ตอนที่ 50 ควบแน่นแก่นเทพอสูร
ไม่กี่วันต่อมา…
ในคืนที่เงียบสงัด เมิ่งชวนนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงของเขา แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนร่างของเขาผ่านทางหน้าต่าง
‘ร่างเทพอัสนีของข้าสมบูรณ์แบบแล้ว ตอนนี้ข้าสามารถลองควบแน่นแก่นของข้าได้’ เมิ่งชวนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
การฝึกวิชาของมนุษย์มีอยู่ห้าระดับใหญ่ๆ
ระดับที่มีความคืบหน้าช้าที่สุดและใช้ทรัพยากรในการฝึกวิชามากที่สุดคือระดับก่อกำเนิด นี่เป็นขั้นที่คนๆหนึ่งเริ่มการชำระกายและค่อยๆรับพลังของเทพอสูร ในระหว่างขั้นตอนนี้ คนๆนั้นจะต้องกินอาหารเสริมจำนวนมาก เช่นยาโสมเพื่อรองรับการเพิ่มระดับ อย่างเช่นขนาดตระกูลเมิ่งจัดหาอาหารเสริมให้เขาอย่างไม่จำกัด แต่ก็ยังต้องใช้เวลาเกือบสามปีกว่าเขาจะเสร็จสิ้นกระบวนการนี้
สำหรับผู้ที่ไม่ร่ำรวยพอ หากไม่มีอาหารเสริมที่เพียงพอสำหรับการชำระกาย การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจะเป็นไปได้อย่างช้าๆ อาจจะใช้เวลาเป็นสิบถึงยี่สิบปี และนอกจากนี้ พวกเขาจะเกิดการ”ขาดสารอาหาร” ทำให้ร่างกายและพลังปราณอ่อนแอกว่าจอมยุทธในระดับเดียวกัน
ตระกูลโจว ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับต่อสู้ในสวนหิน ได้มอบโสมพันปีที่มีมูลค่าหมื่นหยวนให้กับเมิ่งชวนเป็นการขออภัย อันที่จริงพวกเขาได้เก็บสิ่งนี้เอาไว้เพื่อนายน้อยพวกเขาเมื่อเขากำลังอยู่ในระดับก่อกำเนิด นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าการฝึกวิชาในระดับก่อกำเนิดนั้นแพงมากเพียงใด จอมยุทธหลายคนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดต้องหางานจำพวกผู้คุ้มกันหรือผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อที่จะได้หาวัตถุดิบสำหรับการฝึกฝนของพวกเขา
หากพวกเขามีความสามารถพอ ตระกูลอาจจะเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับพวกเขาได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่นเมิ่งชวนกับเหยียนจิน ไม่เพียงแต่มีทรัพยากรที่เพียงพอ แต่ยังมีพรสวรรค์สำหรับการสร้างรากฐานเทพอสูรของพวกเขาอีกด้วย
สำหรับเหม่ยหยวนจื่อนั้น เขาได้รับการดูแลโดยสำนักเต๋าและตระกูลเทพอสูร ทำให้เขาสามารถผ่านระดับก่อกำเนิดได้ภายในสามปี อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถหาสมบัติหายาก ที่สามารถสร้างรากฐานเทพอสูรให้แข็งแกร่งได้ และพรสวรรค์ของเหม่ยหยวนจื่อยังขาดอยู่เล็กน้อย จึงทำให้ท้ายที่สุดแล้วเขาไม่สามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้ หากเขามีพรสวรรค์เช่นลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ล่ะก็ เขาคงจะได้รับคัดเลือกจากเขาหยวนชูและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะเป็นสามัญชนก็ตาม
กลับกันระดับไร้ตำหนินั้นมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
ตราบใดที่เข้าถึงระดับไร้ตำหนิได้ พวกเขาก็ต้องการแค่เพียงไม่กี่เดือนสำหรับการเตรียมการที่จะลุถึงจุดสูงสุดของร่างมนุษย์ เมื่อถึงจุดๆนั้นแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะฝึกต่อไป หากอยากจะพัฒนาร่างให้ไปไกลยิ่งกว่านั้นแล้วล่ะก็ ก็ต้องเป็นเทพอสูร!
การใช้พลังปราณเพื่อควบแน่นแก่นเทพอสูร คือคือจุดสุดท้ายก่อนถึงช่วงขอบเขตความเป็นความตาย นัยน์ตาของเมิ่งชวนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เมืองตงหนิงมีจอมยุทธระดับไร้ตำหนิเพียงสามคนเท่านั้น
แต่ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อัจฉริยะเกือบทั้งหมดที่ปรากฏตัวในเมืองตงหนิงได้ต่อสู้ในสงครามเพื่อจะสะสมแต้ม และมีเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จในการควบแน่นแก่นเทพอสูร
อย่างเช่นเมิ่งเซียนกูที่ได้กลายเป็นศิษย์นอกของเขาหยวนชู เธอต่อสู้อยู่เขตนอกมาโดยตลอด เพื่อนๆของเธอทุกคนนั้นแกร่งพอๆกับเธอและเกือบทั้งหมดประสบความสำเร็จในการควบแน่นแก่นเทพอสูร พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างหนักเพื่อสะสมแต้มเพื่อแลกกับโอกาสที่จะลองช่วงขอบเขตความเป็นความตาย เมิ่งเซียนกูได้รับโอกาสในการเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูรและพยายามพัฒนาหลังจากที่เธอมีแต้มเพียงพอ ความล้มเหลวหมายถึงความตาย เธอประสบความสำเร็จและดูดซับพลังภายในบ่อโลหิตเทพอสูรจนกลายเป็นเทพอสูร แต่สหายของเธอส่วนใหญ่ ที่ควบแน่นแก่นเทพอสูรได้สำเร็จ เสียชีวิตในการต่อสู้ระหว่างการสะสมแต้ม พวกเขาไม่มีโอกาสได้เข้าไปในบ่อโลหิตเทพอสูรเลยด้วยซ้ำ
มีเพียงสองคนที่ได้ลอง แต่มีเพียงเมิ่งเซียนกูเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ
เหม่ยหยวนจื่อก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน เส้นทางสู่การเป็นเทพอสูรนั้นยากเย็น หากเขาไม่สามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้ ก็ทำได้เพียงแค่ทำงานให้หนักและสะสมแต้มเพื่อจะได้มีโอกาสในการเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูร
จอมยุทธระดับไร้ตำหนิสามคนในเมืองตงหนิงเช่นหยุนฟู่เฉิง อยู่ในเมืองเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเพราะพวกเขาไม่หวังที่จะเป็นเทพอสูรอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ยังคงมีความหวังก็ยังคงอยู่ในสนามรบ
‘ด้วยร่างกายที่ไร้ตำหนิ กระแสปราณจะรวมตัวเป็นแก่น นั่นเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเป็นเทพอสูรเท่านั้น ยิ่งข้าประสบความสำเร็จได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี’ เมิ่งชวนหลับตาลง ‘ได้เวลาแล้ว’
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
เขารวบรวมพลังปราณที่เข้มข้นลงในจุดตันเถียน หลังจากที่ร่างกายมนุษย์ถึงขีดสุด พลังปราณในจุดตันเถียนจะเข้มข้นที่สุด
จงปรากฏ!
กระแสปราณที่หนาราวกับหมอกเริ่มหลอมรวมกับพลังของเมิ่งชวน ส่วนหนึ่งของกระแสปราณรวมเข้ากับ”พลังกระบี่” มันทำให้พลังปราณเริ่มเปลี่ยนคุณภาพ สิ่งสำคัญก่อนจะควบแน่นแก่นนั้นคือต้องเข้าใจใน “พลัง”
พลังปราณกลั่นตัวเป็นลำแสงกระบี่ที่หนาแน่นกว่าเดิมมาก พวกมันเริ่มหมุนเวียนและรวมเข้าหากันสู่จุดศูนย์กลางราวกับปลาตัวเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน
บีบอัด! บีบอัด!
เมิ่งชวนทุ่มเททุกอย่างเพื่อควบคุมพลังปราณและบีบอัดมันอย่างเต็มกำลัง ยิ่งบีบอัดได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี และมื่อความหนาแน่นเข้าถึงระดับหนึ่งแล้ว มันก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่การเปลี่ยนสภาพและบีบอัดดำเนินต่อไป แสงกระบี่บางส่วนในบริเวณด้านในสุดก็เริ่มเสื่อมสภาพและถูกบีบให้กลายเป็นลูกบอล
การเปลี่ยนสภาพ การบีบอัด การควบแน่น!
“พลังกระบี่” นั้นต้องแข็งแกร่งมากพอถึงจะมีโอกาสที่จะควบแน่นแก่นเทพอสูรได้สำเร็จ ไม่อย่างนั้น มันจะกระจายออกไป ทำให้จอมยุทธหลายคนที่เข้าถึง”พลัง”แต่ไม่สามารถควบแน่นแก่นเทพอสูรได้ตลอดชีวิต
เมิ่งชวนเข้าใจ “พลังกระบี่” เมื่ออายุ 16 ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาได้รับการฝึกฝนอย่างยากลำบากทุกวัน และยังได้ฝึกฝนการกระบวนท่าที่เหลืออยู่ของกระบี่ตัดอัสนีจนพัฒนาขึ้นมามาก และนี่คือวิธีที่ทำให้เขานำหน้าเหยียนจินได้โดยไม่ต้องใช้”พลังแห่งวิญญาณ”
พลังกระบี่ของเขาค่อนข้างแข็งแกร่งเลยทีเดียว
ตูม!
หลังจากพลังปราณของเขาโคจรมานานกว่าครึ่งชั่วยาม เมิ่งชวนก็ได้ยินเสียงดังก้องจากจุดตันเถียนของเขา แสงกระบี่และพลังปราณหมุนไปรอบๆเป็นเวลานานก่อนจะเปลี่ยนเป็นทรงกลมเล็กๆในที่สุด เจ้าสิ่งนี้มีชื่ออีกอย่างว่าแก่นแท้ มันมีสีขาวทำให้และพลังปราณของเขาถูกเปลี่ยนเป็นกระแสปราณอย่างสมบูรณ์ พลังของกระแสปราณนั้นยิ่งใหญ่กว่ามาก
แม้จะใช้กระบวนท่าเดียวกัน แต่กระแสปราณที่เสริมร่างกายจึงทำให้สามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งและความเร็วออกมาได้มากกว่าเดิม จึงทำให้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
‘ข้าทำสำเร็จแล้ว’ เมิ่งชวนลืมตาและยิ้ม เขายื่นนิ้วออกไป
เปรี๊ยะๆๆ!
ประกายสายฟ้าแปลบปลาบอยู่บนปลายนิ้วของเขา
“หลังจากควบแน่นแก่นเทพอสูร ในที่สุดข้าก็สามารถปลดปล่อยสายฟ้าได้” เมิ่งชวนพึมพำเบาๆ ก่อนหน้านี้สายฟ้าภายในร่างกายของเขาทำได้แค่เพิ่มความเร็วในการไหลเวียนเท่านั้น ตอนนี้เขาสามารถปล่อยมันเพื่อทำร้ายศัตรูได้
ถ้าเขากลายเป็นเทพอสูรแล้วล่ะก็ เขาสามารถระเบิดสายฟ้าออกมาทางมือได้เลยด้วยซ้ำ! และการเปลี่ยนร่างเป็นสายฟ้าเพื่อเดินทางก็จะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา
และขั้นตอนสุดท้ายในการขึ้นเป็นเทพอสูรนั่นก็คือ ขอบเขตความเป็นความตาย
ศิษย์ของเขาหยวนชูไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อสะสมแต้ม แต่พวกเขาต้องมั่นใจให้แน่นอนก่อนที่จะเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูร
สำหรับเมิ่งเซียนกู เหม่ยหยวนจื่อและคนอื่นๆที่ขาดความสามารถ พวกเขาจำเป็นต้องสะสมแต้มเพื่อแลกกับโอกาส อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่ว่าพวกเขาก็ยังสามารถลองพัฒนาได้ เพราะนี่เป็นโอกาสที่พวกเขาเสี่ยงชีวิตเพื่อได้มันมา
จากมุมมองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นการดีกว่าที่จะไม่เสียทรัพยากรอันมีค่าอย่างบ่อโลหิตเทพอสูรไปกับผู้ที่ไม่ค่อยมีโอกาสในการประสบความสำเร็จ
แต่บางครั้ง ผู้คนก็ต้องการความหวัง!
‘ในขณะที่กำลังพัฒนาตัวเองตอนอยู่ในบ่อโลหิตเทพอสูร ข้าจะถูกสายฟ้าฟาดใส่เพราะข้ามีร่างเทพอัสนี ขอบเขตความเป็นความตายของข้าจะยากมากๆเป็นแน่ ข้าต้องเตรียมตัวให้พร้อมยิ่งกว่าเดิม’
เมิ่งชวนอารมณ์ดียืนอยู่ริมหน้าหน้าต่างและจ้องมองดวงจันทร์ที่สว่างไสว
เขาได้สาบานตนเมื่ออายุได้หกขวบ ตอนนี้ เขาเข้าใกล้การเป็นเทพอสูรมากขึ้นไปอีกแล้ว
…
ช่วงเวลาในเมืองตงหนิงช่างสงบสุข ผู้คนในเมืองเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับงานล่าอสูรที่กำลังจะจัดขึ้นทุกๆสามปี! ครั้งก่อนเมิ่งชวนและเหยียนจินต่างก็เด่นที่สุด คราวนี้ทั้งคู่ได้เข้าถึง”พลัง”แล้ว คราวนี้จะเป็นอย่างไรกัน?
“ข้าได้ยินมาว่าสำนักเต๋าลมมีศิษย์ชื่อจางฟาน เขาค้นพบวิชาลับตอนอายุสิบเจ็ด ตระกูลจางสร้างคนแข็งแกร่งออกมาอีกแล้วสิ”
“ไม่เห็นจะเก่งอะไร สำนักเต๋าเพลิงมีนักเกาฑัณฑ์หญิงชื่อหลิวชีเยว่ เธอเองก็ไม่ได้มาจากตระกูลเทพอสูรเช่นกัน เธอเข้าถึงวิชาลับได้ตั้งแต่ตอนอายุสิบหก เด็กคนนั้นแข็งแกร่งกว่าอีก เธอคงจะเป็นคนที่น่าประทับใจที่สุดในงานครั้งนี้”
“พวกเจ้าลืมไปแล้วรึ? ข้าได้ยินมาว่าปีนี้ทั้งนายน้อยเมิ่งชวนและนายน้อยเหยียนจินจะได้ขึ้นเวทีเป็นคนสุดท้ายด้วย”
“นายน้อยเหยียนจินช่างน่าเกรงขาม เขาเอาชนะจอมยุทธไร้ตำหนิได้ถึงสามคน นายน้อยเมิ่งชวนเองก็ตระหนักรู้ถึง”พลัง”ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยอดเยี่ยม”
“ข้าได้ยินมาว่านายน้อยเหยียนจินเคยไปที่จิงหูเมิ่งหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยชนะเลย”
ในโรงน้ำชาตอนกลางคืนที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น บางคนก็กำลังนั่งดื่มในโรงเตี๊ยมหรือสนุกสนานที่หอนางโลม ในขณะที่คนทั่วไปก็เข้านอนเร็ว
และในตอนนั้นเอง—
ห้าจั้งใต้เมืองตงหนิง แผ่นดินเริ่มบิดเบี้ยว ดินและหินถล่มลงจนเป็นฝุ่น อีกฝั่งหนึ่งของพื้นที่บิดเบี้ยวนั้นมีภูเขาและนกยักษ์กว้างหลายหลายสิบจั้งทะยานอยู่บนท้องฟ้า ในไม่ช้าลำแสงสีดำก็พุ่งขึ้นมาจากภูเขาอันไกลโพ้นเข้ามาใกล้บริเวณที่บิดเบี้ยวนี้ มันเป็นลิงดำถือไม้เท้า
เจ้าลิงดำมองไปยังอากาศที่บิดเบี้ยวตรงหน้าแววตาอำมหิต