ตอนที่ 5 บรรพชนกลับมาแล้ว
วันที่เก้าเดือนสอง บริเวณทุ่งร้างนอกเมืองตงหนิง ท้องฟ้ามืดครึ้ม
“แกว๊ก” เสียงกู่ร้องของวิหคดังสนั่นไปทั่วบริเวณ หากแหงนหน้ามองก็จะพบร่างขนาดใหญ่กำลังร่อนลงมาจากหมู่เมฆา บนหลังของมันมีเงาร่างสองเงากำลังนั่งอยู่
“ตู้ม!”
เมื่อใกล้จะถึงพื้น ปีกขนาดใหญ่ของมันก็กระพือจนเกิดลมพายุพัดกวาดไปทั่ว พื้นดินทุ่งร้างพลันสั่นไหวขึ้นมา เส้นสายฟ้ากระจายไปทั่วทุกสี่ทิศ ก่อนจะสลายไป
ตอนนั้นเอง เงาร่างทั้งสองก็กระโดดลงมาจากหลังวิหคยักษ์
คนหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน ส่วนอีกคนเป็นหญิงชราที่ถือไม้เท้า
“ศิษย์น้องฮวง ข้ามาถึงแล้ว ข้ามาถึงบ้านเกิดของข้าแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ” หญิงชราที่กุมไม้เท้าหันไปส่งยิ้มให้สตรีที่อยู่ข้างกาย
“พี่เมิ่ง” ในดวงตาของหญิงวัยกลางคนเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ‘พี่เมิ่ง’ ของนางเมื่อก่อนมิได้แก่ชราถึงเพียงนี้ ทว่าอาการบาดเจ็บในครั้งนี้ กลับทำให้นางดูแก่ชราขึ้น แต่ก็ยังมองออกว่าใบหน้านี้ เมื่อครั้นยังเป็นสาวรุ่นสตรีตรงหน้าก็คือสาวงามผู้หนึ่ง
“จากกันครั้งนี้ เกรงว่าพวกเราคงมิได้เห็นหน้ากันอีก” หญิงชราถอนหายใจแล้วคลี่ยิ้มออกมา “แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับข้า อย่างน้อยก่อนจะตายข้าก็ได้กลับมาที่บ้านเกิด ได้ใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่บ้านเกิดแห่งนี้ หากตายในสงคราม คงกลายเป็นเพียงดินเหลืองกองหนึ่ง”
“พี่เมิ่ง ถ้าหากท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า ส่งจดหมายมาให้ข้าได้ทุกเมื่อ ข้าฮวงเซียงหนิงจะพยายามอย่างเต็มที่” หญิงวัยกลางคนกล่าวออกมาด้วยท่าทีจริงจัง
“หากต้องการให้เจ้าช่วย ข้าจะบอก” หญิงชรากล่าวยิ้มๆ “เอาล่ะ เจ้ารีบกลับไปเถอะ”
หญิงวัยกลางคนจ้องมองหญิงชราตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กระโดดขึ้นไปบนหลังวิหค ไม่ช้าวิหคยักษ์ตนนั้นก็กางปีกสองข้าง แล้วกระพือส่งร่างตนเองทะยานขึ้นไปในอากาศ
วูบบบ
เกิดประกายอสนีบาตขึ้น วิหคยักษ์พุ่งทะยานผ่านนภาไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็หายไปจากเส้นขอบฟ้า
หญิงชรามองส่งสหายจากไปจนลับสายตา จากนั้นก็หันไปทางเมืองตงหนิง บนใบหน้ามีรอยยิ้มประดับ “ได้เวลากลับบ้านแล้ว สามารถเป็นใบไม้ร่วงคืนสู่รากได้ นับว่าสวรรค์ก็เมตตาข้ามิน้อย!”
“ตึง”
ไม้เท้าในมือของหญิงชรา เคาะกับพื้นเบาๆ ทันใดนั้นก็เกิดความผันผวนในอากาศขึ้นมา คลื่นพลังแพร่กระจายออกไปทั้งสี่ทิศ ครอบคลุมบริเวณโดยรอบนับร้อยฟุต
นางถือไม้เท้าแน่น ขณะที่ถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นพลัง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เมืองตงหนิง ทุกย่างก้าวของนางสามารถเดินทางไกลได้หลายสิบฟุต แม้ว่าจะเดินผ่านกองคาราวานเหล่านั้นบนท้องถนน แต่คนเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่เห็น ‘หญิงชรา’ เลย พวกเขายังคงพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ไม่นานป นางก็มาเข้าถึงหน้าประตูทางเข้าเมือง
“เมืองตงหนิง”
หญิงชราบีบไม้เท้าแน่น ขณะจ้องมองเมืองอันใหญ่โตตรงหน้า
นี่คือบ้านเกิดของนาง! คือสถานที่ที่นางใช้ชีวิตในวัยเยาว์
หญิงชราเผยรอยยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินหน้าก้าวเข้าไปด้านใน ฝูงชนที่อยู่ตรงหน้าประตูนั้นรวมทหารยามไปด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเห็นหญิงชราเลยสักคน ราวกับว่าหญิงชราผู้นี้ไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลก นางเดินเข้ามาในเมือง และเดินลัดเลาะไปตามท้องถนน จนกระทั่งมาถึงเรือนบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่ง
จากนั้นก็เข้าไปในเรือนบรรพบุรุษ
ยามลาดตระเวนของตระกูลมากมาย ก็คล้ายกับมองไม่เห็นหญิงชรา
“อึกอึกอึก” ณ ลานเล็กในเรือนบรรพบุรุษ ชายชราร่างอ้วนท้วมกำลังดื่มเหล้าอย่างกลัดกลุ้ม
“ผิงผิง นี่เจ้าแอบดื่มเหล้าอีกแล้วรึ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นในลานเล็ก
ชายชราอ้วนท้วมตื่นตระหนกไปถึงวิญญาณ เขารีบหันไปมองรอบๆ แล้วกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “พี่หญิงสาม เป็นท่านใช่ไหม?”
ในลานเล็กปรากฏร่างของหญิงชราถือไม้เท้าผู้หนึ่งขึ้นมา ใบหน้านั้นกำลังมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม
“พี่หญิงสาม”
ดวงตาของชายชราร่างอ้วนพลันแดงก่ำ เขาคือน้องชายเพียงคนเดียวของ ‘เมิ่งเซียนกู่’ แม้จะมีผู้อาวุโสคนอื่นๆในตระกูลเรียกนางว่า ‘พี่หญิงสาม’ แต่นั่นก็เพราะว่าตระกูลใหญ่เกินไป อย่างไรเสียตระกูลของพวกเขาก็มีประวัติศาสตร์เป็นพันปี ลูกหลานในตระกูลแตกแขนงไปหลายสาย ชายชราร่างอ้วนมีนามว่า ‘เมิ่งเหยียนผิง’ เป็นหัวหน้าตระกูลเมิ่งคนปัจจุบัน เขาอายุน้อยกว่าเมิ่งเซียนกู่เกือบยี่สิบปี ตอนยังเล็กก็ได้เมิ่งเซียนกู่นำมาเลี้ยงดู นางเป็นทั้งมารดาทั้งพี่สาวสำหรับเขา
ในใจของเขานั้น พี่หญิงสามยังคงอ่อนเยาว์ งดงาม และทรงอำนาจมิเสื่อมคลาย แม้ว่าตอนนี้จะแก่มากแล้ว
“ร้องไห้ทำไม ข้ายังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่รึ?” หญิงชราหัวเราะ
“พี่หญิงสาม อาการบาดเจ็บของท่านรักษาไม่ได้จริงหรือ?” ชายชราร่างท้วมเอ่ยถามทันที
“ตราบใดที่ไม่ลงสนามรบ ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้เจ็ดแปดปี” หญิงชราตอบกลับเสียงเรียบ “มนุษย์เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา เทพอสูรก็เช่นกันแม้จะมีชีวิตยืนยาวแต่ก็มีจำกัดอยู่ดี มีอะไรต้องเสียใจ เวลาแค่นี้ก็เพียงพอที่จะให้ข้าจัดระเบียบตระกูลเมิ่งของเราได้ ข่าวที่ข้าบาดเจ็บสาหัสคงแพร่มาถึงที่นี่แล้วสินะ เมืองตงหนิงมีการเคลื่อนไหวอะไรไหม?”
“สัญญาหมั้นหมายระหว่างตระกูลอวิ๋นกับตระกูลเมิ่งเราถูกยกเลิกไปแล้ว เป็นสัญญาหมั้นหมายของเจ้าหนูเมิ่งชวน” ชายชรากล่าวต่อไปว่า “ส่วนตระกูลอื่นๆ ตระกูลเทพอสูรทั้งสี่มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครกล้ายั่วยุตระกูลเมิ่งของเรา”
“อืม การหมั้นหมายในปีนั้น เกิดขึ้นเพราะอวิ๋นว่านไห่อยากจะยืมอิทธิพลของตระกูลเมิ่ง แต่บัดนี้เมื่อข้าบาดเจ็บหนัก การที่เขาจะยกเลิกการหมั้นหมายของพวกเด็กๆก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ”
ทันใดนั้นหญิงชราก็กล่าวเสียงขรึมว่า “จริงสิ ผิงผิง…”
“พี่หญิงสาม ข้าเก้าสิบแล้วนะ แถมยังเป็นหัวหน้าตระกูลอีกด้วย เรียกชื่อเต็มๆของข้าได้รึไหม?” ชายชราอดประท้วงขึ้นมาไม่ได้
“อ้อ ได้ได้ได้ เห็นแก่หน้าเจ้า” หญิงชราหัวเราะ “เมิ่งผิงผิง ไปเรียกพวกผู้อาวุโสในตระกูลมารวมตัวกันที่โถงเพลิงโหม ข้าอยากจะพบพวกเขา”
“เมิ่งผิงผิงอะไรกันเล่า ข้าชื่อเมิ่งเหยียนผิง” ชายชราบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็เร่งฝีเท้าไปเรียกรวมตัวเหล่าผู้อาวุโส
พี่หญิงเป็นทั้งมารดาและพี่สาว ที่เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่
คอยปกป้องเขา จนเขามีวันนี้
ได้ยินพี่หญิงเรียกเขาว่า ‘ผิงผิง’ หัวหน้าตระกูลเมิ่งเหยียนผิงก็ก้าวเดินด้วยทีท่าสบายใจ
******
เรือนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง โถงเพลิงโหม
มีแค่เรื่องสำคัญเท่านั้นจึงจะสามารถมาที่นี่ได้ วันนี้ บริเวณรอบๆโถงเพลิงโหมได้การคุ้มกันอย่างแน่นหนา
ภายในโถง
เมิ่งเซียนกู่ถือไม้เท้ายืนอยู่ตรงนั้น นางเงยหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายในโถงที่จารึกตัวอักษรไว้สองคำ—— ‘เพลิงโหม’
หัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสต่างก็ยืนกันอย่างนอบน้อม ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาเลยสักคน
หากมองในแง่ของอายุ…
ปีนี้เมิ่งเซียนกู่มีอายุหนึ่งสิบสองปี เป็นผู้อาวุโสที่สุดในตระกูล ในแง่ความแข็งแกร่ง เมิ่งเซียนกู่กลายเป็นเทพอสูรได้ตอนอายุสามสิบห้าปี นางคอยปกป้องคุ้มครองตระกูลเมิ่งมาแปดสิบปี ซึ่งตระกูลเมิ่งก็เจริญรุ่งเรืองถึงแปดสิบปี ไม่มีใครสงสัยบารมีของนางในตระกูลเมิ่ง เพียงแค่นางสั่งคำเดียว เกรงว่าคนในตระกูลก็พร้อมกระโจนลงไปตายแทนอย่างมิต้องสงสัย
นางจ้องมองตัวอักษร ‘เพลิงโหม’ อยู่นาน ก่อนจะหันหลังกลับมา สายตามองกวาดไปยังเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสแต่ละคนต่างก็ก้มหน้าลงด้วยท่าทางเกร็งๆ
“ลูกหลานตระกูลเมิ่งของข้ารุ่นนี้ มีใครพอมีสวรรค์จะได้เป็นเทพอสูรบ้างไหม?” เมิ่งเซียนกู่สอบถาม ตระกูลเมิ่งแม้ว่าจะดิ้นรนอยู่ในเมืองตงหนิงมาเป็นพันปี แต่กลับมีเทพอสูรปรากฏขึ้นมาเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือบรรพชนอวี๋ซานเมื่อห้าร้อยปีก่อน ส่วนอีกคนก็คือนางเมิ่งเซียนกู่ ในช่วงเวลาของพวกเขา นี่คือช่วงเวลาที่ตระกูลเมิ่งรุ่งเรืองถึงขีดสุด ฉะนั้นเมิ่งเซียนกู่จึงคาดหวังอย่างมาก…
ว่าจะสามารถเลี้ยงดูเทพอสูรคนที่สามในประวัติศาสตร์ตระกูลเมิ่งออกมาได้
ตอนแรกนางยังสามารถอดทนและค่อยๆเฟ้นหาลูกหลานที่เหมาะสมเพื่อรับมาสั่งสอน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว แม้จะเป็นเพียงไม้พุ่มเตี้ยแต่นางก็ต้องคว้าไว้
“พรสวรรค์ของต้าเจียงสูงมาก อายุสิบเก้าตระหนักรู้ทักษะกระบี่ลับ อายุสามสิบตระหนักรู้พลังกระบี่ บัดนี้อายุได้สี่สิบเจ็ดปีแล้ว…เขายังพอมีหวังที่จะกลายเป็นเทพอสูร” ชายหัวโล้นร่างผอมเอ่ยออกมา
“ต้าเจียง?”
เมิ่งเซียนกู่หันไปมองเมิ่งต้าเจียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ท่านป้า” เมิ่งต้าเจียงขยับร่างอวบอ้วนของตนเพื่อคารวะ
“ควบแน่นตันรึยัง?” เมิ่งเซียนกู่สอบถาม
เมิ่งต้าเจียงส่ายหน้า
เมิ่งเซียนกู่พลันย่นคิ้ว สี่สิบเจ็ดปี กระทั่งควบแน่นตันก็ยังทำไม่ได้ ความหวังที่จะกลายเป็นเทพอสูรเลือนรางลงทุกที
“แล้วพวกเด็กรุ่นเยาว์ล่ะ” เมิ่งเซียนกู่ถามต่อ
“รุ่นเยาว์ มีสามคนที่พอมีหวัง” หัวหน้าตระกูลเมิ่งเหยียนผิงรีบพูดขึ้น “เมิ่งจู้เด็กคนนี้อายุยี่สิบสามปี ระดับไร้ตำหนิ รับราชการทหารอยู่ที่ด่านฉิ้นหยาง ตอนอายุสิบเก้าปีตระหนักรู้ทักษะลับ แล้วยังมี ‘เมิ่งเหวินอิง’ เด็กสาวคนนี้อายุสิบหกปี ตอนอายุสิบสองสำเร็จทักษะกระบี่ระดับสูงสุด ยังมีบุตรชายของต้าเจียง ‘เมิ่งชวน’ ปีนี้อายุสิบห้า สำเร็จทักษะกระบี่ระดับสูงสุดตอนอายุสิบสาม เมิ่งเหวินอิงกับเมิ่งชวนต่างยังเด็กทั้งคู่ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะตระหนักรู้ทักษะลับ”
เมิ่งเซียนกู่นิ่งเงียบ
เมิ่งจู้ สิบเก้าปีตระหนักรู้ทักษะลับ มันช้าเกินไปสำหรับการกลายเป็นเทพอสูร! เพราะว่าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตระหนักรู้ถึง ‘พลัง’ ความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเทพอสูรนั้นยิ่งห่างไกลเกินไป
เมิ่งเหวินอิงกับเมิ่งชวน คนหนึ่งสิบหก คนหนึ่งสิบห้า เวลาก็กระชั้นชิดนัก ทว่าจุดสำคัญคือไม่มีใครตระหนักรู้ถึงทักษะลับนี่สิ
แม้ว่านางอยากจะเลือกไม้พุ่มเตี้ย แต่กลับไม่มีให้เลือกเลยสักต้น
“พวกเจ้ากลับไปเถอะ” เมิ่งเซียนกู่กล่าวเสียงเยือกเย็น “สองสามปีต่อไปนี้ จะต้องเพิ่มความเข้มงวดในการเลี้ยงดูเด็กรุ่นเยาว์ของตระกูลทั้งหมด นี่คือเรื่องใหญ่สำหรับตระกูล ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นไม่สำคัญ ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าจะต้องได้เห็นต้นกล้าแห่งความหวังที่จะกลายเป็นเทพอสูร”
เห็นได้ชัดว่าไม่มีเด็กคนในโดดเด่นเข้าตาเลยสักคน จึงทำได้เพียงหว่านแหไปทั่ว โดยหวังว่าอาจจะมีเด็กที่มีพรสวรรค์เก่งกล้าในหมู่รุ่นเยาว์อายุแปดเก้าขวบ สิบเอ็ดหรือสิบสองปีโผล่ขึ้นมา
“ขอรับ” หัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสตอบรับพร้อมกัน
“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองและล่มสลายของตระกูล ฉะนั้นจะล่าช้ามิได้ ถ้าหากใครคิดหาผลประโยชน์เข้าตัวล่ะก็ ข้าจะจัดการด้วยกฎตระกูล!” เมิ่งเซียนกู่กล่าวจบ นางก็ถือไม้เท้าเดินออกไป