ตอนที่ 118 ออกรบ
*จากนี้ไปจะขอเปลี่ยนจากยศขุนนางเทพอสูรเป็น “เทพอสูรเฟิงโหว” แทนนะครับ หลังจากที่ไปหาข้อมูลและอะไรหลายๆอย่าง ชื่อคนใหม่ๆจะเขียนทับศัพท์ แต่คนเก่าๆขอใช้ตามเดิมเพื่อป้องกันการสับสนนะครับ ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย*
เมิ่งชวนและศิษย์พี่ทั้งห้าเดินคุยกับศิษย์อื่นๆ
ในขณะเดียวกันที่มุมหนึ่งของสวน เฉียนหยู ฟูชาง ไป่อี่ และเทพอสูรอีกแปดคนนั่งรวมตัวกันอยู่
“ศิษย์น้องเมิ่งคนนี้นี่น่าประทับใจจริงๆ เขาได้ร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์หลังจากเข้าสู่นิกายมาได้หนึ่งปี และเขายังเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้สําเร็จอีก เขาไม่ด้อยไปกว่าลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลางไร่เลย” ชายหนุ่มรูปงามกล่าวพร้อมกับกวาดพัด
“ในหมู่ศิษย์ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ เมิ่งชวนกับเชวเฟิงเรียกได้ว่าเป็นที่สุดจริงๆ”
“ทั้งคู่มีโอกาสจะได้เป็นราชันเทพอสูรเลยด้วยซ้ำ” พวกเขาต่างชื่นชมเมิ่งชวนและเชวเฟิง
ในตอนที่พวกเขาพยายามจะเรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษและโลหะทมิฬ พวกเขาก็เข้าใจว่ามันยากมากแค่ไหน
การเรียนรู้โลหะทมิฬโดยไม่มีเจตจํานงคอยชี้นําก็หมายความว่าคนๆนั้นจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง และการฝึกฝนนั้นยากมากๆ จากที่เขาหยวนชูบอก หลังจากที่ได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันและควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้สําเร็จถึงจะสามารถสืบทอดมรดกของโลหะทมิฬได้ ศิษย์ของเขาหยวนชูส่วนมากเป็นได้แค่ระดับมหาสุริยันเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้
และนั่นทําให้ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถสืบทอดโลหะทมิฬได้ไปตลอดชีวิต หากไม่มีการชี้นําของเจตจํานง จะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กันในการเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬ? และไหนจะมรดกทั้งชิ้นอีกล่ะ?
ดังนั้นศิษย์ส่วนใหญ่จึงยอมแพ้หลังจากที่ลองไปหลายรอบและรับรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้ในเร็ววันหรอก
” พวกเจ้า” เมื่อได้ยินคําชมจากคนรอบๆ เฉียนหยูก็กล่าวออกมาในที่สุด “ก่อนหน้านี้ข้าได้ทําสิ่งที่น่าอับอายลงไป”
“น่าอับอาย?” ทุกคนงุนงง
“ใช่” เฉียนหยูพูดออกมาแบบไม่ปิดบัง “ก่อนหน้านี้เมิ่งชวนพึ่งจะได้อยู่ในนิกายเพียงครึ่งปี เขาจึงยังไม่มีชื่อเสียง ตอนที่ข้าไปหาศิษย์น้องหลิวชีเยวข้าก็ได้พบกับเมิ่งชวนพอดี ตอนนั้นข้าจึงได้ให้คําแนะนําไปในฐานะศิษย์พี่ ข้าบอกกับเขาว่าการฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษนั้นยากเย็นเพียงไหนและเขาไม่ควรจะเสียเวลาเพียงเพื่อจะล้มเหลว ข้าแนะนําไปว่าควรจะยอมแพ้หากจําเป็น”
“เจ้าขอให้ศิษย์น้องเมิ่งยอมแพ้เรอะ?”
“เฉียนหยู เจ้าขอให้เขายอมแพ้เลยเรอะ?” คนอื่นๆหัวเราะ
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?” เฉียนหยูกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ ” ตอนที่ข้าพูดแบบนั้นไป เขายังไม่ได้ประสบความสําเร็จมากขนาดนี้ แต่ในเวลาเพียงสองเดือนเขาก็เริ่มการขัดเกลาจุดที่แปดของร่างอสูรตัดสายฟ้าแล้ว และยังเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้อีก พอคิดกลับไปถึงคําพูดก่อนหน้านั้นมันก็ทําให้ขารู้สึกอายจริงๆ ข้าอับอายมากจนข้ามักจะหลบหน้าเขาอยู่ตลอด”
“ข้าว่าอีกเดี๋ยวศิษย์น้องเมิ่งจะมาแล้ว เจ้าอยากจะไปซ่อนไหมล่ะ?”
“ถ้าเขามาเจ้าก็ไปเข้าห้องน้ำก็ได้”
“เดี๋ยวพวกข้าจะบอกกับเขาเองว่าศิษย์พี่เฉียนหยไม่กล้าสู้หน้าเจ้าเลยไปหลบอยู่ในส้วม” คนอื่นๆเหน็บ
เฉียนหยูได้แต่มองเพื่อนๆของเขาอย่างช่วยไม่ได้
“ใช่ ข้าตัดสินใจแล้ว” เฉียนหยูกล่าว “ข้าจะท้าทายถ้ำเก้าปริศนาในเดือนนี้และออกจากเขาในวันที่สิบห้ากันยายน
“เร็วขนาดนั้นเลยรึ?” ฟูชางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่เฉียนหยู ไหนว่าพวกเราตกลงกันไว้แล้วว่าจะลงจากเขาด้วยกัน? ข้าได้ไปท้าทายถ้ำเก้าปริศนามาแล้วแต่ข้ายังแข็งแกร่งไม่พอ คงจะต้องใช้อีกสามถึงสี่เดือน”
“ใช่ๆ เราตกลงว่าจะลงไปด้วยกันไม่ใช่รึ?”
มีศิษย์เทพอสูรทั้งหมดสิบเอ็ดคนตรงนี้ พวกเขาบางส่วนผ่านถ้ำเก้าปริศนาไปได้แล้ว ส่วนบางคนก็ยังขาดอีกนิดหน่อยก่อนจะผ่าน พวกเขาตกลงกันว่าจะลงจากเขาพร้อมกันก่อนสิ้นปีนี้!!
นี่เป็นเรื่องปกติของเขาหยวนชู หากศิษย์เทพอสูรลงจากเขาพร้อมกันหลายคน พวกเขาก็มักจะจัดให้ศิษย์สองสามคนไปเมืองด่านเดียวกัน
เขาหยวนชูรู้ถึงความแข็งแกร่งของศิษย์ ความยากของถ้ำเก้าปริศนาขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน ดังนั้นยิ่งมีความสามารถมากก็จะยิ่งยาก แม้ว่าศิษย์ที่อ่อนแอกว่าจะผ่านถ้ำเก้าปริศนาไปได้แต่พวกเขาก็รู้ว่ายังแข็งแกร่งไม่พอ ดังนั้นเขาหยวนชูจึงไม่ว่าอะไรหากจะยังฝึกฝนอยู่บนภูเขาอีกซักสองสามเดือน เขาหยวนชูจะบังคับให้ลงก็ต่อเมื่อใช้เวลานานเกินไปเท่านั้น
“ข้าอยู่บนเขามากจนพอแล้ว ข้าอยู่ที่นี่มามากกว่าสิบปีเสียอีก” เฉียนหยูกล่าว “ข้าอยากลงจากเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้เพื่อจะได้ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์!”
ศิษย์คนอื่นๆนิ่งไป
“ช่างมันเถอะ ข้าจะผ่านถ้ำเก้าปริศนาให้ได้ในเดือนนี้ด้วยเหมือนกัน ลงจากเขาด้วยกันภายในเดือนหน้าเถอะ”
“ข้าด้วย”
“ถ้าเจ้ายังอ่อนแอ ให้ฝึกฝนอีกซักเดือนสองเดือน ข้าจะร่วมด้วย ข้าอยู่บนเขามากว่าสามสิบปีแล้ว ได้เวลาแล้วที่ข้าจะลงจากเขา”
เหล่าคนที่มีพลังมากพอที่จะผ่านถ้ำเก้าปริศนาต่างตามเฉียนหยูที่เป็นหัวหอก
หลังจากอยู่บนเขามานานหลายปี มีใครบ้างเล่าที่ไม่อยากจะมีความสําเร็จ? เหล่าผู้ที่มาจากตระกูลเทพอสูรโบราณก็อยากจะแสดงความสามารถของตนให้พวกผู้อาวุโสเห็น!
“เอาล่ะ พี่น้องทั้งหลาย เราจะลงไปด้วยกัน” เฉียนหยูกล่าวอย่างกล้าหาญ ” แม้เราไม่สามารถเทียบได้กับเชวเฟิงหรือเมิ่งชวน แม้เราไม่หวังที่จะได้เป็นเพิงโหว แต่อย่างน้อยเราก็ต้องได้เป็นเฟิงโปว”
“ใช่แล้ว เป็นเพิงโปว!”
“ไปให้ถึงเฟิงโปว และในอนาคตพวกเราอาจจะได้รับยศเฟิงโหวหรือราชันเลยก็ได้”
เหล่าเทพอสูรเต็มไปด้วยความคาดหวัง
การที่จะได้ตําแหน่งเฟิงโปวนั้นจะต้องใช้แต้มถึงห้าล้านแต้ม! แม้ว่าเฟิงโปวนั้นจะต่ำกว่าเฟิงโหว แต่ว่ามันก็ยังเป็นยศที่ไม่ได้ได้มาง่ายๆ ปกติแล้วจะมีเทพอสูรระดับมหาสุริยันหนึ่งในสิบคนที่จะได้ตําแหน่งเฟิงโปว พวกเขานั้นต้องอุทิศตนแก่เหล่ามนุษยชาติอย่างมหาศาลและมันเป็นเกียรติมากที่จะได้รับตําแหน่ง
“พวกเราตกลงกันว่าจะลงเข้าพร้อมกัน แต่คราวนี้พวกเจ้าทั้งห้าบอกจะลงก่อน”
“แล้วใครใช้ให้เจ้าฝึกช้าขนาดนี้กันเล่า?”
พวกเขาหยอกล้อกัน
ไม่นานเมิ่งชวนกับคนอื่นๆก็มาถึง
“น้องเมิ่ง พี่ๆทั้งสิบเอ็ดคนนี้อีกไม่นานก็จะได้ลงจากเขาแล้ว” เฉียวหยงแนะนําพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “พวกเขามั่นใจว่าจะผ่านถ้ำเก้าปริศนาได้ในปีนี้”
เมิ่งชวนคุ้นเคยกับศิษย์พี่เหล่านี้ เขาเคยเจอกับพี่เฉียนหยูมาก่อนด้วยซ้ำ
เฉียนหยูเริ่มพูดก่อน “น้องเมิ่งชวน ข้าขออภัยที่ก่อนหน้านี้เสียมารยาทกับเจ้าไป”
“พี่เฉียนหยู ท่านเพียงให้คําแนะนํากับข้าด้วยความหวังดี ไม่ได้เสียมารยาทเลยแม้แต่น้อย” เมิ่งชวนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่ได้ใส่ใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นมิตรต่อเทพอสูรทุกคนมาก นั่นก็เพราะเทพอสูรทุกคนต่างอุทิศชีวิตของตนเพื่อปกป้องมนุษย์ชาติ ซักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องออกไปต่อสู้ เช่นเดียวกันกับพี่เฉียนหยูและคนอื่นๆ มีเพียงไม่กี่คนที่ได้อยู่จนแก่เฒ่า
เขาเป็นมิตรต่อเทพอสูรมนุษย์ แต่ความต้องการฆ่านั้นมีไว้ต่อเหล่าราชาอสูร นี่เป็นวิธีของเขาตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาก็จะไม่เก็บเอามาใส่ใจ
“ฮ่าฮ่า น้องชาย เจ้ามีน้ำใจยิ่งกว่าข้าเสียอีก ข้าประทับใจจริงๆ” เฉียนหยยกจอกขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจะลงจากเขาในเดือนหน้า เจ้าต้องมาด้วยนะตอนนั้น”
“แน่นอน” เมิ่งชวนพยักหน้า
ครึ่งเดือนต่อมา วันที่ 15 กันยายน วันที่ศิษย์เทพอสูรหลายคนจะลงจากเขาไปพร้อมกัน
“พี่ป่ายกับพี่เฉียนจะลงไปสู่สนามรบแล้ววันนี้ ข้าจะไปส่งพวกเขาเหมือนกัน” หลิวชีเยว่กล่าว ศิษย์มนุษย์ส่วนมากมักจะไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก แต่ว่าป่ายอี่กับเฉียนหยูต่างมีอาจารย์คนเดียวกันกับหลิวชีเยว่ เฟิงโหวเทียนซิงโหว พวกเขานั้นค่อนข้างจะสนิทกัน ดังนั้นเธอจึงต้องไปส่งพวกเขา
“งั้นก็ไปด้วยกันสิ” เมิ่งชวนพูดด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองคนลงจากจิ้งหมิงเฟิงด้วยกันและมุ่งหน้าไปยังผาแดงโลหิตที่หวงซุนจิง
ผาแดงโลหิตเป็นที่ที่เหล่าศิษย์จะได้ลงจากภูเขา
ครั้งนี้มีศิษย์เทพอสูรหกคนจะลงจากภูเขาพร้อมกัน
“พี่ฉู ขวานของท่านไม่ธรรมดาเลย”
“ฮ่าฮ่า นี่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับโลกา ในบรรดาศิษย์ที่ลงจากเขาครั้งนี้ อาวุธที่ข้าได้จากถ้ำอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นดีที่สุดเลยล่ะ” ชายร่างกํายําสวมชุดเกราะถือขวานสีแดงเข้มที่หนักกว่าพันจิน(500กิโลกรัม) เขาแกว่งมันไปมาด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มาถึงเขาแดงโลหิตพอดี
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับโลกา?” แววตาของเมิ่งชวนและหลิวชีเยวลุกโชนไปด้วยความมุ่งมั่น ศิษย์เทพอสูรจะสามารถเลือกเกราะกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อผ่านถ้ำเก้าปริศนาไปแล้ว! อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่จะได้รับนั่นก็ขึ้นอยู่กับทั้งโชคและชะตา เพราะอาวุธเหล่านั้นจะเลือกเจ้านายของมันเอง อาวุธศักดิ์สิทธิ์จะลอยไปหาเทพอสูรที่แข็งแกร่ง และอาวุธที่อ่อนแอก็จะร่วงลงไปในขณะที่ถูกอันที่แข็งแกร่งกว่าปัดทิ้งไป
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังนั้นจะกินกันไม่ลง และในตอนนั้นเองศิษย์ก็จะเลือกได้
เหล่าศิษย์ที่กําลังจะได้ลงจากเขานั้นค่อนข้างจะอ่อนแอ ดังนั้นพวกเขาส่วนมากจึงได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับมนุษย์กัน โอกาสที่จะได้อาวุธระดับโลกานั้นค่อนข้างจะต่ำ แม้ว่ามันจะขึ้นอยู่กับโชคชะตาว่าจะได้อาวุธที่แข็งแกร่ง แต่โอกาสที่พวกมันจะเลือกเทพอสูรที่อ่อนแอนั้นก็น้อย
มีหนึ่งในสิบคนเท่านั้นที่จะได้อาวุธระดับโลกา
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับโลกาเป็นสิ่งที่เหล่าเทพอสูรเฟิงโหวใช้ในการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อาวุธระดับสวรรค์นั้นสําหรับราชันเทพอสูร ไม่เหมือนวิชาที่ทุกคนจะเลือกได้ตามใจ อาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นมีค่ากว่ามาก! อาวุธเหล่านี้สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น ในตอนที่เจ้านายที่แข็งแกร่งใช้มันเป็นเวลานานพวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
” ท่านเจ้าเขามาแล้ว” เหล่าศิษย์เทพอสูรเงียบลง
เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี้เดินมาและมองดูศิษย์เทพอสูรที่กําลังจะได้ลงจากเขาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า ทิ้งรูปเอาไว้ก่อน” เจ้าเขาหยวนชูหัวเราะ
ศิษย์เทพอสูรคนอื่นๆถอยออกไป เหลือเพียงหกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เฉียนหยู ป่าย ฉลุ่ย และศิษย์เทพอสูรคนอื่นๆยืนขึ้นและจัดเกราะ แต่ละคนโพสท่าของตัวเอง พวกเขาแบกอาวุธไว้บนหลัง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น ภาพเหล่านี้จะประทับอยู่อีกเป็นพันปี! แม้พวกเขาจะแก่และตายไป แต่ภาพเหล่านี้ก็จะเป็นอนุสรจารึกบนกําแพงที่คอยย้ำเตือนตัวตนเมื่อยังเยาว์ก่อนจะออกรบ ดังนั้นพวกเขาจึงจริงจังมาก
“เอาล่ะ ถ่ายไปแล้ว” เจ้าเขาหยวนชูพยักหน้า “ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูปก่อนไปพบกับเฟิงโหวเทียนซิงโหวที่เชิงเขา เขาจะส่งพวกเจ้าไปที่เมืองด่าน”
“ขอรับ” ศิษย์เทพอสูรทั้งหกคนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“พี่น้องทั้งหลาย พวกเราจะไปกันแล้ว”
“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าฝึกฝนกันไป พวกข้าจะไปสังหารพวกราชาอสูรก่อนเอง” พวกเขาหัวเราะเล็กน้อยขณะพูดคุยสั้นๆกับเหล่าศิษย์ที่พวกเขาคุ้นเคยและแนะนําพวกเขา
“พี่ป่าย พี่เฉียน ระวังตัวด้วย” หลิวชีเยว่กล่าว
“อย่ากังวลไปเลยศิษย์น้อง” ป่ายอี่และเฉียนหยูต่างก็หัวเราะ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เทพอสูรทั้งหกก็ลงจากเขาไปอย่างรวดเร็ว เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี่เฝ้ามองดูอย่างเงียบๆ
“ศิษย์อีกหกคนได้ลงจากเขาไปแล้ว” ผู้อาวุโสอีกล่าวเบาๆ
” พวกเขาจะสังหารราชาอสูรและปกป้องชีวิตอีกนับไม่ถ้วน” เจ้าเขาหยวนชูกล่าว
เมิ่งชวนที่กําลังเฝ้าดูอยู่ไกลๆก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เขาเองก็เฝ้ารอวันที่จะได้ลงจากเขา วันที่เขาจะได้เริ่มสังหารอสูรและปกป้องมนุษย์ชาติ
ศิษย์ทุกคนบนเขารฝึกฝนกันอย่างหนัก
เขาหยวนชูใส่ใจกับความก้าวหน้าของศิษย์แต่ละคน พวกเขาเลือกเส้นทางการฝึกวิชาที่เหมาะสมและเลี้ยงดูพวกเขาให้เต็มที่
เมิ่งชวนใช้โอกาสนี้ในทุกๆวินาทีเพื่อฝึกฝนวิชา เขารู้ว่าเทพอสูรหลายคนที่ลงจากเขาไปแล้วกําลังต่อสู้ พวกเขาคอยต้านทานเอาไว้เพื่อให้เขาสามารถฝึกฝนกันได้อย่างสงบสุข
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอีกครั้ง
เวลาได้ผันผ่านไปอีกหลายปี
เทพอสูรอีกหลายคนก็ได้ลงจากเขาไปเรื่อยๆพร้อมกันกับที่ศิษย์ใหม่ก็เข้าสู่นิกายทุกๆปี
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปเก้าปี เมิ่งชวนฝึกฝนอยู่บนเขามาเกือบสิบเอ็ดปีแล้ว