ตอนที่ 33 การเปลี่ยนแปลง
เมิ่งชวนตื่นตระหนก
“นี่คืออะไรกัน ข้ารู้แค่ว่าสามนิ้วใต้สะดือคือตันเถียน และช่องว่างตันเถียนที่สามารถเก็บรวบรวมปราณไว้ได้ เหตุใดจึงมีช่องว่างระหว่างคิ้ว และสิ่งที่อยู่ในนั้นก็เหมือนกับข้าอีกด้วย” เมิ่งชวนงงงัน แต่เขาก็ทำการคาดเดาว่า “ในเมื่อสิ่งนี้มีลักษณะเหมือนกับข้า มันคือวิญญาณดังที่กล่าวขานกันในตำนานหรือไม่ หรือมันสร้างขึ้นจากความคิดความปรารถนาของข้า หรือจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้จัก”
“ตำราของสถาบันสำนักเต๋าจิงหูได้รับแจกจ่ายมาตั้งแต่ต้นราชวงศ์หยวน ตำราของตระกูลเมิ่งของข้าก็สะสมมาหลายพันปีเช่นกัน ความรู้โดยทั่วไปในเรื่องการฝึกวิชานั้นถือได้ว่าสมบูรณ์มาก”
“ข้าอ่านตำราเหล่านั้นมานานแล้ว แต่ข้าไม่เคยเห็นตำราที่อ้างถึงช่องว่างระหว่างคิ้ว” เมิ่งชวนงุนงง เขาชอบอ่านหนังสือ เขาเป็นคนที่มีความรู้ดีจากตระกูลเทพอสูร แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน มีช่องว่างและมีคนตัวเล็กซุกซ่อนอยู่ภายใน
ถึงแม้จะประหลาดใจ แต่เมิ่งชวนก็รู้สึกอยู่บางเบาว่านี่น่าจะเป็นสิ่งดี
เพราะว่า……
เขารู้สึกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเองที่เกิดใหม่แล้ว
“ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจและมหัศจรรย์มาก เมิ่งชวนหลับตาลง แต่ก็ยังหลีกเลี่ยงสิ่งของมากมายในห้องหนังสือได้อย่างง่ายดายขณะที่เขาก้าวเดินออกไป เขาเปิดประตูบ้านและเดินออกไปอย่างง่ายดาย
เขาหลับตาและเดินไปที่โต๊ะหินในสนามและนั่งลงบนเก้าอี้หิน
“ข้าเพียงหลับตาและบริเวณรอบๆที่ห่างออกไปสิบก้าวมันก็ชัดเจนอย่างถึงที่สุด” เมิ่งชวนลืมตาขึ้น ตอนนี้มันมืดและพร่ามัวมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นในตอนกลางคืน แต่ความรู้สึกของเขาในระยะสิบก้าวนั้นชัดเจนมาก แม้กระทั่งขนบนขาทั้งหกของมดตัวน้อยที่คลานอยู่บนผนังลาน เมิ่งชวนก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้านบนหรือใต้ดินทุกอย่างล้วนชัดเจน แต่ก็มองเห็นได้ชัดลึกลงไปใต้ดินเพียงสามก้าวเท่านั้น
ดวงตาสามารถเห็นได้เพียงแค่ด้านหน้า ไม่เห็นด้านหลัง และถ้ามืดหรือทึบก็จะยิ่งมองไม่เห็น
“ข้าสามารถมองเห็นสิบก้าวได้อย่างชัดเจน”
“และสามารถสัมผัสรับรู้ได้ถึงหนึ่งลี้”
เมิ่งชวนนั่งอยู่ในลานเล็กๆสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงปราณทั้งหมดภายในหนึ่งลี้ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเขาเอง ปราณของมนุษย์ ปราณของสัตว์ และปราณของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเขาสามารถรับรู้ได้
ตัวอย่างเช่นปราณของพ่อและลุงหลิวแข็งแกร่งที่สุดในคฤหาสน์จิงหูเมิ่งทั้งหมด
พ่อของเขา เมิ่งต้าเจียง มีปราณที่แข็งแกร่ง
ปราณของหลิวเย่ป๋ายคล้รยไม่มีตัวตน
ปราณของอีกกลุ่มหนึ่งที่อ่อนด้อยกว่าในระดับก่อกำเนิดนั้น ชีเยว่จะบริสุทธิ์ที่สุดในหมู่พวกเขา
พื้นที่ของจิงหูเมิ่งทั้งหมดนั้นยังมีสถานที่ด้านนอกคฤหาสน์เมิ่ง …
แต่ยิ่งไกลออกไปความรู้สึกก็ยิ่งพร่ามัวมากขึ้น
เช่นเดียวกับยามกลางวันที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง ตาเปล่าจะสามารถมองเห็นได้ไกล แต่เมื่อไกลออกไปจะเห็นเพียงร่างที่ไม่ชัดเจนเท่านั้น
เช่นเดียวกับการรับรู้ของเมิ่งชวน เขารู้สึกได้ชัดเจนมากเมื่ออยู่ในระยะใกล้ ถ้าระยะทางไกลเขาจะรู้ได้แค่ว่ามีคนและสัตว์จำนวนเท่าไหร่ ใครแข็งแรงกว่า และใครที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น
และถ้าเกินระยะหนึ่งลี้… มันก็จะมืดไม่สามารถรับรู้ได้
“เมื่อมองทุกอย่างในโลกตอนนี้ พวกมันล้วนแตกต่างไปจากเดิม” เมิ่งชวนลืมตาขึ้นและมองไปที่พืชนานาชนิดในลานบ้าน เขารู้สึกเหมือนกับว่า ที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ เหมือนกับมองสิ่งต่างๆในหมอก ต่างเห็นอย่างคลุมเครือ แต่ตอนนี้เขาเห็นชัดเจนขึ้นนับร้อยเท่า สีสันของทุกสิ่งที่เขาเห็นนั้นสดใสกว่ามาก บนโต๊ะหินที่ราบเรียบในอดีตนั้น เขาสามารถมองเห็นหลุมเล็กๆมากมายจากการกัดกร่อนของสายลมและแสงแดด
เส้นผมที่ร่วงลงมานั้น ก่อนนี้จะรู้สึกว่าเส้นผมนั้นบางและเรียบลื่น แต่ในช่องว่างแห่งจิตนี้เขาสามารถ ‘เห็น’ ความหยาบกร้านมากมายบนพื้นผิวของเส้นผม เหมือนกับกิ่งไม้ที่มีผิวขรุขระมากมายรวมไปถึงร่องรอยความเสียหายในนั้น
ทุกอย่างดูจริงยิ่งกว่าเดิม
“ควับ”
ทันใดนั้นเมิ่งชวนก็ชักกระบี่ออกมาและฟาดฟันไปในความว่างเปล่า
เมิ่งชวนมองไปที่วิถีกระบี่ที่ฟันผ่านไปของเขา รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง
“เดิมทีดวงตาของข้าไม่เห็นข้อบกพร่อง มันเป็นการฟาดฟันที่สมบูรณ์แบบ … ตอนนี้กลับมีข้อบกพร่องมากมายอย่างงั้นรึ” เมิ่งชวนพึมพำ สมัยก่อนเขาใช้ดวงตาดูวิถีกระบี่ ก็พบว่ากระบี่นั้นทั้งรวดเร็วเหลือเกินและทรงพลังมหาศาล สามารถมองเห็นเพียงคลุมเครือ เขาคิดว่าท่ากระบี่นี้ดีมากพอ แต่ตอนนี้ภายใต้ช่องว่างแห่งจิตนี้ วิถีกระบี่จะถูกมองเห็นได้อย่างสมบูรณ์และชัดเจนกว่าร้อยเท่า
ทุกช่องว่างขาดเกินกันในวิถีกระบี่ทั่วท้องฟ้านั้นเห็นได้ชัดเจนมาก สิ่งนี้ทำให้เมิ่งชวนค้นพบความไม่สมบูรณ์ของวิถีกระบี่ในทันที
ในฐานะของผู้ที่หมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพ การแสวงหาความงดงามนั้นเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง
เมื่อมีสิ่งที่ไม่สมบูรณ์และไม่สอดคล้องกัน เขาจะทนไม่ได้
“ฝึกชักกระบี่” เมิ่งชวนเริ่มฝึกชักกระบี่ในตอนกลางคืน
ร่างกายของเขากลายเป็นลำแสงขณะฟาดฟันกระบี่ออกไป
การค้นพบความไม่สมบูรณ์เท่านั้นที่จะทำให้รู้ได้ว่าควรปรับปรุงตรงไหน
กระบี่แล้วกระบี่เล่า …
ทุกความพยายามสามารถทำได้ดีกว่าเดิม
หนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมง …
เมิ่งชวนไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันเขารู้สึกตื่นเต้นมาก เขารู้สึกว่าข้อบกพร่องในวิชากระบี่ของเขานั้นหายไป และท่ากระบี่ก็ค่อยๆสมบูรณ์แบบแม้จะอยู่ภายใต้ ‘ช่องว่างแห่งจิต’
“ควับ”
เป็นท่าชักกระบี่ฟาดฟันอีกครั้ง
แสงของกระบี่วาดโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ถึงกับแฝงพลังของพื้นพิภพออกมาอย่างบางเบา ทำให้แสงของกระบี่เหมือนความฝัน วาบผ่านไป
เมิ่งชวน ซึ่งใช้วิชาท่าร่างของตนเองนั้น พลันเร็วกว่าปกติถึง 50% เขารู้สึกเหมือนกับตกอยู่ในภาพลวงตาว่าได้บินไปในสายลม ชั่วพริบตาเขาเขาก็ถลาไปไกลกว่าสามก้าว แม้ว่าเขาจะหยุดแล้ว แต่หัวใจของเขากลับเร่าร้อนอย่างมาก “ข้ารู้สึกถึงการมีอยู่ของ ‘พลัง’ มันเกือบแล้ว มันเกือบจะได้แล้ว”
“นับตั้งแต่ข้าเข้าถึงขั้น หนึ่งเดียว ข้าได้ฟันลูกศรวันละ 8,000 ครั้งและฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีครึ่ง จนกระทั่งวันนี้ ในที่สุดข้าก็รู้สึกถึง พลัง”
“ในอีกไม่กี่วัน ข้าจะต้องผ่านไปขั้นนั้นได้อย่างแน่นอน” เมิ่งชวนรู้สึกว่าคืนนี้อากาศดีจริงๆ
เขาฟันลูกศรวันละแปดพันครั้งในการฝึกฝนท่าชักกระบี่ ทุกครั้งเขาพยายามที่จะฟันลูกศรให้เร็วกว่าเดิม ให้รอยของพลังกระบี่ที่ตกลงบนต้นไม้ใหญ่ขยับไปได้มากกว่าเดิม เขามีรากฐานที่มั่นคงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน มันเป็นท่ากระบี่เดียวที่เขาชื่นชอบและเป็นทิศทางที่ชัดเจน … ผลการฝึกฝนของเมิ่งชวนในปีครึ่งที่ผ่านมานั้นดีมากจริงๆ เขากลัวว่ามันจะดีกว่าของเทพอสูรโบราณเติ้งเฟิง มีประสิทธิภาพยิ่งกว่ยามเมื่ออยู่ในวัยเดียวกัน
หลังจากผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง มันก็ไม่ได้อยู่ห่างจาก ‘พลัง’ มากเกินไปนัก แม้ว่ามันจะใกล้ถึงขีดจำกัดมากแล้วซึ่งทำให้พัฒนาการนั้นช้าลง เมิ่งชวนได้ทำงานหนักเป็นเวลาถึงหนึ่งปีครึ่ง และสุดท้ายก็ตระหนักว่า ‘พลัง’ นั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนตายตัวอยู่แล้ว
แต่การเปลี่ยนแปลงของคืนนี้นั้น
ทำให้เขาก้าวไปอีกขั้นของวิชากระบี่ และเขาก็สัมผัสถึง ‘พลัง’ ในทันที
การก้าวเข้าไปอีกขั้นนั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น
…
ตีห้า แต่มันก็ยังมืดอยู่
เสียงระฆังยามเช้าในเมืองตงหนิงดังขึ้นแล้วและผู้คนที่ต้องการทำธุระภายใจเมืองก็รออยู่ที่ประตูเมืองเรียบร้อยแล้ว
“ครืน ~~~~” ประตูพระราชวังตงหนิงเปิดออก พ่อค้าขนสินค้า และผู้ใช้แรงงานก็เข้ามาในเมืองทีละคน ในเวลานี้ ก็มีร่างสองร่างปะปนอยู่ในฝูงชนและพวกเขาก็เข้ามาในเมืองอย่างง่ายดาย
“ข้าไม่ได้ไปที่หอเมฆาครามมาครึ่งปีแล้ว พี่สอง คราครั้งนี้เมื่อข้าเข้าเมือง ข้าต้องเล่นให้หนัก ข้าเกือบจะป่วยอยู่ในภูเขาแล้ว” คนทั้งสองเข้ามาในเมือง ชายร่างอ้วนสวมหมวกหัวเราะคิกคัก
“เอาล่ะเราไปทำธุระก่อน และแทนที่สมบัติทั้งหมดนี้ด้วยตั๋วเงิน หลังจากเสร็จธุระแล้วเราค่อยเล่นอย่างช้าๆนานสักสิบวันก่อนที่จะกลับไปที่ค่าย” ชายมีเคราที่อยู่ด้วยกันกล่าว
…
เมิ่งชวนฝึกฝนวิชากระบี่ตลอดทั้งคืนและในที่สุดก็หยุดยั้งลง
ตั้งแต่กลางคืนถึงรุ่งเช้า แม้จิตวิญญาณไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ร่างกายก็อ่อนล้าเช่นกัน เขาฝึกฝนวิชากระบี่มานานกว่าสี่ชั่วโมงและท้องของเขาก็คำราม
แปรงฟันล้างหน้า จากนั้นก็ค่อยไปทานอาหารเช้า
“อึก อึก” เมิ่งชวนถือโจ๊กชามใหญ่ ดื่มสองสามคำ จากนั้นก็กินบะหมี่อย่างสบายใจ
หลังจากกินบะหมี่ไปสามก้อนใหญ่แล้ว เมิ่งต้าเจียงพ่อของเขาก็เดินเข้าไปในห้องโถง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชวนเอ๋อร์ มันค่อนข้างเช้าไปนะสำหรับทานอาหารเช้าในวันนี้”
“ขอรับ”
เมิ่งชวนพยักหน้ารับ และกินต่ออย่างสบายใจ “อย่างไรก็ตาม พ่อ ข้ามีอะไรจะเล่าให้ฟังหลังจากนี้”
“ยังไม่บอกข้าตอนกินอาหารรึ ต้องรออีกรึ”เมิ่งต้าเจียงยิ้ม “ช่างลึกลับจริง”
เมิ่งชวนยิ้มและพูดกับสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง “โจ๊กอีกหนึ่งชาม”
“เจ้าค่ะ นายน้อย” สาวใช้รีบบริการโจ๊กทันที