แม้ว่าในใจมู่น่อนน่อนจะครุ่นคิดเรื่องมากมาย แต่ว่าใบหน้ากลับไม่เปิดเผยออกมา เพียงแค่ยกรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้น:“ระวังน้ำเสียงคำพูดของคุณหน่อยนะ นี่คุณกำลังออกคำสั่งกับฉัน คุณคิดว่าฉันเหมือนกับอาลั่วเป็นลูกน้องของคุณเหรอ”
ลี่จิ่วเชียนเงียบไปชั่วครู่แล้วหัวเราะเบา ๆ :“น่อนน่อน ทำไมคุณถึงคิดอย่างนี้ ผมก็แค่เป็นห่วงคุณเท่านั้น เฉินถิงเซียวคนนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ ผมกลัวว่าคุณจะถูกเขาครอบงำ”
มู่น่อนน่อนจึงโมโหกลับ:“คุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาหรอก”
“เหอะ ๆ” ลี่จิ่วเชียนจึงฝืนหัวเราะขึ้น: “ถ้าหากว่าคุณไม่อยากจะบอกก็ช่างเถอะ ผมไม่ฝืนใจคุณ เพราะอย่างไรพวกเรานั้นก็เป็นเพื่อนกัน ผมจะไม่เหมือนนกับเฉินถิงเซียวที่บังคับคุณแบบนั้น”
มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะในใจ แต่ว่าน้ำเสียงนั้นกลับดีกว่าก่อนหน้านี้มาก
เธอถอดถอนใจ แล้วกล่าวอย่างจำใจ:“ถ้าคุณอยากจะรู้มากขนาดนี้ อย่างนั้นฉันจะบอกคุณให้รู้ก็ได้ เพราะถึงฉันไม่บอกคุณ คุณก็คงจะสืบรู้ได้เอง”
“น่อนน่อน คุณอย่าคิดมาก ผมแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้นจริง ๆ”
มู่น่อนน่อนเพิกเฉยต่อประโยคของลี่จิ่วเชียน:“เมื่อคืนจู่ ๆ เฉินถิงเซียวอยากจะไปเมืองเล็ก ๆ นั่น ฉันรู้สึกว่ากะทันหันเกินไป ดังนั้นจึงตามเขาไปด้วย ดูว่าเขาไปทำอะไร”
“แล้วเขาทำอะไร?” น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนเปลี่ยนเป็นลนลาน
มู่น่อนน่อนคิดข้ออ้างดี ๆ ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว :“เขาไปรับเฉินจิ่งหยุ้นกลับมา”
พวกเขารับเฉินจิ่งหยุ้นกลับมาจริง ๆ ต่อให้ลี่จิ่วเชียนไปสืบเอง ก็คงจะสืบได้ ส่วนเฉินมู่ พวกเขาได้ระวังโดยตลอด ดังนั้นขอเพียงเฉินมู่ไปออกไปไหน ลี่จิ่วเชียนก็จะไม่รู้เรื่องราวของเฉินมู่
แต่ตอนนี้ได้รับเฉินมู่กลับมาที่เมืองหู้หยางแล้ว เรื่องนี้คิดว่าน่าจะปิดบังได้ไม่นาน
ลี่จิ่วเชียนได้ยินคำพูดของเธอ น้ำเสียงจึงเปลี่ยนเล็กน้อย:“เขากับเฉินจิ่งหยุ้นกลายเป็นศัตรูมองหน้ากันไม่ติดแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ คุณอยากรู้ก็ไปสืบเองแล้วกัน ฉันก็แค่อยากจะแก้แค้นเฉินถิงเซียวเท่านั้น สำหรับเรื่องระหว่างเขากับเฉินจิ่งหยุ้น ฉันไม่อยากจะรู้”
มู่น่อนน่อนพูดจบก็วางสายลง
เธอครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองเฉินถิงเซียวที่อยู่ไกล ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะได้ยินคำสนทนาของเธอกับลี่จิ่วเชียนเมื่อสักครู่หรือเปล่า
มู่น่อนน่อนเดินตรงไปหาเขา หลังจากที่เข้าใกล้แล้วก็เปล่งเสียงถามเขาขึ้น:“คุณจะไม่ไปดูสักหน่อยเหรอ”
เขาชี้ไปที่ห้องของเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร ดึงเธอแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือ
เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือ เฉินถิงเซียวก็ปิดประตูห้องทันที
จากนั้น เขาหันหลังให้กับมู่น่อนน่อนเดินตรงมาที่หน้าต่าง สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสูท แล้วจ้องมองไปด้านนอกหน้าต่าง ที่ดูท่าทางแล้วค่อนข้างหงุดหงิด
“เป็นอะไรไป” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปหา แล้วยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
สักพัก เฉินถิงเซียวจึงเปล่งเสียงออกมา: “ต่อให้ผมจะไม่เห็นด้วย คุณก็จะดำเนินตามแผนของคุณใช่ไหม” มู่น่อนน่อนรู้ว่าเฉินถิงเซียวหมายถึงการแก้แค้นเขาปลอม ๆ จากนั้นก็แอบสืบความลับที่อยู่เบื้องหลัง
เธอกล่าวอย่างไม่ลังเลและกล่าวตรง ๆ :“ใช่ ต่อให้คุณจะไม่เห็นด้วย ฉันก็จะทำต่อไป”
เมื่อพูดจบเธอก็หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เพียงถอนหายใจแล้วกล่าวเบา ๆ:“
โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นเฉินมู่แล้ว ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ฉันต้องจัดการให้ได้ ถ้าหากว่าไม่จัดการตั้งแต่เนิ่น ๆ ถึงจุดประสงค์ของลี่จิ่วเชียน มีความลับอะไร พวกเราก็คงจะไม่มีวันสงบสุข”
“คุณไม่เชื่อมั่นว่าผมสามารถจัดการเรื่องนี้ได้”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นชา ราวกับชั้นผนึกของน้ำแข็ง
“สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมฉันต้องทำ ฉันได้อธิบายให้คุณหลายต่อหลายครั้งแล้ว ว่าไม่ได้ไม่เชื่อมั่นคุณ เพียงแต่แค่อยากทำเพื่อคุณ เพื่อเฉินมู่ เพื่อพวกเราก็เลยอยากช่วยออกแรง”
“ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณมาโดยตลอด แต่ว่าจะให้คุณแบกรับทุกอย่างคนเดียวไม่ได้ ตอนนี้ลี่จิ่วเชียนกับคุณนั้นขัดแย้งกันแล้ว เขาสามารถอ่านใจคนออก แผนการแยบยล เบื้องหลังยังมีอำนาจมืดอีก เกราะป้องกันของเขาแข็งแกร่งมาก ตอนนี้มีเพียงฉันเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้เขาได้ นี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่เร็วที่สุด”
มู่น่อนน่อนพูดประโยคยืดยาวขนาดนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าเดียวของเฉินถิงเซียวคือความเย็นชา และไม่รู้ว่าได้ยินในสิ่งที่เธอพูดหรือไม่
เธอรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวไม่อยากให้เธอเสี่ยงอันตราย
แต่ว่าเธอก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง อีกทั้งเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องการการปกป้องเพียงอย่างเดียว
เธอไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น
……
เสิ่นเหลียงหลังรู้ว่ามู่น่อนน่อนพักอยู่ที่คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว จึงได้มาหาถึงที่ทันที
“เธอกับเฉินถิงเซียวนั้นคืออะไร” ตอนที่อยู่ที่เมืองMนั้น การกระทำในงานเลี้ยงของมู่น่อนน่อน เธอนั้นเห็นกับตาอย่างชัดเจน
มู่น่อนน่อนชะงักขึ้น แล้วมองแววตาของเสิ่นเหลียง จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงตั้งใจ:“เสี่ยวเหลียง เรื่องนี้ยุ่งยากซับซ้อนมาก ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี และก็ไม่อยากจะลากเธอเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“เธอทำแบบนี้คืออยากให้ฉันกระวนกระวายตายเหรอ!” เสิ่นเหลียงขมวดคิ้วถลึงตาใส่เธอ
“วางใจได้ ยังมีเฉินถิงเซียวอยู่ทั้งคนไม่ใช่เหรอ มีเขาอยู่ ฉันยังไม่ห่วงเลย แล้วเธอห่วงอะไร” สีหน้าของมู่น่อนน่อนเผยรอยยิ้มออกมา: “แต่ว่าช่วงเวลานี้ ฉันอาจจะยุ่งมาก ถ้าหากว่าไม่มีอะไร เธอก็อย่าเพิ่งมาหาฉันเลยนะ”
“อีกอย่าง ลี่จิ่วเชียนคนนั้น เธอพยายามอยู่ห่างเขาไว้ให้มากที่สุด”
“ฉันเข้าใจแล้ว” เสิ่นเหลียงพึมพำ : “ลี่จิ่วเชียนสารเลวนั่น จะต้องถูกฝังในไม่ช้า!”
เมื่อเสิ่นเหลียงพูดจบ ก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ :“มู่มู่ล่ะ ฉันอยากจะไปดูเธอหน่อย”
“เธอนอนหลับไปแล้ว ไว้วันหลังนะ” มู่น่อนน่อนปฏิเสธเสิ่นเหลียงเหมือนเฉกเช่นปกติ
เดิมทีเสิ่นเหลียงไม่รอบคอบอยู่แล้ว เมื่อได้ยินมู่น่อนน่อนพูดเช่นนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติ จึงไม่ได้ไปเยี่ยมมู่มู่
ตอนเย็นเสิ่นเหลียงอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกัน จึงได้แห็นฉินจิ่งหยุ้น
เห็นเฉินจิ่งหยุ้นในบ้านของเฉินถิงเซียว ทำให้คู่ดวงตาของเสิ่นเหลียงแทบถลนออกมา
เธอเงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อนด้วยแววตาสงสัย:เฉินจิ่งหยุ้นทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้
มู่น่อนน่อนทำเพียงส่ายหน้าเบา ๆ สื่อว่าอธิบายยาก
หลังจากที่เสิ่นเหลียงเห็นเฉินจิ่งหยุ้นแล้ว สีหน้าก็แย่ลง
เมื่อทานอาหารเสร็จ เธอจึงลุกขึ้น:“น่อนน่อน ฉันต้องไปแล้ว เธอไปส่งฉันหน่อย”
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเสิ่นเหลียงมีเรื่องต้องการถามเธอ จึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เธอส่งเสิ่นเหลียงถึงหน้าประตู เสิ่นเหลียงมองไปรอบ ๆ แล้วดึงมือของเธอไปข้าง ๆ จากนั้นถามขึ้น:“เฉินจิ่งหยุ้นนั้นคืออะไร เถ้าแก่ใหญ่ทำไมถึงพาเธอกลับมาพักบ้าน เขาเสียสติไปแล้วเหรอ”
“เฉินจิ่งหยุ้นเป็นมะเร็ง เกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
ประโยคนี้ของมู่น่อนน่อน ทำให้เสิ่นเหลียงพูดอะไรไม่ออก
คนเมื่อใกล้ตาย เรื่องหลายเรื่องก็มักจะถูกให้อภัย
ถึงแม้เสิ่นเหลียงจะเกลียดชังความชั่วร้าย แต่เมื่อได้ยินว่าเฉินจิ่งหยุ้นเป็นมะเร็ง คำพูดที่คมคายแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้อีก
เธอชะงัก ถามมู่น่อนน่อนด้วยความเป็นห่วง:“อย่างนั้นตอนนี้เธอใกล้จะตายแล้ว คงไม่มีแผนการชั่วร้ายอีกแล้วสินะ”
มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง:“น่าจะไม่แล้วมั้ง”
เสิ่นเหลียงทำเสียงฮึดฮัด:“ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เธอคอยยั่วยุ เธอกับเถ้าแก่ใหญ่ก็คงไม่ต้องแยกจากกันถึงสามปี!