ตอนที่ 101 พื้นฐานของ “เจตจำนงแห่งกระบี่”
ในยามเช้าตรู่ ตอนที่ท้องฟ้าที่ยังมืดสลัว
เมิ่งชวนไปที่ถ้ำหมื่นกระบี่คนเดียวพร้อมกับกระบี่บนเอว
ฟิ้ว เขากระโดดขึ้นไปสิบจั้งเข้าสู่ถ้ำที่คุ้นเคย หลังจากเดินผ่านทางแยกไปนิดหน่อย เขาก็เดินต่อไปอีกประมาณยี่สิบจั้งก่อนจะหยุด ลมแถวๆนี้นั้นรุนแรงกว่ามาก ใบมีลมนั้นเร็วและคมกว่าเดิม จอมยุทธระดับไร้ตำหนิธรรมดาอาจจะเสียชีวิตได้หากโดนใบมีลมเหล่านี้ฟันใส่ แต่ว่าเมิ่งชวนกลับยืนยิ้มและมองดูรอบๆ
ทุกครั้งที่เขาสามารถตัดใบมีดลมไปได้ เขารู้สึกถึงความสำเร็จ
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ความลึกที่เขาเข้ามาได้ในถ้ำหมื่นกระบี่แสดงให้เห็นว่าท่าร่างดวงใจกระบี่ของเขานั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน เขาเชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะเชี่ยวชาญพื้นฐานของท่าร่างดวงใจกระบี่แล้ว
เมิ่งชวนตั้งสมาธิและค่อยๆดึงพละกำลังและพลังปราณจากร่างออกมา ราวกับการเก็บแรงเอาไว้ก่อนกระโจนตระครุบเหยื่อ! มือขวาของเขาขยับโดยไม่มีสัญญาณบอกใดๆ เขาชักกระบี่ออกมา ลำแสงกระบี่หลายเส้นพุ่งผ่านอากาศ เมื่อมันโดนเข้ากับใบมีดลม พลังแปลกๆที่อยู่ในลำแสงกระบี่ก็ระเบิดออกมา
เขาฟาดฟันกระบี่อย่างต่อเนื่อง ลำแสงกระบี่หลายสิบลำที่พุ่งกระจายออกมาอย่างสวยงาม ลำแสงกระนั้นวาววับเหมือนกับน้ำ แต่เมื่อมันโดนเข้ากับเป้าหมายก็จะเกิดเสียงดัง ก่อนที่ใบมีดลมจะหายไป
มีเงื่อนไขสำคัญในการเชี่ยวชาญพื้นฐานของดวงใจกระบี่อยู่นิดหน่อย หนึ่งคือต้องชักกระบี่ให้ไว! วิชากระบี่นี้ต้องชักกระบี่ฟันอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก
ที่สำคัญที่สุดคือการผสมหยินและหยาง หยินคือพลังที่มาประจบกันในตัวกระบี่ เมื่อกระบี่ถูกเป้าหมาย หยินก็จะเปลี่ยนเป็นหยาง หยางนั้นมีหน้าที่เกี่ยวกับการปะทุของพลัง! การเปลี่ยนจากหยินเป็นหยางนั้นจะทำให้พลังเกิดปะทุขึ้นมาแบบพิเศษ และระเบิดหยินหยางนี้ก็เป็นผลมาจากวิชานั้น และด้วยพลังที่ระเบิดออกมานั้น ก็จะสามารถเก็บดาบกลับเข้าไปและเปลี่ยนกลายเป็นหยิน! และเมื่อฟันออกไปอีก การเปลี่ยนแปลงจากหยินเป็นหยางก็จะเกิดขึ้น และจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
การทำให้วัฏจักรของหยินหยางนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องเป็นอะไรที่ยากมากที่สุดของท่าดวงใจกระบี่ หากไม่มี “เจตจำนง” คอยชี้นำ วัฏจักรหยินหยางนั้นเป็นสิ่งที่เชี่ยวชาญได้ยาก คำอธิบายเป็นตัวอักษรที่เขียนไว้ในคัมภีร์ก็ไม่ชัดเจนเอามากๆ
โชคดีที่เมิ่งชวนมีรากฐานที่แข็งแกร่ง และมีประสบการณ์กับวิชาชักกระบี่ ที่เหมือนกับวิชาดวงใจกระบี่นี้มาก่อน ซึ่งทำให้เขาสามารถฝึกวิชาได้อย่างราบรื่น
ทุกๆวัน เขาฟาดฟันใบมีดลมหลายหมื่นใบ หลังจากผ่านไปครึ่งปี เข้าก็เข้าใจได้ถึงความลับหลายๆอย่างของวิชาดวงใจกระบี่ และเมื่อเขานำความรู้เหล่านั้นเข้ามารวมกันเป็นหนึ่ง เขาก็จะก้าวผ่านช่วงที่สำคัญได้
หยินคือการปกปิด หยางคือการปะทุ หยินเปลี่ยนเป็นหยาง หยางเปลี่ยนกลับเป็นหยิน หยินและหยางหมุนวนต่อไปไม่มีสิ้นสุด เช่นเดียวกันกับกระบี่ที่จะไม่หยุด เมิ่งชวนใช้วิชากระบี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดเสียงระเบิดดังก้อง
ใบมีดลมเหล่านั้นมันไม่มีรูปแบบที่ตายตัว บางทีใบมีดลมสิบเล่มก็จะพุ่งเข้าใส่พร้อมๆกัน บางทีก็มีเพียงเล็กน้อย และไม่สามารถคาดเดาเส้นทางของพวกมันได้
อย่างไรก็ตาม หากเขาฟันออกไปเร็วพอ เขาก็จะสามารถตัดพวกมันได้ด้วยกระบี่ของเขา!
“เกือบแล้ว อีกนิดเดียว!”
เขาใช้วิชาดวงใจกระบี่หลายรอบ การหลอมรวมพละกำลังและพลังปราณนั้นก็เริ่มกลายเป็นทำเองโดยสัญชาตญาณ เช่นเดียวกันกับ “พลังกระบี่” ที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ เขาค่อยๆเข้าถึงความสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ และด้วยขอบเขตรับรู้ของเขา เขาสามารถบ่งบอกได้ถึงปัญหาเล็กๆของวิชากระบี่ของเขา
‘อีกแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น’
ทุกๆการฟาดฟัน เขาก็ค่อยๆเข้าถึงความสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ
ฟิ้ว และในที่สุด เมื่อเขาฟันออกไปอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็บรรลุเป้าหมายของตน
กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาได้หลอมรวมกันอย่างมหัศจรรย์ พลังในตัวเขานั้นปะทุขึ้นมาหลายสิบเท่าจากปกติ พลังปราณในร่างต่างไหลเวียนด้วยจังหวะที่ประหลาด แต่พลังปราณนั้นกลับหลอมรวมเข้ากับร่างของเขาได้โดยสมบูรณ์
ความเร็วของลำแสงกระบี่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ลำแสงกระบี่วูบไปมาเป็นภาพติดตาเมื่อมันพุ่งผ่าน และเมื่อมันโดนเข้ากับใบมีดลมก็เกิดเสียงละเบิดทุ้มๆขึ้น ก่อนที่อากาศรอบๆที่โดนใบมีดลมเข้าก็เกิดการบิดเบี้ยวเป็นทรงกลม
หากมันโดนเข้าใส่ราชาอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่ล่ะก็ ร่างกายของมันคงทนรับการโจมตีนี้ไมไ่ด้เป็นแน่ ระเบิดหยินหยางจะฉีกกระชากเครื่องในของพวกมัน ไม่บาดเจ็บสาหัสก็ถึงตาย
หากฟันไปสิบครั้งก็สามารถสังหารราชาอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่ได้เลย
อัจฉริยะเหนือชั้นที่เข้าใจ “เจตจำนงกระบี่” และยังเชี่ยวชาญการวิชาของโลหะทมิฬ สามารถสังหารราชาอสูรระดับหนึ่งได้ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ
ตูมๆๆ! ทุกๆการระเบิดทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ลำแสงกระบี่วูบไปมาเพราะการฟาดฟันแต่ละครั้งนั้นช่างไวจนมองไม่ทัน มันเหมือนกับลูกศร เมื่อถูกยิงออกไปแล้วมันก็จะโผล่ไปตรงหน้า! ส่วนวิถีของมันน่ะหรือ? เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้แน่ชัด
ท่าดวงใจกระบี่ของเมิ่งชวนตอนนี้นั้นก็เหมือนกับลูกศรของนักเกาฑัณฑ์
‘เข้าเข้าใจมันแล้ว ข้าเชี่ยวชาญมัน’ เมิ่งชวนหยุดมือ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ‘ข้าเชี่ยวชาญวิชาดวงใจกระบี่แล้วยังเข้าถึงเจตจำนงของวิชาดวงใจกระบี่แล้วด้วย’
กระบี่จิตพิสุทธิ์มีทั้งหมดสิบแปดกระบวนท่า แต่ละท่ามี”เจตจำนง”ที่แตกต่างกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเรียนรู้วิชาในโลหะทมิฬจึงเป็นเรื่องยากมาก แม้ว่าจะไปถึงระดับของ “เจตจำนง” แล้ว แต่หากเจตจำนงนั้นไมไ่ด้เป็นอันเดียวกันกับที่ต้องการในท่าของโลหะทมิฬนั้นมันก็จะปล่อยพลังที่แท้จริงของท่าออกมาไม่ได้ แม้ภายนอกจะดูดี แต่ภายในนั้นขาดพลังอยู่
มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเชี่ยวชาญวิชาสุดยอดของโลหะทมิฬได้! นั่นคือการฝึกฝนท่าท่าหนึ่งท่าเดียวเป็นเวลานาน หากทำเช่นนั้นก็จะสามารถไปถึงขอบเขตของ “เจตจำนง” ได้
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสืบทอดมรดกของโลหะทมิฬโดยไม่มีแก่นสารแห่งจิต ขนาดเมิ่งชวนยังไม่สามารถรับมรดกของโลหะทมิฬได้เพราะแก่นสารแห่งจิตที่อ่อนแอเกินไปเลย หากไม่มีแก่นสารแห่งจิต ที่คนๆนั้นทำได้ก็มีแค่อ่านคำแนะนำเท่านั้น
การเข้าถึงขอบเขตแห่ง “เจตจำนง” นั้นยากเกินไปหากไม่มีการชี้นำของเจตจำนง วิชาเทพอสูรของเขาหยวนชูระดับสวรรค์ โลกา และมนุษย์นั้นมีข้อมูลของการชี้นำของเจตจำนงอยู่
การเข้าถึงขอบเขตแห่ง “เจตจำนง” โดยไม่มีการชี้แนะของเจตจำนงนั้นอาจจะใช้เวลาเป็นสิบถึงยี่สิบปีเลย แต่หากมีการชี้นำของเจตจำนง คงจะใช้เพียงปีหรือสองปีเท่านั้น
หลังจากเสียแรงและเวลาไปกับโลหะทมิฬมามาก ในที่สุดอัจฉริยะหลายๆคนก็เลือกวิชาเทพอสูรระดับสวรรค์แทนเมื่อได้รู้ว่าไม่มีหวังแล้ว และหากฝึกวิชาเทพอสูรระดับสวรรค์ไปถึงจุดๆหนึ่งแล้ว มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากโลหะทมิฬซักเท่าไหร่อยู่ดี
นั่นจึงทำให้เกิดคำถามขึ้นมา เขาควรจะเลือกอะไรดี?
เมิ่งชวนสามารถเข้ากันได้ดีกับกระบี่จิตพิสุทธิ์ หากเขาฝึกกระบี่ตัดสายฟ้าหรือมังกรเพนจรเขาคงจะต้องใช้เวลากว่าหกปีในการเข้าถึงเจตจำนงของกระบี่ กระบี่จิตพิสุทธิ์นั้นมันเข้ากับเมิ่งชวนดีเกินไป
ในตอนที่อยู่ในเมืองตงหนิง เขาฟันลูกศรแปดพันดอกทุกๆวัน และในตอนนี้เขาก็ฝึกเช่นเดียวกันกับใบมีดลมเหล่านั้น และด้วยความคุ้นชินเหล่านั้นที่เป็นประสบการณ์ที่คอยสั่งสมมาได้ช่วยให้เขาเชี่ยวชาญท่าร่างดวงใจกระบี่ได้อย่างดี
และด้วยขอบเขตสิบจั้งของเขา เขาสามารถรับรู้ถึงแต่ละการฟาดฟันได้อย่างชัดเจน เขาเข้าใจความผิดพลาดของตัวเองและสิ่งใดที่ควรพัฒนา ดังนั้นประสิทธิภาพในการฝึกฝนของเขาจึงสูงมาก
และในที่สุดเขาก็เข้าถึง “เจตจำนงแห่งกระบี่” และเรียนรู้รากฐานของกระบี่จิตพิสุทธิ์ได้ในหนึ่งปี
อันที่จริงแล้วเทพอสูรส่วนมากเชี่ยวชาญวิชาจากโลหะทมิฬแค่เพียงไม่กี่ท่าเท่านั้น อย่างลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ เชวเฟิง ได้เรียนรู้ไปสามท่า เซี่ยวหยุนเยว่จากรัฐเจียงก็เรียนรู้ไปได้แค่ท่าเดียว นี่เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นมีเวลาที่จำกัด และระดับขั้นของเทพอสูรพวกเขายังไม่สูงพอ ปกติแล้วเทพอสูรจะเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้หนึ่งท่าหลังจากขึ้นเป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิด
ตราบใดที่ฝึกฝนท่าท่าหนึ่งไปจนเชี่ยวชาญอย่างมหาศาล เพียงแค่นั้นก็ครองโลกได้แล้ว!
อัจฉริยะมนุษย์ที่เข้าถึง “เจตจำนงแห่งกระบี่” สามารถสู้กับราชาอสูรระดับหนึ่งได้ แต่อัจฉริยะมนุษย์ที่เชี่ยวชาญท่าของโลหะทมิฬจะสามารถสังหารราชาอสูรระดับหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
‘เจตจำนงของวิชาดวงใจกระบี่หรือ?’ เมิ่งชวนแบมือออกมา กระบี่มายาก็ปรากฏออกมา “พลังกระบี่” ได้ควบแน่นกลายเป็น “เจตจำนงกระบี่” จนมันเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า
กระบี่มายาบนมือเขานั้นเป็นสีดำและขาว มันคมมาก
การที่จะเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” ได้นั้น “พลังกระบี่” จะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล แม้จอมยุทธระดับขั้น “พลัง” อยากจะเป็นเทพอสูรมากขนาดไหน ก็ยังมีอุปสรรคมากมายที่คอยขัดขวางพวกเขาอยู่ดี
ปกติแล้วระดับขั้นของ “เจตจำนง” นั้นจะอยู่ในขั้นของเทพอสูรระดับแดนอมตะ อย่างคนที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับต่ำหรือกลางนั้นจะสามารถเป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะได้อย่างง่ายดายหากพวกเขาเข้าถึงระดับขั้นของ “เจตจำนง” แล้ว
แต่เงื่อนไขของร่างเทพอสูรระดับสูงและสูงพิเศษนั้นก็ต้องเข้มงวดอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากเข้าถึงขอบเขตของ “เจตจำนง” ได้ ก็ถือได้ว่าพวกเขาถูกลิขิตให้เป็รเทพอสูรอยู่แล้ว
‘หากข้ายังอยู่ที่บ้านเกิด ข้ายังคงฟันลูกศรไปเรื่อยๆอยู่ดี หากข้าไม่ได้คัมภีร์กระบี่จิตพิสุทธิ์มา ข้าจะเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” ได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้’ เมิ่งชวนถอนหายใจ
บนเขาหยวนชู เขาสามารถเลือกวิชาของโลหะทมิฬได้อย่างอิสระ จะมีที่ไหนที่ทำอย่างนี้ได้อีกเล่า?
‘ข้าเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” แล้ว ข้าอยู่ห่างจากเทพอสูรอีกไม่ไกลเท่านั้น!’ เมิ่งชวนยิ้ม ‘ได้เวลาไปหาชีเยว่แล้ว ข้าสัญญากับเธอไว้ว่าจะแสดงเจตจำนงกระบี่ให้ดู’
…
บนจิ้งหมิงเฟิง
“ศิษย์น้องๆ!” ชายชุดเหลืองคนหนึ่งตะโกนจากด้านนอกถ้ำของหลิวชีเยว่
คนรับใช้ประตูปิดกันชายชุดเหลืองเอาไว้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของถ้ำ คนอื่นก็จะถูกห้ามไม่ให้เข้าไป ที่หลิวชีเยว่สามารถเข้าไปที่ถ้ำของเมิ่งชวนได้อย่างง่ายดายก็เพราะเมิ่งชวนได้สั่งข้ารับใช้ให้ปล่อยเธอเข้าไปอยู่แล้ว
“ศิษย์พี่เฉียน?” หลิวชีเยว่เดินมาข้างหน้าถ้ำด้วยความงุนงง “ศิษย์พี่ เข้ามาเถอะ”
ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นศิษย์พี่ เธอปล่อยให้เขาอยู่ข้างนอกไว้ไม่ได้
“ท่านมาที่นี่ทำไมหรือ ศิษย์พี่?” หลิวชีเยว่ถาม
ชายชุดเหลืองยิ้มและมองไปรอบๆถ้ำ “ศิษย์น้อง เจ้าตกแต่งที่พักได้งดงามดีจริงๆ”
หลิวชีเยว่ยิ้มและถามอีกครั้ง “ศิษย์พี่ ท่านมาทำไมหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าคืนนี้อาจารย์จะทดสอบวิชาเกาฑัณฑ์ของพวกเรางั้นหรือ?” ชายชุดเหลืองกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะจะแข่งขันเกาฑัณฑ์กับเจ้ายังไงเล่า”
“ศิษย์พี่ ท่านเป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะไปแล้ว ส่วนข้าก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ ข้าเข้าถึง “พลัง” เกือบจะไม่ได้ด้วยซ้ำ และข้าก็ยังไม่เข้าถึง “เจตจำนง” ข้าจะแข่งกับท่านได้อย่างไรกัน?” หลิวชีเยว่ส่ายหน้า เธอเป็นศิษย์ของขุนนางเทียนซิงโหว นักเกาฑัณฑ์บนเขาหยวนชูหลายคนก็เป็นศิษย์ของ ขุนนางเทียนซิงโหว ศิษย์พี่เฉียหยูเองก็เป็นหนึ่งในศิษย์ของเขาเช่นกัน
“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้อง สายเลือดวิหคเพลิงของเจ้าได้ตื่นขึ้นมาแล้ว วิชาเกาฑัณฑ์ของเจ้านั้นยอดเยี่ยมอยู่แล้ว” เฉียนหยูหัวเราะ “ข้าอยู่บนเขามาสิบปีแล้ว ข้าว่าข้าสามารถชี้แนะให้เจ้าได้ หากพวกเราช่วยเหลือกัน วิชาเกาฑัณฑ์ของพวกเราก็จะพัฒนาไปได้เร็วขึ้น”
หลิวชีเยว่ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่จำเป็นเลย”
เฉียนหยูนิ่งอึ้ง
“ศิษย์พี่ ขอโทษด้วย ข้าแปลกๆไปหน่อย” หลิวชีเยว่พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ “ข้าชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ชอบให้ใครมาที่ถ้ำของข้า ต้องขอโทษด้วยนะศิษย์พี่”
สีหน้าของเฉียนหยูเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ชอบให้คนมาที่ถ้ำของเธอ? นี่เธอกำลังไล่เขาไปอยู่รึเปล่า?
“ชีเยว่ๆ” เมิ่งชวนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข พ่อบ้านที่อยู่หน้าประตูไม่ได้หยุดเขาไว้ พวกเขายังทักทาย “ท่านเมิ่งชวน” ด้วยความเคารพด้วยซ้ำ
‘พวกเขาไม่ได้หยุดเขาไว้รึ?’ สีหน้าของเฉียนหยูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขารู้ว่าหลิวชีเยว่และเมิ่งชวนเป็นตัวติดกันแต่เด็ก แต่การที่เข้ามาที่ถ้ำของเธอได้โดยที่ไม่โดนขวางอะไรนั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่แค่สนิทกันอย่างเดียว!
‘เมิ่งชวนสามารถเข้ามาได้โดยไม่ต้องขอแม้ว่าเธอจะหลับอยู่ก็ได้อย่างนั้นหรือ? นี่พวกเขาสนิทกันแค่ไหนนี่?’