ตอนที่ 51 สามเทพอสูร
ในตอนเช้ามืด ชายในผ้าคลุมสีเทาเดินอยู่ในตรอก เขาหันออกไปทางถนน ก่อนจะแตะเบาๆและประตูที่ล็อคก็หายไป
“โอ้?”ชายแก่ที่กวาดลานอยู่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย เขาเห็นว่าประตูได้หายไป ฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วขณะที่ชายผ้าคลุมเทาเดินเข้ามา
“ตอบข้ามา” เสียงของชายชุดเทานั้นแหบแห้งขณะที่เขามองไปที่ชายชราด้วยดวงตาสีเขียวของเขา “ที่นี่อยู่ในประเทศ แคว้น หรือเมืองใดกัน?”
กลิ่นอายอสูรหนาทึบปกคลุมร่างชายชรา
ประกายแสงในดวงตาของชายชราหายไปก่อนจะพูดขึ้นเนิบๆ “ที่นี่คือราชวงศ์โจว แคว้นอู๋ เมืองตงหนิง”
ชายชุดเทายังคงเดินเข้าไปในบ้านต่อไปในขณะที่ชายชราทรุดลงกับพื้น เสียชีวิต
เอี๊ยด ประตูอีกบานเปิดออก ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะบิดตัวและเดินออกมา พร้อมกับพูด “ท่านพ่อ ท่านพ่อ…”
ทันใดนั้นเขาก็เห็นชายชุดคลุมสีเทาเดินเข้ามาเช่นเดียวกับร่างของพ่อที่แก่ชราของเขาที่ทรุดตัวอยู่ที่ลานบ้าน ประกายแสงในนัยน์ตาของชายวัยกลางคนหายไปไร้ชีวิต
“บอกข้ามา ที่นี่อยู่ในประเทศ แคว้น หรือเมืองใดกัน?”ชายผ้าคลุมเทาถามอีกครั้ง
“ที่นี่อยู่ในราชวงศ์โจว รัฐอู๋ เมืองตงหนิง” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงเนิบ
จากนั้นชายผ้าคลุมเทาก็หันหลังกลับออกไป
ส่วนอีกเจ็ดคนที่เหลือในบ้านหลังนั้น ก็ตายไปอย่างเงียบๆ
…
ในวังหยกสุริยัน
…เจ้าวังหยกสุริยันนั่งอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิและฝึกฝนวิชาในขณะที่ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าจี้หยกรอบเอวของเขานั้นร้อนขึ้น มันทำให้เขาใจสั่น แสงสีขาวรอบตัวของเขาหายไปในทันที และดึงจี้หยกสีดำที่ซ่อนอยู่ที่เอวของเขาออกมา
จี้หยกดำกำลังเรืองแสงสีแดง
“ตะวันออก” เจ้าวังหยกสุริยันถือจี้หยกดำและด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ราชาอสูรรึ?”
จี้ตรวจปีศาจนี้เขาได้รับมันมาจากเขาหยวนชูและเขาก็พกมันติดตัวตลอด มันจะทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอสูรจากราชาอสูรในระยะ50ลี้
วังหยกสุริยันตั้งอยู่ตรงใจกลางเมือง และระยะยี่สิบห้ากิโลเมตรนั้นครอบคลุมทั้งเมือง เมืองหลายเมืองในราชวงศ์โจวนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่5ลี้ไปจนถึง40ลี้
แน่นอนว่าหากราชาอสูรไม่ได้ใช้วิชาสูรใดๆ จี้ก็จะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอสูรที่เก็บเอาไว้ อย่างไรก็ตามตราบใดที่ราชาอสูรทำอะไรบางอย่าง ในที่สุดพวกมันก็ต้องใช้คาถาอสูร
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
‘ราชาอสูรปรากฏตัวในเมืองตงหนิงอย่างนั้นรึ?’ เจ้าวังหยกสุริยันตื่นตระหนก ร่างของเขาหายวับไปจากห้องและขึ้นไปยืนบนหลังคาวัง
“มาจากทางนั้น” เจ้าวังหยกสุริยันตามทิศทางที่จี้หนกนำไปอย่างเร่งรีบ
…
ชายผ้าคลุมสีเทาถามคำถามเดียวกันนี้กับอีกสามครอบครัว
“ได้เวลาไปแล้ว” ชายผ้าคลุมเทาเดินไปแม่น้ำใกล้ๆที่มีความกว้างเพียง2จั้ง และเพียงเดินลงไป เขาก็ลงหายไปในนั้น
วูบ
……
เจ้าวังหยกสุริยันยืนอยู่บนหลังคาของโรงเตี๊ยมห้าชั้น เขามองไปทางทิศตะวันออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กลิ่นอายอสูรหายไปแล้ว”
ซุบๆๆ!
อย่างไรก็ตามเจ้าวังหยกสุริยันก็ยังตามทางที่จี้หยกบอกไป ในเวลาไม่กี่อึดใจเขาก็มาถึงจุดที่กลิ่นอายอสูรปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก
สามครอบครัวถูกฆ่าตาย เจ้าวังหยกสุริยันยืนอยู่บนหลังคาและรับรู้ทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย “ศพไม่ได้รับความเสียหาย ราชาอสูรตนนี้ระวังตัวมากขนาดเสียงยังไม่มีเล็ดลอด” เจ้าวังหยกสุริยันขมวดคิ้ว ‘จู่ๆราชาอสูรก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองตงหนิงของเรา? หรือว่่าทางผ่านโลกจะปรากฏขึ้นในเมืองนี้อย่างนั้นหรือ’
ราชาอสูรมันระมัดระวังตัวมาก
เป็นเรื่องหายากที่พวกมันปรากฏตัวในเมืองมนุษย์เพียงลำพัง ยิ่งเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอย่างเมืองตงหนิงแล้ว การที่ราชาปีศาจปรากฏตัวออกมาโดยไม่มีคำเตือนใดๆ แสดงว่ามีโอกาสสูงที่ทางผ่านโลกจะปรากฏขึ้นในเมืองนี้
หากนี่เป็นทางผ่านโลกใหม่จริงๆล่ะก็ การรุกรานของอสูรก็จะสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในเมืองตงหนิงแห่งนี้ เจ้าวังหยกสุริยันรู้สึกอึดอัดใจ
…
ในเวลาต่อมา
เมิ่งเซียนกูที่กำลังถือไม้เท้ากับหวินว่านไห่มาถึงพระราชวังหยกสุริยัน
เมิ่งเซียนกูและหวินว่านไห่โค้งคำนับเล็กน้อย “ท่านเจ้าวัง”
“เชิญนั่ง” เจ้าวังหยกสุริยันนั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ามีข่าวร้าย”
สีหน้าของเมิ่งเซียนกูและหวินว่านไห่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เมื่อครู่นี้ จี้ตรวจปีศาจของข้าได้พบราชาอสูรในตงหนิง” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าว “ราชาอสูรมันใช้มนตร์อสูรของมันอย่างเงียบๆเพื่อฆ่าครอบครัวสามครอบครัวก่อนที่จะหายตัวไป ข้าเรียกจึงรีบพวกเจ้าสองคนด้วยมาโดยไว”
“ราชาอสูร?”
“ทำไมราชาอสูรถึงปรากฏตัวในเมืองตงหนิงกัน? เป็นไปได้ไหมว่ามีทางผ่านโลกเกิดขึ้น?” สีหน้าของเมิ่งเซียนกูและว่านไห่เปลี่ยนไป
เจ้าวังหยกสุริยันพยักหน้า”ข้าเองก็คิดเช่นนั้น เป็นไปได้สูงมาก ตอนนี้มีพวกเราเพียงสามคนในเมืองตงหนิงเท่านั้น หากอสูรบุกเข้ามาจริงๆ เราก็จำเป็นที่จะต้องผนึกกำลังกันเพื่อสังหารราชาอสูรที่เป็นผู้นำอสูรโดยเร็วที่สุด”
“ในเมื่อราชาอสูรมันแอบเข้ามา” เมิ่งเซียนกูกล่าวพร้อมกับเอนตัวเข้าไม้เท้าของเธอ “มีโอกาสสูงที่มันจะเป็นหน่วยสอดแนม มันต้องการยืนยันว่าที่นี่คือเมืองใด เมื่อมันรู้ว่าคือเมืองตงหนิง พวกอสูรก็จะรู้ถึงความแข็งแกร่งโดยประมาณของเมืองนี้ เพราะพวกมันมีข้อมูลเกี่ยวกับเมืองมนุษย์ทุกเมือง และพวกมันจะบุกก็ต่อเมื่อมันมั่นใจเท่านั้น เป็นเรื่องยากที่เราจะจัดการกับพวกมันได้”
“ข้าสงสัยว่าราชาอสูรจะมากันกี่ตน” หวินว่านไห่รู้สึกกดดันอย่างมาก
พวกเขาต้องสู้ มีเพียงแค่ตอนที่หมดความหวังหรือเจ้าวังหยกสุริยันสั่งเท่านั้นถึงจะหนีได้
การละทิ้งผู้อื่นถือเป็นความผิดร้ายแรงสำหรับเทพอสูร และการลงโทษโดยเขาหยวนชูนั้นรุนแรงมากเช่นกัน โทษประหารเป็นเรื่องปกติ
“ข้าไม่มีโอกาสได้สู้จริงๆจังๆมาสามปีแล้ว” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “นอกจากตัวข้าเองไม่มีใครรู้ว่าความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนในช่วงสามปีที่ผ่านมา คราวนี้ พวกเจ้าทั้งสองคนต้องสนับสนุนข้า เราจะสังหารราชาอสูรที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าอสูรพวกนี้มันจะได้ใจถ้ามันเหนือกว่า แต่เมื่อหัวหน้าของพวกมันถูกฆ่า พวกที่อยู่เหลือจะหนีไปด้วยความหวาดกลัว”
“ในแดนมนุษย์ พวกเราเสียเปรียบ” เมิ่งเซียนกูพยักหน้า “หนทางเดียวที่จะรอดก็คือสังหารราชาอสูรไป”
“เมิ่งเซียนกู ข้าต้องการวิชาสอดแนมของเจ้า” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าวอย่างจริงจัง “น้องหยุน ข้าจะให้เจ้าช่วยยั้งอสูรตัวอื่นเอาไว้”
“ข้าจะทำให้ดีที่สุด”เมิ่งเซียนกูและหยุนหว่านไห่กล่าว
ในไม่ช้าเมิ่งเซียนกูและหยุนหว่านไห่ก็เดินลงไปที่ข้างหน้าวังหยกสุริยันและสั่งการสมาชิกในตระกูลของพวกเขา
“กลับไปที่คฤหาสน์บรรพบุรุษและบอกผู้นำตระกูลว่าอาจมีอสูรบุกเข้ามาในเมืองตงหนิง บอกให้เตรียมพร้อมตามแผนการที่ตระกูลกำหนดไว้” เมิ่งเซียนกูสั่งสมาชิกตระกูลก่อนที่จะออกคำสั่งคนอื่นต่อ “รีบไปที่จิงหูเมิ่งและตามหาเมิ่งชวน บอกเขาว่าอาจมีอสูรมารุกรานเมืองตงหนิง ปล่อยให้เขา…”
หลังจากให้สั่งการโดยละเอียด สมาชิกทั้งสองกลุ่มก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์บรรพบุรุษและจิงหู่เมิ่ง
หยุนหว่านไห่ก็สั่งตระกูลของเขาด้วยเช่นกัน ก่อนจะเดินมาพูดพร้อมรอยยิ้ม “อาเมิ่ง ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเราจะได้มาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน”
“เรียกมันว่าโชคชะตาก็ได้ “เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างทั้งสองตระกูลนั้นจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อต้องเผชิญกับการรุกรานของอสูร ความขัดแย้งของพวกเขาก็ถือเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย
หวินว่านไห่และเมิ่งเซียนกูกลับไปที่วังหยกสุริยัน ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เจ้าวังหยกสุริยัน เมิ่งเซียนกูและหวินว่านไห่จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา พวกเขาเป็นความหวังเดียวของเมืองตงหนิง และจะไม่แยกจากกัน! เพราะหากแยกจากกันก็จะถูกจัดการลงได้อย่างง่ายดายเป็นแน่
…
ในยามรุ่งเช้า
เมิ่งชวน หลิวชีเยว่ เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน
“ลุงหลิวและข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องไปจัดการ พวกเราจะไม่กลับมาทานอาหารกลางวัน” เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายลุกขึ้นยืน
“ชอรับ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ตอบรับอย่างรวดเร็ว
…
หลิวชีเยว่ก็ทานอาหารเสร็จอย่างรวดเร็วเช่นกัน จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นและพาดซองธนูไว้บนบ่าของเธอ เธอยิ้มและพูดว่า “อาชวน ข้ากินข้าวเสร็จแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวข้าจะไปสำนักเต๋าเพื่อฝึกฝนเกาฑัณฑ์นะ”
“เจ้าจะกลับมาทานอาหารกลางวันไหม”เมิ่งชวนถาม
“ข้าไม่แน่ใจ” หลิวชีเยว่ยิ้มโบกมือและวิ่งออกไป
ตอนี้เธอกำลังอยู่ในช่วงปลายของระดับก่อกำเนิด และได้ค้นพบวิชาลับสำหรับเกาฑัณฑ์ของเธอ วิชาเกาฑัณฑ์ของเธอนั้นน่าทึ่งมาก สนามฝึกซ้อมในจิงหูเมิ่งนั้นเล็กเกินไปสำหรับเธอแล้ว หลิวชีเยว่ไปที่สำนักเต๋าทุกวันเพื่อฝึกฝน สนามเกาฑัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในสำนักเต๋า และสามารถให้เธอยิงเป้าที่อยู่ข้ามทะเลสาบ ไกลกว่าสามร้อยจั้ง
แม้ว่าหลิวชีเยว่จะเป็นนักเกาฑัณฑ์ที่เก่งที่สุดจากแปดสำนักเต๋า แต่เธอก็ฝึกฝนในระยะทาง ร้อยจั้งเพียงเท่านั้น นี่เป็นระยะที่เธอจะยิงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เทศกาลล่าอสูรกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ชีเยว่พยายามอย่างเต็มที่โดยหวังว่าจะได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเธอ เมิ่งชวนยิ้มและทานอาหารจนเสร็จก่อนจะมุ่งหน้าไปที่สนามฝึกของเขา