ตอนที่ 110 เรื่องน่าประหลาดใจ 2
วันรุ่งขึ้น ยามรุ่งสาง หลิวชีเยว่มาหาเมิ่งชวน
“อาชวนๆ” หลิวชีเยว่เห็นว่าเมิ่งชวนกำลังฝึกวิชากระบี่ของเขาอยู่ที่ลานฝึก ในตอนนี้เมิ่งชวนกำลังใช้วิชาดวงใจกระบี่ที่สมบูรณ์แล้ว แม้เขาจะเข้าถึงเจตจำนงกระบี่ของวิชาดวงใจกระบี่ได้เพียงแค่อย่างเดียว แต่การทำให้ท่าอื่นนั้นดูถูกต้องก็ไม่ยากนัก ทุกๆวันหลังตื่นนอนเขาจะฝึกฝนวิชากระบี่ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วหลายครั้งเพื่อจะเข้าถึงเจตจำนงกระบี่
“ทำไมวันนี้มาเร็วจังล่ะ?” เมิ่งชวนหยุดมือ ชีเยว่มาทานอาหารกับเขาทุกเช้า เหมือนตอนที่อยู่ที่คฤหาสน์จิงหูเมิ่ง
“เมื่อคืนข้าฝันร้าย ข้าโดนลวงให้เข้าไปในหมอกสีดำ พอตื่นมาข้าก็เพลียมากเลย” หน้าของหลิวชีเยว่ค่อนข้างซีด “จากนั้นข้าก็นอนไม่หลับ”
เมิ่งชวนปลอบเธอ “ข้าก็ฝันร้ายเหมือนกัน แต่ว่าในความฝันของข้า ข้ารู้สึกได้ว่ามีอะไรแปลกๆ และแล้วข้าก็นึกขึ้นได้ว่าข้าคือเมิ่งชวน ทำให้ข้าตื่นขึ้นมาได้ไว”
“ข้าไม่มีสติอยู่เลยในความฝัน” หลิวชีเยว่กล่าว “ข้าทนต่อการล่อลวงไม่ไหว”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาว่าการต่อต้านความฝันก็เป็นการขัดเกลาจิตใจเหมือนกัน”
“ช่างมันเถอะ ข้าคงไม่ไปที่หลุมแห่งความพิศวงซักพัก ข้าจะฝึกวิชาเกาฑัณฑ์ของข้าต่อ” หลิวชีเยว่กล่าว “ข้าต้องไปให้ถึงขอบเขตแห่งเจตจำนงก่อนจะสำเร็จร่างเทพวิหคเพลิงได้”
มันเป็นอะไรที่อึดอัดมากกับการที่ไม่สามารถหลบหนีไปจากความฝันได้ หลิวชีเยว่ต้องฝันร้ายถึงห้าวันก่อนจะเป็นอิสระ ส่วนเมิ่งชวนนั้นดีกว่า เขาฝันร้ายเพียงสามวันก่อนจะกลับเป็นปกติ และเขารู้ตัวทุกครั้งในความฝันทั้งสาม
…
สิบวันต่อมา
ตอนเย็น หลิวชีเยว่ไปที่บ่อเพลิงโลกาเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม! ในฐานะที่เธอปลุกสายเลือดวิหคเพลิงขึ้นมาได้ การฝึกฝนในบ่อเพลิงโลกานั้นก็เรียกได้ว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง! ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการใช้เพลิงของเธอนั้นสูงอยู่แล้วก่อนที่สายเลือดจะตื่นขึ้นเสียอีก ดังนั้นความไวในการฝึกฝนของเธอจึงไวกว่าเดิม เพราะเหตุนี้เขาหยวนชูจึงมีความมั่นใจในการเลี้ยงดูเธอ
ใครก็ตามที่ปลุกสายเลือดวิหคเพลิงขึ้นมาจะมีความสามารถเกี่ยวกับเพลิง
ในขณะนั้นเมิ่งชวนก็ไปที่หลุมแห่งความพิศวง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเข้าไปในหลุมแห่งความพิศวง
คราวนี้ เขาไปถึงขั้นที่หกของรอบที่สี่! เขาพัฒนาขึ้นมาก
…
วันเวลาผ่านไป
เขาเข้าไปในหลุมแห่งความพิศวงทุกๆสิบวัน ตอนแรกเขาก็มักจะฝันร้ายหลังจากเข้าสู่หลุมแห่งความพิศวง หลังจากเขาเข้าไปเป็นครั้งที่ห้า เขาก็ไม่ฝันร้ายอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ผลจากหลุมก็อ่อนลงหลังจากผ่านครั้งที่ห้าไป
…
เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามเดือน ในวันที่ห้าเมษายน ฝนก็ตกปรอยๆ
ยามเช้าตรู่ เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มุ่งหน้าไปที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ พวกเขาวิ่งกันไปด้วยทักษะการเคลื่อนไหว ฝนที่ตกลงมาไม่โดนพวกเขาแม้แต่น้อย
“เจ้าเอาหนังสืออะไรมาเหรออาชวน?” หลิวชีเยว่เห็นว่าเมิ่งชวนถือหนังสือสองเล่มอยู่
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“หนังสือประวัติศาสตร์น่ะ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากจบคาบแนะนำ ข้าจะเอาหนังสือสองเล่มนี้ไปคืนที่ห้องสมุด”
เหล่าลูกศิษย์จะได้รับอนุญาติให้ยืมหนังสือธรรมดาได้ครั้งละสองเล่ม เขาต้องคืนหนังสือเหล่านี้เผื่อคนอื่นๆที่ยังไม่ได้อ่าน
“หนังสือประวัติศาสตร์?”หลิวชีเยว่งุนงง
“ข้าเลิกฝึกที่หลุมแห่งความพิศวงแล้ว” เมิ่งชวนกล่าวขณะวิ่งไป “ช่วงสองเดือนแรกของหลุมแห่งความพิศวง ข้าพัฒนาขึ้นเรื่อยจนข้าไปถึงขั้นที่ 22 ของรอบที่สี่แล้ว แต่ในเดือนที่สาม ข้าเดินต่อไปได้แค่อีกก้าว ยิ่งข้าเข้าไปในหลุมแห่งความพิศวงมากเท่าไหร่ ผลขของมันก็จะอ่อนลงเรื่อยๆ แต่ไม่ว่ายังไงจิตใจของเราก็แข็งแกร่งขึ้นตอนที่ฝึกฝนตามปกติเหมือนกัน”
หลิวชีเยว่พยักหน้า “จิตของเจ้าตอนนี้ยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอที่จะขัดเกลาหกประสงค์วินาศ เจ้าวางแผนจะทำอะไรเหรอ?”
ตอนนี้เขาไปถึงขั้นที่ 23 ของรอบที่สี่ การจะขัดเกลาหกประสงค์วินาศนั้นจะต้องผ่านรอบที่สี่ไปให้ได้ ยังเหลืออีก 56 ขั้น!
“ข้าเตรียมตัวแล้ว ข้าคงจะต้องใช้เวลาอีกห้าถึงหกปีในการขัดเกลาจุดที่เก้า” เมิ่งชวนกล่าว “แม้มันจะใช้เวลาซักพัก แต่ระหว่างนั้นข้าก็จะฝึกฝนวิชากระบี่ไป จะทำให้การฝึกฝนวิชากระบี่ล่าช้าไม่ได้”
อนาคตของเขานั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาจะขัดเกลาจุดที่แปดหรือเก้าได้สำเร็จก่อนจะเป็นเทพอสูรหรือเปล่า อนาคตของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ถึงจะใช้เวลาหลายปีในการเป็นเทพอสูร
ในหนังสือก็เขียนไว้เหมือนกัน หากจิตใจกล้าแข็งเป็นหนึ่งในสิบของมนุษย์ทั้งหมด แม้จะเป็นมนุษย์แต่ก็สามารถเป็นเทพอสูรระดับขุนนางได้ภายในปีเดียว เช่นเดียวกันกับวิชากระบี่ ยิ่งมีระดับสูงมากเท่าไหร่ มนุษย์เองก็สามารถขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
“พลังใจที่กล้าแข็งจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตและเหตุการณ์ที่พบเจอในชีวิต” เมิ่งชวนกล่าว “ตอนที่เราฝึกฝนอยู่บนเขาหยวนชูนี้มันก็ยากที่จะหาประสบการณ์ชีวิต หลังจากที่อ่านหนังสือหลายเล่ม ข้าก็พบว่าการอ่านหนังสือจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้จิตใจได้ โดยเฉพาะหนังสือประวัติศาสตร์ ข้าอ่านเรื่องราวตั้งแต่เกิดจนตายของคนที่มีชื่อเสียงในอดีต”
เมิ่งชวนกล่าว “แม้ว่าข้าจะไม่เคยพบเจอด้วยตัวเอง แต่ข้าก็ได้รับรู้เรื่องราวจากการอ่านหนังสือ ข้าว่าในอีกห้าหรือหกปี ความรู้ของข้าคงจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล”
เขาวางแผนมุ่งมั่นในหลายๆด้านเป็นเวลาห้าถึงหกปี เขาตัดสินใจในการมุ่งมั่นกับวิชากระบี่ การอ่าน และวิชาหลบหนี
วิชากระบี่นั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด! เขาเข้าใจว่าความสามารถในการใช้กระบี่ของเขานั้นยังอยู่กลางๆของเหล่าอัจฉริยะ มีแค่การวาดรูปเท่านั้นที่เขานั้นเก่งกาจอย่างไม่มีผู้ใดเทียบ เขาเรียนรู้ท่าร่างดวงใจกระบี่ได้ในครึ่งปีก็เป็นเพราะวิชาชักกระบี่และท่าร่างดวงใจกระบี่นั้นใกล้เคียงกันมาก และเมื่อความสามารถของเขานั้นยังไม่มากพออย่างที่อาจารย์ได้บอกไว้ เขาต้องขยันมากกว่านี้
ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งไม่ว่าจะฝนหรือจะหนาว มันช่วยขัดเกลาจิตใจของเขาด้วยเช่นกัน
การอ่านนั้นช่วยเพิ่มความรู้ของเขาให้กว้างขวางมากขึ้น เช่นเดียวกันกับความเข้าใจ
วิชาหลบหนีนั้นถูกสร้างขึ้นโดยศิษย์พี่จากเขาหยวนชู ในถ้ำหมื่นกระบี่ลึกกว่าที่เมิ่งชวนฝึกตามปกติร้อยจั้ง ใบมีดลมเหล่านั้นสามารถทำให้เมิ่งชวนบาดเจ็บสาหัสได้เลย เพียงใบมีดลมแค่ไม่กี่เล่มก็เพียงพอที่จะสังหารเขาได้เลยด้วยซ้ำ! เขาต้องใช้ทักษะการเคลื่อนไหวเพื่อที่จะหลบใบมีดลมเหล่านั้น หากเขาไม่ระวังเขาอาจจะตายได้เลย
มันคือสิ่งที่ตัดสินความเป็นความตายได้เลย! จิตใจของเมิ่งชวนพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่เขาหลบและปัดป้องอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทุกครั้งที่เขาบาดเจ็บสาหัสเขาจะหยุดในทันที อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ด้วยความช่วยเหลือจากยา เขาสามารถฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บสาหัสได้ภายในสามวัน และจากนั้นเขาก็จะฝึกฝนวิชาหลบหนีโดยอยู่ระหว่างความเป็นความตายทุกๆสามวัน เขาพยายามอย่างหนักทุกครั้ง พยายามจะอยู่ให้ได้นานกว่าเดิม นี่เป็นวิธีที่จะรีดเอาศักย์ภาพออกมาจากตัวเขา
เมิ่งชวนพึ่งจะได้ลองเพียงครั้งเดียว เขารักษาแผลโดยไม่ให้หลิวชีเยว่รู้และกินยา
วิชากระบี่ การอ่าน และวิชาการหลบหนี หากฝึกแบบนี้ต่อไปข้าเชื่อว่าจิตใจของข้าจะแข็งแกร่งพอในการขัดเกลาหกประสงค์วินาศในห้าถึงหกปี
…
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ไปที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ การจัดที่นั่งได้เปลี่ยนไป
“ศิษย์พี่เชวเฟิงผ่านเก้าถ้ำปริศนาแล้ว เขาลงจากภูเขาไปแล้ว”
“ศิษย์พี่เชวเฟิงอยู่บนเขามาเกือบจะสิบสองปีแล้ว เขาไปถึงระดับมหาสุริยันด้วยร่างอสูรทรายดำที่สมบูรณ์แบบ และเขาเองก็ผ่านถ้ำเก้าปริศนาหลังจากไปถึงระดับมหาสุริยัน การทดสอบของถ้ำเก้าปริศนาของศิษย์พี่เชวเฟิงคงจะยากจริงๆ”
“ความแข็งแกร่งของศิษย์พี่เชวเฟิงตอนนี้อยู่ระดับสูงสุดของเทพอสูรระดับมหาสุริยันแล้วใช่มั้ย?”
เช้านี้ตำหนักแม่น้ำสวรรค์เต็มไปด้วการพูดคุย พวกเขากำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ เชวเฟิง
“ศิษย์พี่เชวเฟิงไปแล้วงั้นรึ?”เมิ่งชวนประหลาดใจ
“เหมือนว่าเขาจะไปเมื่อวานนี้” หลิวชีเยว่ก็ประหลาดใจเช่นกัน ข่าวไม่ค่อยจะกระจายไวเท่าไหร่นักหากเหล่าศิษย์ไมได้คุยกัน
เมิ่งชวนตกใจ เชวเฟิงได้ลงจากเขาหลังจากที่ได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันงั้นรึ? บททดสอบของเก้าถ้ำปริศนาสำหรับเชวเฟิงนั้นคงจะยากจริงๆ!
ศิษย์นิกายในส่วนมากได้ลงจากภูเขาหลังจากที่ได้เป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะ เช่นเดียวกันกับเจ้าวังหยกสุริยันที่เมืองตงหนิง ศิษย์ส่วนมากมักจะได้ไปถึงระดับมหาสุริยันหลังจากสามถึงห้าสิบปีเท่านั้นเพราะความสามารถไม่มากพอ
เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาหยวนชูจะเลี้ยงดูพวกเขาได้ถึง30-50ปี
การบรรยายของปรมาจารย์ก็เหมือนเดิม เหล่าศิษย์ตั้งใจฟังและตั้งคำถามเกี่ยวกับการฝึกฝนของพวกเขา
ไม่นานการบรรยายก็จบลง เหล่าลูกศิษย์ก็แยกย้ายกันไป
หลิวชีเยว่ไปหาขุนนางเทียนซิงโหวและฝึกวิชาเกาฑัณฑ์ของเธอ เมิ่งชวนกำลังนำหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งสองเล่มกลับไปคืนที่ห้องสมุด ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงดังในหู “เมิ่งชวน มาหาข้าที่สวนใน”
เมิ่งชวนหยุดฝีเท้า เขารออยู่ในตำหนักแม่น้ำสวรรค์ หลังจากศิษย์คนอื่นๆไปหมดแล้ว เขาก็เข้าไปที่สวนในของตำหนักแม่น้ำสวรรค์
ที่สวนใน เมิ่งชวนก็เห็นปรมาจารย์
“ท่านอาจารย์” เมิ่งชวนเคารพด้วยท่าทางนอบน้อม
“ตำนานแห่งลมเหนือ?” ปรมาจารย์เหลือบมองหนังสือในมือของเมิ่งชวนแล้วหัวเราะ “ตอนนี้เจ้ากำลังอ่านหนังสือประวัติศาสตร์อยู่รึ?”
“การอ่านช่วยเพิ่มความรู้ให้กว้างไกลและเพิ่มความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นขอรับ มันจะช่วยขัดเกลาทั้งใจและจิตด้วยเช่นกัน” เมิ่งชวนกล่าว
“ฮ่าฮ่า…” ปรมาจารย์หัวเราะ “เหมือนว่าเจ้าจะมีแผนสำหรับการขัดเกลาใจและจิตของเจ้าไว้แล้วนะ?”
“ศิษย์ยังอยู่ห่างไกลจากการขัดเกลาหกประสงค์วินาศขอรับ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม “แผนของศิษย์คงใช้เวลาห้าถึงหกปี ศิษย์จะเครียดเกินไปไม่ได้ และศิษย์ก็อยากจะฝึกฝนวิชากระบี่รวมไปถึงวิชาการหลบหนี การอ่านเองก็ช่วยเสริมให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้นด้วยได้เช่นกันขอรับ”
ปรมาจารย์ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ “การฝึกวิชาการหลบหนีโดยมีชีวิตเป็นเป็นเดิมพันนั้นสุดโต่งเกินไป ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนหรอก ส่วนการอ่านนั้น? เจ้าสามารถทำได้ในอนาคต แต่ว่าเจ้าต้องแบ่งเวลา”
เมิ่งชวนงุนงง ท่านปรมาจารย์เปลี่ยนแผนของเขาอย่างนั้นหรือ? เขาคงจะพัฒนาได้ช้าลง
“การขัดเกลาจิตใจนั้นจะเร่งรีบไปไม่ได้” ปรมาจารย์กล่าวยิ้มๆ “ในการขัดเกลาหกประสงค์วินาศนั้น… ข้าลืมบอกอะไรเจ้าไปอย่างหนึ่ง หกประสงค์วินาศนั้นทรงพลังมาก เมื่อมนุษย์จะขัดเกลาหกประสงค์วินาศแต่ขาดจิตใจที่กล้าแข็ง ก็จะถูกความต้องการของตนเข้ากลืนกิน แต่ว่าหกประสงค์วินาศนั้นค่อนข้างจะพิเศษอยู่หน่อย แม้ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อวิญญาณของมนุษย์มาก แต่มันก็ไม่เป็นผลกับแก่นสารแห่งจิตของเทพอสูรระดับราชาเลยแม้แต่น้อย”
“แม้ว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์ แต่เจ้าก็มีแก่นสารแห่งจิตแล้ว ผลของหกประสงค์วินาศที่มีต่อมนุษย์ที่มีกับแก่นสารแห่งจิตนั้นจะอ่อนกว่ามนุษย์ที่ไม่มีแก่นสารแห่งจิต”
“ตราบใดที่เจ้าสามารถไปถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืดได้ เจ้าก็จะสามารถขัดเกลาหกประสงค์วินาศได้แล้ว แก่นสารแห่งจิตของเจ้าจะคอยช่วยให้เจ้ายังมีสติครบถ้วน” ปรมาจารย์กล่าว
เมิ่งชวนตกตะลึง เขาประหลาดใจมาก!
“แต่ทำไมในบันทึกของร่างอสูรตัดสายฟ้าถึงไม่พูดถึงเรื่องนี้ขอรับ?” เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะถาม
“ฮ่าฮ่า มีมนุษย์กี่คนกันที่มีแก่นสารแห่งจิต?” ปรมจารย์ถามด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่ที่ร่างอสูรตัดสายฟ้าถูกสร้างขึ้นมา ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่เป็นมนุษย์ที่มีแก่นสารแห่งจิต”
ปรมาจารย์และพูดว่า “เอาล่ะ อย่างน้อยในตอนนี้เจ้าก็รู้แล้ว ขัดเกลาจุดที่เก้าให้สำเร็จเสียเถอะ”
“ขอรับ” เมิ่งชวนถอยกลับไปด้วยท่าทางนอบน้อม
เขาหันหลังกลับออกไปด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ ท่านปรมาจารย์ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลยก่อนหน้านี้ เขาพึ่งจะมาบอกข้าหลังจากที่ข้าเข้าไปในหลุมแห่งความพิศวงได้สามเดือน จงใจหรือเปล่านะ?’