ตอนที่ 44 การลอบสังหารในยามค่ำคืน
คืนที่ 6 กุมภาพันธ์
เมิ่งชวน หลิวชีเยว่และเหยียนจินเดินออกจากร้านอาหารหยุนเจียง
“คราวหน้าข้าจะเอาชนะเจ้าได้อย่างแน่นอน” เหยียนจินกล่าว
“แต่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเจ้าแพ้ไปแล้วสามครา” เมิ่งชวนกล่าวพร้อมกับหัวเราะ นับตั้งแต่ที่เมิ่งชวนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ช่วยชีวิตเหยียนจินเมื่อคราวสวนหิน ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เบ่งบาน เหยียนจินจะไปจิงหูเมิ่งเป็นครั้งคราวเพื่อประลองกับเมิ่งชวน เขามีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งและวิชากระบี่คู่หยินหยางของเขาก็ทรงพลังเช่นกัน แม้เขาจะไม่รู้ แต่ว่าเมิ่งชวนก็เข้าถึง “พลัง” ได้เมื่อนานมาแล้ว
ดังนั้นในการประลองทั้งสามนัดกับเมิ่งชวน เหยียนจินจึงพ่ายแพ้อย่างหวุดหวิดเสมอ
ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ ตอนนี้เมิ่งชวนต้องซ่อน “พลัง” ของเขาและปลดปล่อยมันออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น การเอาชนะเหยียนจิน ที่ยังไม่ได้บรรลุถึง “พลัง” ก็ค่อนข้างง่าย แต่กลายเป็นว่าการเก็บซ่อนความแข็งแกร่งของเขานั้นยากยิ่งขึ้น
“ข้าเริ่มจะเข้าใจใน “พลัง” ขึ้นมาบ้างแล้วหลังจากที่ได้ประลองกับเจ้า” เหยียนจินมองไปที่เมิ่งชวน “ครั้งหน้า ข้าจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้เป็นแน่”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เข้าใจใน “พลัง”? อย่าโม้ดีกว่าน่า” หลิวชีเยว่ที่อยู่ข้างๆพูดขึ้น
“หึ” เหยียนจินขี้เกียจที่จะโต้เถียงและหันไปหน้าหนี
อย่างไรก็ตาม เมิ่งชวนสัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันทรงพลังอยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าวจากเหยียนจิน มันกำลังตามเขาไปอย่างลับๆ อันที่จริงแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เหยียนจินมาจิงหูเมิ่งเพื่อประลองกับเขา กระแสพลังนั่นก็คอยเฝ้ารออยู่นอกที่พักของเขาเช่นกัน
คนรับใช้คนเก่าไม่ได้ติดตามเขาอีกต่อไป แต่กลับมีจอมยุทธลึกลับติดตามเขามาอย่างลับๆ เหมือนว่าตระกูลของเขาจะส่งคนคุ้มกันที่แข็งแกร่งกว่าเดิม หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บครั้งล่าสุด
“อาชวน เหยียนจินบอกว่าเขากำลังจะบรรลุถึง “พลัง” แล้วเจ้าล่ะ?” หลิวชีเยว่ถาม “อย่าแพ้เขาล่ะ”
“ข้าจะบอกความลับอะไรให้เจ้าฟัง” เมิ่งชวนกระซิบ “ข้าคิดว่าข้าน่าจะบรรลุถึง “พลัง” ภายในไม่กี่เดือน”
“เจ้าเองก็รู้สึกถึง “พลังกระบี่” ด้วยหรือ?” หลิวชีเยว่รู้สึกประหลาดใจ แต่หูของเธอเริ่มเป็นสีแดง
“ใช่แล้ว แต่เจ้าต้องเก็บเป็นความลับนะ”
“แน่นอน ข้าจะเก็บเป็นความลับอย่างแน่นอน” หลิวชีเยว่พยักหน้าทันที
เมื่อเห็นชีเยว่เช่นนี้เมิ่งชวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ
พวกเขาเดินไปพร้อมกันขณะมุ่งหน้ากลับบ้าน ตอนนี้ยังเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ กลางคืนจึงยังหนาวเย็น ทั้งคู่เดินแนบชิดติดกันไป
‘ชีเยว่ก็โตขึ้นแล้ว’ เมิ่งชวนมองไปที่หลิวชีเยว่และถอนหายใจ เขาจำตอนที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆน้ำมูกย้อยคนนี้ถูกลุงหลิวพามาฝากฝังที่ตระกูลเมิ่งได้อย่างชัดเจน เพียงชั่วพริบตา ตอนนี้เธอก็สิบหกปีแล้ว
แม้ว่าเขาจะขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวิชาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เขาก็ใช้เวลาอยู่กับชีเยว่ทุกวัน และบางครั้งเขาก็จะถูกชีเยว่ลากออกไป “กินเลี้ยง” บ้าง แม้ว่าเขาจะต้องปวดใจกับเงินที่หายไป แต่ว่ามันก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข
ลมหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิที่พัดมามันหนาวไปถึงกระดูก แต่เมิ่งชวนกลับรู้สึกดี
‘โอ๊ะ?’ หัวใจของเขาสั่นสะท้าน เมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสพลังอสูรที่ทรงพลังสามตัวปรากฏขึ้นหนึ่งลี้จากเขา และมันกำลังพุ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
‘มันเป็นจอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าจากสวนหินร้างรึ?’ เมิ่งชวนจำหนึ่งในนั้นได้ทันที ในตอนนั้นพลังอสูรของชายหลังค่อมมันทิ่มแทงเข้ามาในร่างของเขา ทำให้เจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ตอนนั้นท่านลุงของเขาได้ช่วยเขาขับไล่กลิ่นอายอสูรนั่นออกไป ดังนั้นเมื่อเขาสัมผัสถึงกระแสพลังของอสูรทั้งสามได้ ก็พบว่าหนึ่งในนั้นมันช่างคุ้นเคย เขาแน่ใจว่าต้องเป็นคนหลังค่อมแน่ๆ
มีสามกระแส กระแสพลังที่อ่อนแอกว่าทั้งสองนั้นคล้ายกับของพ่อและของคนอื่นๆ อย่างไรก็ตามมีอีกกระแสพลังที่แข็งแกร่งกว่าของพ่อและลุงหลิว พลังนี้มันช่างทรงพลังและแปลกประหลาด เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงความอันตราย
พวกมันเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ‘มันเล็งข้าไว้อย่างนั้นรึ? หรือมันเล็งคนอื่น’ เมิ่งชวนได้แค่เดา
เขารีบตัดสินใจในทันทีและพูดกับหลิวชีเยว่ว่า “ชีเยว่ ข้าเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ข้าต้องไปที่คฤหาสน์บรรพบุรุษทันที กลับไปได้เลยไม่ต้องมีข้า”
“เจ้ากำลังจะไปยังคฤหาสน์ของบรรพบุรุษหรือ? เข้าใจแล้ว” หลิวชีเยว่พยักหน้า “แต่อย่าให้เป็นเหมือนคราวก่อนอีกล่ะ ทิ้งข้าไว้แล้วไปที่หอเมฆาครามเพื่อฆ่ากลุ่มโจรเมฆาโลหิตสองคนนั่น”
“เจ้าคิดว่าจะได้เจอกับกลุ่มโจรเมฆาโลหิตง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” เมิ่งชวนหัวเราะ “เอาล่ะ ข้าจะไปแล้วนะ” เมื่อพูดเช่นนั้น เขาก็หันกลับหลังเดินไปทางคฤหาสน์บรรพบุรุษ
หลิวชีเยว่ไม่ได้คิดอะไรมากและเดินกลับไปที่คฤหาสน์เมิ่ง
…
‘พวกมันไม่ได้ตามชีเยว่แต่ยังตามข้ามาอยู่’ เมิ่งชวนเดินไปบนถนนที่เงียบเชียบ พลเมืองของเมืองตงหนิงส่วนใหญ่นอนหลับตั้งแต่หัวค่ำ เพราะเทียนมีราคาแพงมากและคนธรรมดาต้องประหยัด
นอกจากร้านอาหารและร้านน้ำชา หลายๆที่ก็ยังคงมืดสนิท
ลมหนาวพัดมา
เมิ่งชวนเดินไปคนเดียว
ซุบๆๆ!
จอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าทั้งสามร่อนลงบนหลังคาอย่างเงียบๆ ในขณะที่พวกเขามองไปยังร่างเดินคนเดียวอยู่ไกลๆ ดวงตาของชายคิ้วขาวสะท้อนแสงสีทองจางๆ เขาสามารถมองเห็นได้ไกลเกือบหนึ่งกิโลเมตรตอนกลางคืน แต่ตอนกลางวันน้อยกว่านี้
“ศิษย์พี่ มันกำลังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์บรรพบุรุษของตระกูลเมิ่ง” ชายหลังค่อมกล่าวเบาๆ
รองหัวหน้าถูกล่าวทันที “เราต้องรีบจัดการทันที หากเราปล่อยให้มันเดินต่อไป เราจะอยู่ใกล้กับคฤหาสน์บรรพบุรุษของตระกูลเมิ่งมากเกินไป หากเราจู่โจมมันและมันส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ…เมิ่งเซียนกูคงจะมาถึงในไม่ช้า”
“ใช่” ชายคิ้วขาวพยักหน้า “ข้าจะซุ่มโจมตีเขาจากด้านหลังและจับมันไปเป็นๆ เจ้าสองคนต้องซุ่มโจมตีเขาจากด้านหน้า ถ้าเราซุ่มโจมตีล้มเหลว เราจะล้อมมันจากสามด้าน แทน มันหนีไปไหนไม่ได้”
ชายหลังค่อมและรองหัวหน้าถูพยักหน้า “ได้” ทั้งสองคนเชื่อมั่นในความสามารถของศิษย์พี่
“ไป” ชายคิ้วขาวออกคำสั่ง
ทั้งสามคนวิ่งแยกกันไปอย่างรวดเร็ว ชายคิ้วเข้าไปทางด้านหลังเงียบๆ ในขณะที่ชายหลังค่อมและอีกคนวิ่งไปข้างหน้าเพื่อปิดกั้นเส้นทางของเมิ่งชวน
…
‘มันมาแล้ว’ เมิ่งชวนสามารถสัมผัสได้มันได้อย่างชัดเจน และในตอนนี้เขากำลังสงบนิ่งรอ
กระแสพลังที่ทรงพลังกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็วโดยไม่ส่งเสียง
‘โอ๊ะ?’ เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างขณะที่เขาหันหน้าไปทางชายคิ้วขาวที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 8 ก้าว ชายคิ้วขาวเป็นคนตัวสูง ดวงตาของเขายาวและหรี่ ม่านตาของเขาเป็นสีทอง คิ้วสีขาวของเขายาวจนมันลู่ลงมา กลิ่นอายอสูรสีเทาปกคลุมร่างกายของเขา และในมือทั้งสองข้างของเขาถือกระบี่สองคม
ตาของเขาปะกัน
เมื่อเมิ่งชวนเห็นจอมยุทธคิ้วขาวคนนั้น มันก็เปล่งพลังอสูรออกมา สีหน้าของมันเปลี่ยนไปโดยพลัน และเพียงวูบเดียว เขากลายเป็นภาพเบลอๆขณะพุ่งมาข้างหน้า
‘มันเจอข้าก่อนที่ข้าจะได้ทำอะไรเลยรึ’ มู่หรงหยูเป็นเหมือนนกยักษ์ในความมืดมิด แต่มันอยู่ห่างออกไปเกือบ 8 ก้าว ถึงอย่างนั้นก็ถูกเจอตัว และนี่ทำให้มันประหลาดใจมาก
มันไม่รู้ตัวว่า พอมันเข้าไปอยู่ในระยะ 10 ก้าวจากเมิ่งชวน เมิ่งชวนก็ “เห็น” มันได้อย่างชัดเจน และเขาหันกลับไปมองอย่างตั้งใจเพื่อดูศัตรู
มู่หรงหยูเชี่ยวชาญในการลอบโจมตีและลอบสังหาร มันมักจะซ่อนตัวอยู่ข้างหลังศัตรูโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้เขากลับโดนเจอตัวในค่ำคืนอันหนาวเหน็บนี้ทั้งที่ห่างออกไป 8 ก้าว มู่หรงหยูรู้สึกเจ็บใจ
‘มันแค่โชคดีที่หันกลับมาพอดี’ มู่หรงหยูไม่มีเวลาคิด
ซุบ!
เมิ่งชวนที่กำลังหนีได้นำพลุขอความช่วยเหลือออกมาใช้ทันที แสงพลุพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นที่เด่นสะดุดตาในความมืด
มู่หรงหยูตะโกนอย่างเย็นชา “สกัดมัน!”
‘วิ่ง’ เมิ่งชวนวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก แต่เขาเร็วมาก
“นายน้อยเมิ่ง เจ้าเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกนะ” ร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากความมืด ไม่ใช่ใครอื่นใดนอกจากชายหลังค่อมที่เปล่งกลิ่นอายอสูรสีเขียว ดวงตาสีเขียวของชายหลังค่อมจ้องมาที่เขาขณะที่กำลังพุ่งไปข้างหน้า
“อัจฉริยะพัฒนาเร็วเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” อีกร่างหนึ่งวิ่งอยู่จากอีกด้าน รองหัวหน้าสาขากล้ามโตที่เปล่งกลิ่นอายอสูรสีดำ ถู หัวเราะเบาๆ ขณะที่ถือขวานขนาดใหญ่ เขาดูราวกับหมียักษ์
“อะไรกัน!?” เมิ่งชวนทำเหมือนกำลังโกรธเกรี้ยวและตื่นตระหนก
เบื้องหลังเขาคือจอมยุทธดวงตาสีทองคิ้วสีขาวที่น่าสะพรึง เขาพยายามที่จะหลบหนี แต่มีจอมยุทธอยู่ข้างหน้าเขา และแต่ละคนก็โจมตีเข้ามาจากทางด้านข้าง
“นิกายอสูรฟ้า! เจ้ากล้าซุ่มโจมตีข้าได้ยังไง! ตระกูลเมิ่งของข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน!” เขาตะโกน และหนีไปทางชายหลังค่อม
“ฮ่าฮ่า ตระกูลเมิ่งมาช่วยเจ้าได้ไม่ทันหรอก” เมื่อเห็นเมิ่งชวนเข้ามาหาเขา ชายหลังค่อมก็เข้ามาขัดขวางในทันที
กว่าครึ่งปีก่อน ชายหลังค่อมได้สู้กับเมิ่งชวน ในตอนนั้น มันยิงเล็บนิ้วมือใส่เขาจนทำให้เมิ่งชวนเกือบจะเสียชีวิตจากการบาดเจ็บสาหัส
ชายหลังค่อมมั่นใจมากๆ
“หยุด” ชายหลังค่อมสะบัดเล็บของเขาออกไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
ในระยะใกล้ขนาดนี้เมิ่งชวนแทบจะหลบไม่ได้เลย แต่นี่ทำให้ความเร็วของเขาลดลงมา
“ฮ่าฮ่า” ชายหลังค่อมหัวเราะเสียงดังขณะที่เขายื่นกรงเล็บอันแหลมคมออกมา มันกลายเป็นเงาคว้าเข้าไปที่เมิ่งชวน
เมิ่งชวนที่กำลังหลบหนีอย่างเอาตายโดนเล็บนั่นข่วนเข้าโดยไม่มีการเตือนใดๆ
เขาหลอม “พลังแห่งวิญญาณ” เข้าไปในร่าง พลังปราณของเขามากกว่าปกติถึงสิบห้าเท่า และร่างกายก็หลอมรวมไปอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากการหลอมรวมเสร็จ เขาปลดปล่อย “พลังกระบี่” ของเขาออกมา เมิ่งชวนฝึกฝนท่าชักกระบี่มาเป็นจำนวนมาก และมันเป็นการโจมตีที่เร็วที่สุด กระบวนท่าที่ 17 ของกระบี่ตัดอัสนีทำให้เขาได้ค้นพบวิธีที่ยอดเยี่ยมในการหลอมรวมร่างกายเข้ากับพลังปราณของเขา เมื่อใช้งาน มันจะทำให้สายฟ้าจากร่างเทพอัสนีของเขานั้นหนาขึ้น และทำให้เขาเร็วขึ้น
นับตั้งแต่ที่เขารวมความลับของกระบี่ตัดอัสนีเข้ากับท่าชักกระบี่ ความแข็งแกร่งของมันก็เพิ่มขึ้นเกือบ 50
สุดยอดท่าชักกระบี่อัสนี! ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยความเย็นชา
ต่อจาก “พลังกระบี่” ก็มีพลังที่พวยพุ่งมาจากร่างของเขาที่เกิดมาจากพลังปราณ พลังที่สั่นคลอนโลกและสวรรค์ มันกลายมาเป็นกระบี่ที่น่าเกรงขามยาวหลาย10เมตร
ลำแสงกระบี่นั้นช่างสว่างจ้าจนยากที่จะมองเห็นดาบจริงๆ
ฉับ
ชายคนหลังค่อมที่ตอนแรกมั่นใจมาก พอมาเห็นลำแสงกระบี่มาปรากฏอยู่ตรงหน้า มันก็รีบใช้กรงเล็บทั้งสองปกป้องส่วนสำคัญของร่างโดยสัญชาตญาณ แต่ก่อนที่จะเห็นดาบนั่นฟันมามันก็เห็นเพียงท่อนล่างของตน
ร่างกายส่วนล่างของมันยังคงเคลื่อนไหว แต่ร่างกายส่วนบนตกลงไปบนพื้นแล้ว มันกลิ้งไปและย้อมพื้นให้เป็นสีเลือด
มันถูกฟันขาดเป็นสองท่อนในการโจมตีเพียงครั้งเดียว