียว จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียวกะทันหัน และพูดขึ้นว่า “คุณแม่?”
เมื่อตะกี้เธอผล็อยหลับไป แต่เหมือนได้ยินเสียงของมู่น่อนน่อน
เฉินมู่สะบัดหัวแล้วมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นร่างของมู่น่อนน่อน ดังนั้นเธอจึงมองกลับไปที่เฉินถิงเซียวด้วยท่าทางงงงวย
เฉินถิงเซียวใช้ฝ่ามือใหญ่ของเขากดหัวเล็ก ๆ ของเฉินมู่ลงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แค่ใช้แรงเล็กน้อย เขาก็กดหัวเล็ก ๆ ของเธอซบลงบนไหล่ของเขาตามเดิม
จากนั้นเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า “เธอไม่อยู่ที่นี่ นอนต่อได้แล้ว”
เฉินมู่น้อยใจมาก ตนเองตั้งใจจะมาหาเธอนะ?
เธอเบ้ปากของเธอบนไหล่ของเฉินถิงเซียว น้ำตาของเธอเอ่อคลออยู่ในดวงตา พยายามที่จะไม่ให้ไหลออกมา
คุณพ่อดุ หนูคิดถึงแม่