เมิ่งชวนและพ่อของเขาก็เห็นตัวแทนที่มาจากตระกูลเทพอสูรเช่นกัน
“เมิ่งชวน เจ้าคือความภาคภูมิใจของเมืองตงหนิงของเรา เราจะรอข่าวดีของเจ้าจากที่นี่ในเมืองตงหนิง” หวินฟู่เฉิงยิ้มขณะมองไปที่เมิ่งชวน “ถ้าเจ้าได้เป็นเทพอสูรแล้ว สังหารราชาอสูรให้ได้อีกเยอะๆล่ะ”
“แน่นอนขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
“ในตอนนั้น ข้าได้รับบาดเจ็บที่จุดตันเถียนจากด่านฉินหยาง ทำให้ข้าหมดความหวังที่จะได้เป็นเทพอสูร อย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังยินดีที่จะได้มีเทพอสูรคนใหม่ของเมืองตงหนิง” หวินฟู่เฉิงยิ้ม เขามีความสุขอย่างจริงแท้
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย เขารู้เรื่องราวผลงานของผู้นำตระกูลหวิน หวินฟู่เฉิงมาไม่น้อยและค่อนข้างประทับใจเลยทีเดียว
“ยังเร็วไปที่จะเรียกชวนเอ๋อร์ว่าเทพอสูร เขายังต้องผ่านการทดสอบของเขาหยวนชูเสียก่อน” เมิ่งต้าเจียงกล่าวอย่างนอบน้อม
หวินฟู่เฉิงส่ายหน้าและพูดว่า “เขาสังหารแม่ทัพอสูรด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และตอนนี้เขาอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น หากมีความสามารถเช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ได้เข้าสู่เขาหยวนชู? น้องต้าเจียง ข้าอิจฉาเจ้าเสียจริงที่มีลูกชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้”
“ข้าเองก็ประทับใจในการสอนของท่านเช่นกัน พี่เมิ่ง” ในที่สุดหวินฟู่อันก็พูดอะไรออกมาบ้าง แม้ท่าทางเขาจะดูไม่เต็มใจเท่าไหร่
“ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้ากำลังยุ่งอยู่ พวกข้าจะไม่รบกวนเจ้าแล้ว แล้วก็ไม่ต้องไปส่งก็ได้” หวินฟู่เฉิงยิ้มขณะที่เขาพาหวินฟู่อันออกไป
เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนเฝ้าดูทั้งสองคนจากไป
“ผู้แข็งแกร่งทั้งสามของตระกูลหวินนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ แต่หวินฟู่อันก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ”เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ย่าทวดของเจ้ายังบอกอีกว่าผู้นำของตระกูลหวินก็ทำได้ดีมากในการปกป้องเมืองตงหนิง! เขาได้ต่อสู้กับราชาอสูรอย่างเต็มที่ในตอนแรกพยายามปกป้องย่าทวดของเจ้า มีเพียงหลังจากที่เขาทรุดลงไปแล้วเท่านั้น ที่พวกราชาอสูรถึงมีโอกาสโจมตีใส่ย่าทวดเจ้า จนทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง เพียงเท่านี้ ก็ไม่มีสิ่งใดต้องใส่ใจมากกับตระกูลหวิน นี่เป็นสิ่งที่ย่าทวดเจ้าต้องการ”
“ท่านพ่อ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านดูถูกข้าเกินไป ข้าไม่ได้ใส่ใจพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่ข้าสนใจคือการเข้าสู่เขาหยวนชูและฝึกฝนเพื่อเป็นเทพอสูร”
เมิ่งต้าเจียงมองลูกชายด้วยความรู้สึกปลื้มปริ่ม ‘เหนียนหยุนลูกของเราสุดยอด สุดยอดจริงๆ’
…
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
ตกกลางคืน
วังหยกสุริยันมีชีวิตชีวามาก มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นั่นเพื่อส่งเมิ่งชวน หลิวชีเยว่และเหยียนจิน
“เมิ่งชวน” เจ้าสำนักเก๋อหยูจากสำนักเต๋าจิงหู่รู้สึกตื่นเต้น “เตรียมตัวให้ดีหลังจากไปถึงเมืองหยวนชู ผ่านการทดสอบในเดือนธันวาคมและเข้าสู่เขาหยวนชูให้ได้!”
“ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก” เมิ่งชวนกล่าว
“พอมาคิดว่าข้า เก๋อหยู เคยสอนเทพอสูรจากเขาหยวนชูมาก่อน ฮ่าๆ ข้าอวดเรื่องนี้ได้ทั้งชีวิตข้าเลยด้วยซ้ำ” เก๋อหยูหัวเราะ
จงเฉียนเหอจากสำนักเต๋าเพลิงตะวันหัวเราะและพูดว่า”เจ้าแก่เก๋อ เมิ่งชวนเรียนรู้อะไรไปจากเจ้าบ้างกัน? หรือว่าเจ้าจะอวดไปหน้าด้านๆเล่า?”
“ทำไมจะไม่ล่ะ? ข้าสอนกระบี่ใบไม้ร่วงให้เขาตัวต่อตัวเยอะเลยนะ!” เก๋อหยูหันไปมอง “น้องต้าเจียงให้ข้าสอนกระบี่ที่ว่องไวให้เขาเพราะข้าเก่งเรื่องกระบี่ไว แม้ตอนนี้ข้าด้อยกว่าเมิ่งชวนไปแล้ว แต่ความภาคภูมิใจที่สุดของข้าคือการมีศิษย์ที่แข็งแกร่งกว่าข้า! ข้าดีใจจริงๆที่ศิษย์ของข้านำข้าไปแล้ว”
“นั่นเป็นแนวคิดที่ดี” จงเฉียนเหอพยักหน้าชื่นชม “ศิษย์ของเจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเราแล้ว”
“เจ้าสำนัก พวกเราจะกันแล้ว” หลิวชีเยว่กล่าวอำลาจงเฉียนเหอเช่นกัน
“เอาเลย” เจ้าสำนักจงกล่าวและยิ้มให้กับลูกศิษย์ของเขา เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เคยมีโอกาสได้สอนสั่งเทพอสูรที่มีกายาวิหคเพลิง
หลังจากอำลาเจ้าสำนักเก๋อหยูแล้ว เมิ่งชวนก็เดินไปหาเหล่าเทพอสูร
เทพอสูรสองสามคนยืนอยู่ด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือขุนนางเมฆาใต้ ในขณะที่อีกคนเป็นผู้อาวุโสคิ้วยาวจากเขาหยวนชู นอกจากนี้ยังมีเจ้าวังหยกสุริยันและเมิ่งเซียนกูยืนอยู่ข้างๆ
“ได้เวลาออกเดินทางแล้ว” ผู้อาวุโสคิ้วยาวพยักหน้าเล็กน้อย
เมิ่งเซียนกูหันไปมองเมิ่งชวนที่เดินเข้ามาและสั่งว่า “เมิ่งชวน เมื่อไปถึงเมืองหยวนชูเจ้าจงอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องสนใจสิ่งอื่นใด มุ่งเน้นไปที่การฝึกวิชาของเจ้าและเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบเข้าเขาหยวนชูปีนี้พอ”
“ไม่ต้องกังวลขอรับ ท่านย่าทวด” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“ข้าจะอยู่ในเมืองตงหนิงและจะรอข่าวดีของเจ้าที่จวนบรรพบุรุษ” เมิ่งเซียนกูมองเขาอย่างมีความหวัง
“ไปกันเถอะ” ผู้อาวุโสคิ้วยาวเร่งเร้า
มีนกสีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ขนาดมันยืนอยู่บนพื้นและหุบปีก แต่มันก็ยังกินพื้นที่กว่าสิบจั้ง เหยียนจินในชุดสีขาวสะพายกระเป๋าก็นั่งอยู่บนหลังนกตัวนั้นไปแล้ว
“ไปกันเถอะ” หลิวเย่ป๋ายและหลิวชีเยว่ขึ้นไปบนหลังนก
“พวกเราก็ไปกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนก็กระโดดขึ้นไป หลังของนกมีความยาวเป็นสิบจั้ง มีที่ว่างเหลือเฟือแม้ว่าจะนั่งเหยียดขาก็ตาม
จากนั้นชายแก่คิ้วยาวก็นั่งคร่อมลงบนนก
“ไปกันเถอะ” เขาขยุ้มขนนกเบาๆ
และมันก็ส่งเสียงร้องดังก้อง ก่อนที่นกสีดำจะทะยานไปในอากาศ
“เมืองตงหนิง” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มองลงไป หลังจากที่อาศัยอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน พวกเขาไม่อยากจะจากมันไป
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน เมืองตงหนิงถูกปกคลุมไปด้วยแสงจากโคมไฟ ทุกคนคร่ำครวญจนเสียงนั้นดังมาได้ยินหน่อยๆ ไม่มีหอนางโลมใดในเมืองเปิด
“ยังดีที่พวกเราชนะ “เมิ่งต้าเจียงพูด “เมืองตงหนิงจะกลับคืนสู่ความมีชีวิตชีวาอย่างในอดีตในไม่ช้า หากเราแพ้ มันก็คงจะเป็นโศกนาฏกรรม คงน่าเศร้าถ้าเป็นเช่นนั้น”
เหยียนจินมองลงไปเช่นกัน การตายของแม่และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เขาเกลียดพ่อของเขา อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ด่านอันไห่ต่างก็เคารพราชาทะเลตงไห่ การโจมตีเพียงครั้งเดียวของเขาช่วยชีวิตเมืองตงหนิงไว้ได้ทั้งหมด มันทำให้เขามองพ่อของเขาแตกต่างไป
‘อย่างน้อยเขาก็คอยปกป้องผู้คนจำนวนมาก’ เหยียนจินพึมพำภายใต้ลมหายใจของเขา จากนั้นเขาก็มองตรงไป มันคือจุดที่เขาหยวนชูอยู่
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่จ้องมองที่เมืองตงหนิงเป็นเวลานานในขณะที่มันเล็กลงเรื่อยๆ ก่อนที่นกจะทะยานขึ้นเหนือเมฆไปจนไม่สามารถมองเห็นเมืองตงหนิงได้อีกต่อไป
เหนือกลุ่มเมฆมีดวงดาราที่ส่องสว่างงดงาม นกตัวยักษ์สยายปีกของมันกว้างจนยาวกว่ายี่สิบจั้ง มันส่งเสียงร้องขณะบินไป ทุกคนนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ พวกเขาต่างสนใจในทิวทัศน์โดยรอบ ขนาดเมิ่งต้าเจียงและหลิวเยว่ป๋ายก็ยังไม่เคยขึ้นมาเหนือเมฆเลยซักครั้ง
“เราสามารถไปถึงเขาหยวนชูได้ก่อนฟ้าสาง” ชายแก่คิ้วยาวกล่าว จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
…
ประมาณหกชั่วโมงต่อมา เมิ่งชวนและคนอื่นๆก็เห็นเขาหยวนชูท่ามกลางความมืดของกลางคืน
“นั่นคือเขาหยวนชู” ชายแก่คิ้วยาวชี้ไปข้างหน้า
“เขาหยวนชู?”
เมิ่งชวน เหยียนจิน หลิวชีเยว่และคนอื่นๆต่างก็มองอย่างตื่นเต้น เมื่อมองจากไกลๆ พวกเขาเห็นภูเขาขนาดยักษ์ที่สูงเสียดฟ้า เมิ่งชวนและคนอื่นๆเห็นว่าภูเขานี้นั้นยังสูงขึ้นไปเหนือกว่าเมฆเสียอีก
“เขาหยวนชูเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลก” ผู้อาวุโสคิ้วยาวกล่าว “นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนิกายของเราจึงก่อตั้งขึ้นที่นี่ นอกจากนี้นี่ยังเป็นนิกายที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับตั้งแต่ที่มนุษย์ยังเป็นแค่ชนเผ่า”
“เราจะไปที่เมืองหยวนชูก่อน” ชายแก่คิ้วยาวกล่าวขณะแตะขนนกเบาๆ
นกสีดำพุ่งโฉบลงข้างล่างทันที
หลังจากผ่านเมฆหนาไป พวกเขาก็เห็นเมืองขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นที่เชิงเขาหยวนชู เมื่อมองจากด้านบนก็จะเห็นว่าเมืองหยวนชูถูกแยกออกเป็นเมืองชั้นในและชั้นนอก
“เมืองหยวนชูมีประวัติที่ยาวนานพอๆกัน” ชายแก่คิ้วยาวกล่าว “ราชวงศ์ของมนุษย์ผันเปลี่ยนและเมืองหลวงก็เปลี่ยนแปร แต่เมืองหยวนชูนั้นไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก่อนเมืองหยวนชูกว้างประมาณ 50 ลี้ กว้างประมาณเมืองธรรมดา แต่นับตั้งแต่ที่อสูรบุกเข้ามา ตระกูลเทพอสูรหลายตระกูลก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เนื่องจากความปลอดภัย พวกเขาขยายออกไปเป็นเมืองชั้นนอก กำแพงของเมืองหยวนชูนั้นกว้างขวางนับร้อยลี้ ประชากรในเมืองนี้ตอนนี้ก็มากมายยิ่งกว่าเมืองหลวงเสียอีก และนี่ก็เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักรโจวที่ยิ่งใหญ่”
เมิ่งชวน หลิวชีเยว่ และเหยียนจินมองดูเมืองใหญ่ด้วยความประหลาดใจ มันใหญ่กว่าเมืองตงหนิงมาก
“เหยียนจิน เมิ่งชวน ข้าจะส่งพวกเจ้าทั้งสองไปที่พักรับรองแคว้นอู๋” ชายแก่คิ้วยาวกล่าว “พวกเจ้าสองคนจะอยู่ที่นั่นจนกว่าจะถึงการสอบเข้าปลายปีนี้”
“ขอรับ” เมิ่งชวนและเหยียนจินตอบ
ผู้อาวุโสคิ้วยาวพยักหน้าเล็กน้อย นกสีดำขนาดมหึมาได้พุ่งโฉบเข้าไปในเมือง ก่อนจะไปถึงอาคารหรูหราที่มีพื้นที่มากมาย มีแผ่นป้ายอยู่ด้านหน้าอาคาร ที่พักรับรองแคว้นอู๋
มีคนกลุ่มหนึ่งมายืนรอพวกเขาที่ด้านหน้าแล้ว เหมือนว่าจะรอแทบทั้งคืนเลย
ฟ้ิววว
เมื่อนกลงสู่พื้น คนเหล่านั้นก็โค้งคำนับ