ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art – ตอนที่ 60

ตอนที่ 60

ตอนที่ 60 มีเทพอสูรอีกคนรึ?

เมิ่งชวนมาถึงในช่วงเวลาสำคัญพอดีและสังหารแม่ทัพอสรพิษในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วังหยกสุริยันในเมืองตงหนิง

วังหยกสุริยันตอนนี้เหลือเพียงซากปรักหักพัง การต่อสู้ระหว่างเทพอสูรและราชาอสูรนั้นน่าสะพรึง อาคารในวังหยกสุริยันทั้งหมดพังทลายลง ขนาดคุกที่ไว้กักขังอสูรยังถูกทำลายเลย เหล่าอสูรที่อยู่ในนั้นกลายเป็นเพียงเศษเนื้อ ก่อนที่จะกลายเป็นเพียงกองเลือด

ไม่เหลือแม้แต่กระดูก มีเพียงเลือดเท่านั้น

ตูม!

หวินว่านไห่ปลิวไปเพราะแรงระเบิด และมีเหวลึกปรากฏขึ้นที่พื้น ร่างของเขาถูกล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงสีม่วง ราวกับว่าเขาเป็นเทพแห่งเปลวเพลิง อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้แต่กระอักเลือดออกมาในขณะที่นอนอยู่ก้นเหว เลือดของเขานั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีม่วงที่เริ่มมอดดับ กระจายอยู่บนพื้น

“ตายซะ!” เงาสีดำพุ่งเข้ามาพร้อมกับร่างของวานรขนดำฟาดกระบองใส่หวินหวานไห่

เมิ่งเซียนกูที่ยืนอยู่ห่างๆก็รีบโบกมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เงามือโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าและคว้าหวินว่านไห่ที่บาดเจ็บหนักออกไป มันทำให้กระบองของราชาอสูรวานรฟาดลงไปบนพื้นแทน เสียงระเบิดที่ตามมามันดังราวกับฟ้าผ่า เหลือไว้เพียงหลุมขนาดยักษ์กว้างกว่า10จั้ง ส่วนหวินว่านไห่นั้น ตอนนี้เขาหลบออกมาได้เพราะการดึงนั้น เขาเกือบจะโดนกระบองนั่นกระแทกใส่เพียงนิดเดียว

เมื่อพุ่งไปอยู่ข้างๆเมิ่งเซียนกูแล้ว หวินว่านไห่ก็กระซิบว่า “เซียนกู เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้” เมื่อพูดออกมามันก็ทำให้เขาต้องกระอักเลือด

เมิ่งเซียนกูพยายามไม่คิดมาก เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คลื่นที่มองไม่เห็นกระจายออกมาจากเธออย่างต่อเนื่องในขณะที่เธอพยายามก่อกวนราชาอสูรทั้งสามทีละเล็กทีละน้อยเพื่อช่วยเจ้าวังหยกสุริยัน

ในขณะนั้นเอง ร่างของเจ้าวังหยกสุริยันเริ่มเปล่งประกาย ฝ่ามือของเขาดูราวกับรูปแกะสลักหยก พลังทั้งมวลของเขานั้นอยู่ในมือทั้งสอง วิชากำปั้น วิชาฝ่ามือ วิชากรงเล็บ วิชานิ้ว … พวกมันช่างลึกลับ! เขาสามารถต้านทานราชาอสูรสามตนได้ด้วยตัวคนเดียว ราชาอสูรทรราชคำรน ที่สูงกว่าสิบจั้งและมีพละกำลังมหาศาล ยังมีราชาอสูรที่ใช้พิษและราชาอสูรระดับสาม ไป่เฉิน

และเพราะเขาเอาจริงด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้น เขาคงจะสิ้นไปนานแล้วหากหวังพึ่งเมิ่งเซียนกูและหวินว่านไห่ที่บาดเจ็บ

หลังจากปะทะกันกลางอากาศ เจ้าวังหยกสุริยันก็ร่วงลงพื้นและถอยไปสองสามก้าว เมื่อเขากลับมารวมกลุ่มกับเมิ่งเซียนกูแล้ว หน้าซีดเซียวของเขาก็กลับมาเป็นปกติ

“เจ้ายังไหวหรือเปล่า?” เจ้าวังหยกสุริยันมองไปที่หวินว่านไห่

“ตอนนี้ข้าใช้วิชาต้องห้ามไปแล้ว ข้ายังต่อได้อีกเพียงสิบวินาทีเท่านั้น” หวินว่านไห่พูดเสียงต่ำ “จากนั้น ข้าคงจะถูกเจ้าวานรนั่นบี้จนเละ”

อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com

“ท่านเจ้าวัง” เมิ่งเซียนกูกล่าว “หวินว่านไห่บาดเจ็บหนักเกินไป”

เจ้าวังหยกสุริยันก็รู้เช่นกัน ความแข็งแกร่งของศัตรูนั้นเหนือความคาดหมายของเขา ในบรรดาราชาอสูรทั้งสี่ ราชาอสูรระดับสองทุกตนนั้นต่างเก่งกาจ แต่ก็ไม่เท่าราชาอสูรระดับสาม ไปเฉิน

ส่วนพวกเขาน่ะหรือ?

เมิ่งเซียนกูมีอาการบาดเจ็บภายใน เธอทำได้แค่เพียงคอยช่วยกางเขตแดนอยู่รอบนอกเท่านั้น นี่เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเมิ่งเซียนกูในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว หวินว่านไห่สามารถรับมือได้อีกนิดหน่อย แต่เมื่อราชันอสูรวานรและราชันอสูรทรราชคำรนร่วมมือกัน พวกมันก็บดขยี้หวินว่านไห่ได้อย่างง่ายดาย ในเวลาอันสั้น หวินว่านไห่โดนอัดจนเกือบตายแม้จะใช้วิชาต้องห้ามเทพอสูรแล้วก็ตาม

แม้ว่าเขาจะโชคดีที่ยังไม่สิ้น แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่น่าจะทำอะไรได้มากในการต่อสู้ครั้งนี้

เจ้าวังหยกสุริยันต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของราชาอสูรทั้งสี่พร้อมกัน ความหวังเริ่มเลือนราง

“เมืองตงหนิงอยู่ภายใต้การโจมตีอย่างหนัก แต่พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย” หวินว่านไห่พูด “หรือเราจะถ่วงเวลาดี?”

“ข้าได้ขอกำลังเสริมจากเมืองรัฐอู๋และเขาหยวนชูแล้ว” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าว “ตอนนี้เราคงได้ แต่หวังว่าจะมีเทพอสูรที่ทรงพลังซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองตงหนิงพอที่จะช่วยเราได้ทันเวลา มิฉะนั้นตงหนิงคงจะเหลือแต่ซาก”

“แปลก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ทำไมราชาอสูรถึงหยุด?”

หวินว่านไห่และเจ้าวังหยกสุริยันก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน

เหล่าเทพอสูรเสียเปรียบในการต่อสู้มาโดยตลอดและราชาอสูรก็ได้เปรียบ ถ้าพูดตามหลักเหตุผลแล้ว เหล่าราชาอสูรควรจะใช้ทุกโอกาสนี้สังหารเทพอสูรทั้งสามให้ได้ ทำไมพวกมันถึงยั้งมือกัน?

ราชาอสูรทั้งสี่หยุดมือชั่วคราวเพราะมีบางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้น

“ราชันอสูรไป่เฉิน” ราชันอสูรวานร ราชันอสูรทรราชคำรน และราชันอสูรบึงพิษมองไปที่ไปเฉิน ผู้นำของพวกมัน

“เกิดอะไรขึ้นรึ?” ทรราชคำรนถาม

ไปเฉินหยิบตราออกมาจากหน้าอกของมันและกวาดสายตาไปรอบๆ และพูดออกมา “ตรานี้ท่านจ้าวแห่งขุนเขา(ชานจิ่วเฉา)ให้ข้ามาเพื่อใช้ควบคุมกองทัพทั้งหมด และมันยังสามารถใช้ตรวจสอบตราของแม่ทัพอีกทั้ง 18 ได้ มันทำให้ข้ารู้ว่าแม่ทัพ 9 ตนจากทั้ง 18 ตนได้ตายไปแล้ว”

“พวกมันตายไปแล้วครึ่งหนึ่งเลยรึ?” ท่ามกลางหมอกสีดำ บึงพิษตกใจ

“เป็นไปไม่ได้” วานรอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “แม่ทัพอสูรเหล่านี้นั้นแข็งแกร่งมากในโลกมนุษย์นี้ และศัตรูของพวกมันทั้งหมดก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เป็นไปได้ยากที่พวกมันจะถูกสังหารในการต่อสู้ แต่พวกมันครึ่งหนึ่งกลับตายไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

“ในเวลาที่บุกเข้ามา ข้าก็สัมผัสได้ว่ามีแม่ทัพได้ตายไปสองตนแล้ว” ไปเฉินกล่าว “แต่ตอนนั้นพวกเราต้องจัดการกับเทพอสูรสามทั้งสามจากวังหยกสุริยันนี้ ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าเสียสมาธิ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากนั้นข้าก็รู้สึกได้ว่าเหล่าแม่ทัพนั้นต่างตายตกกันไปทีละตน และเมื่อครู่นี้เอง ข้าก็สัมผัสได้จากทางตะวันออกเฉียงใต้ และทางเหนือ แม่ทัพสามตนเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วติดต่อกันภายในไม่กี่ชั่วอึดใจ ตอนนี้พวกเราสูญเสียแม่ทัพไปถึงเก้าตนแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคิดว่าทั้งสิบแปดคงจะตายจนหมด”

“มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? แม่ทัพพวกนั้นถูกมนุษย์สังหารได้อย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน? ทำไมแม่ทัพทั้งเก้าถึงถูกสังหารได้ง่ายดายเช่นนั้น? “ราชาอสูรทั้งสามก็กังวลเช่นกัน

วานรขมวดคิ้ว “ที่พวกเราไม่จบการต่อสู้กับเทพอสูรไวๆนั่นก็เป็นเพราะพวกเรามีความมั่นใจว่าทัพอสูรจะถล่มเมืองตงหนิงให้ราบได้ แต่หากกลับกลายเป็นว่ากองทัพอสูรของเราถูกทำลาย มันมีเหตุผลใดที่พวกเรายังต่อสู้อยู่ที่นี่?”

“มีเหตุผลเดียวที่แม่ทัพอสูรอีกเก้าตนจะถูกสังหาร” แววตาของไปเฉินเย็นชาขณะพูด “ยังมีเทพอสูรคนอื่นอยู่ในเมืองตงหนิงนี้อีก อาจจะมีมากกว่าหนึ่ง เทพอสูรเหล่านี้หลบซ่อนตัวแล้วสังหารอสูรอย่างไร้ปราณี”

ราชาอสูรทั้งสามเห็นด้วย หากแม่ทัพอสูรตนหนึ่งเสียชีวิต ก็อาจจะอ้างว่ามนุษย์ใช้กับดักและจำนวนคนเข้าโถมใส่ก็ได้

แต่กลับตกตายถึงเก้าตนภายในเวลาไม่นาน สิ่งที่พวกมันคิดได้อย่างเดียวคือ เทพอสูรลงมือแล้ว

“มันไม่กล้ามาช่วยวังหยกสุริยันสู้กับพวกเรา แสดงว่ามันยังไม่แข็งแกร่งพอ มันคงจะเป็นเทพอสูรเกิดใหม่ ยังอ่อนเยาว์ และอ่อนแอ” ไปเฉินกล่าว “ราชันอสูรบึงพิษ เอาตราของข้าไปและออกเดินทางโดยเร็ว มุ่งหน้าไปยังแม่ทัพอสูรที่ยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อเจ้าพบเทพอสูรให้ฆ่าพวกมันทันที”

“ทราบแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” บึงพิษที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำเหยียดแขนสีเขียวเลื่อมของมันออกมารับตรา “หากเป็นเทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่ข้าคงจะสังหารมันได้อย่างง่ายดาย”

ผู้ที่ได้รับเลือกจากชานจิ่วเฉานั้นต่างก็เป็นราชาอสูรระดับสองที่แข็งแกร่ง

ฟิ้ว

มันพุ่งไปทางตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกับหมอกสีดำของมัน

หวินว่านไห่ เมิ่งเซียนกูและเจ้าวังหยกสุริยันถือโอกาสนี้กินยาเพื่อรักษาบาดแผล อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ทำหน้าถอดสีเล็กน้อยเมื่อเห็นราชาอสูรที่ปกคลุมไปด้วยหมอกดำแยกตัวออกไป

“ทำไมมันถึงแยกออกไปกัน?” ใจของเมิ่งเซียนกูอยู่ไม่สุข เธอรู้สึกกังวลกับความหวังของตระกูลเมิ่ง เมิ่งชวน แต่ตอนนี้ เธอไม่มีเวลาคิดมากแล้ว ราชาอสูรทั้งสามที่เหลืออยู่กำลังพุ่งเข้ามา

“ฆ่ามันซะ” ราชันอสูรไปเฉินและอีกทั้งสองตัวดูจะมุ่งมั่นมากกว่าเดิม ตอนนี้พวกมันกังวลเกี่ยวกับกองทัพอสูร หากทัพอสูรถูกสังหารจนหมดและแพ้สงคราม ชานจิ่วเฉาคงจะลงโทษพวกมันอย่างหนักเป็นแน่

ตูม!

เจ้าวังหยกสุริยันปะทะกับพวกมันอีกครั้ง มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถต้านทานพวกมันได้! หากเขากันไว้ไม่ได้ ทั้งเมิ่งเซียนกูและหวินว่านไห่ ที่กำลังบาดเจ็บสาหัส คงจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆภายในพริบตาแน่

ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art

ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art

Status: Ongoing

โลกนี้ถูกรุกรานโดยเหล่าปิศาจมานานนับศตวรรษ มนุษยชาติได้รวมตัวกันก่อตั้งสำนักที่เก่าแก่อย่างสำนักเขาหยวนชูขึ้นมา และจัดตั้งระบบการฝึกฝน พร้อมทั้งส่งเทพอสูรไปป้องกันประตูทางเข้าโลกต่างๆ

เมิ่งชวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เชี่ยวชาญกระบี่ไว แม้ว่าชีวิตนี้จะได้รับมรดกอันล้ำค่า แต่ปณิธานที่อยู่ภายในใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกำจัดพวกปิศาจให้สิ้นซาก! ในอดีตมารดาของเขาได้ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเขา เรื่องนี้กลายเป็นแผลในใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ เขามุ่งมั่นและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู และได้รับทรัพยากรกับการสั่งสอนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ก็คือการวาดรูป และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท