ตอนที่ 124 สลักชื่อบนผาแดงโลหิต
เมิ่งชวนออกจากลานฝึก พอเขาเห็นเหล่าคนรับใช้ที่กําลังทําความสะอาดพื้นอยู่ก็ถามออกมา “ชีเยว่อยู่ไหนรึ?”
” ท่านหญิงออกไปเมื่อเช้านี้ขอรับนายท่าน ช่วงนี้ท่านหญิงหลิวชีเยว่จะฝึกจนเที่ยงก่อนจะกลับขอรับ” คนใช้คนหนึ่งกล่าว ส่วนที่เหลือก็โค้งคํานับอย่างสุภาพ
“อ๋อ” เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นชงชาแล้วไปส่งที่ห้องหนังสือให้ข้าด้วย”
หลังจากสั่งงานเรียบร้อย เมิ่งชวนก็นั่งลงและม้วนกระดาษลงบนโต๊ะ เขาถือม้วนกระดาศและเริ่มวาดหมึกลงไป เขาวาดภาพที่ศิษย์พี่เกาเค่อใช้วิชาดวงใจกระบี่แบบที่สองศิษย์พี่เกาเค่อนั้นแก่
มากแล้วในตอนที่ใช้วิชากระบี่ ร่างกายของเขาเริ่มแต่ตัว แต่ว่าเขาก็ยังเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันที่ไร้เทียมทานในตอนนั้น
เขาวาดรูปอย่างตั้งใจ เขาวาดผมสีขาวของเกาเค่อและกลิ่นอายของคราของเขา เขาชักมีดตัดไม้อย่างตั้งใจ
ตอนแรกที่ศิษย์พี่เกาเค่อฟาดกระบี่ออกมา เขาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่แปลกไป มันทําให้เขาได้เห็นถึงอีกมุมมองของดวงใจกระบี่แบบที่สอง
ในเรื่องของความงดงามแล้ว ท่าของข้านั้นแย่กว่าของศิษย์พี่เกาเค่อมาก เมื่อเทียบกันด้วยมุมมองของศิลปินแล้ว มันทําให้เขาได้เห็นมันในอีกมุมมอง
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน
เมื่อได้ยินเสียงหลิวชีเยว่ เมิ่งชวนกวางพู่กันและเปิดประตูทักทายเธอ เขาตะโกน “ชีเยว่”
ดวงตาเธอเป็นประกาย “วันนี้เจ้าออกมาต้อนรับข้าด้วย” หลิวชีเยว่เดินมาพร้อมกับซองลูกดอกบนหลัง “อาชวน ข้าต้องไปตามเจ้าที่ลานฝึกทุกๆวันเพื่อเรียกเจ้ามากินข้าว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? เจ้าเลิกฝึกแบบบ้าคลั่งแล้วเหรอ?”
“จบแล้วล่ะ” เมิ่งชวนเดินเข้าไปใกล้ๆและพยักหน้า “ข้าลองความคิดที่มีมาทั้งหมดหลังจากฝึกท่าดวงใจกระบี่มาสิบเอ็ดปีแล้ว และข้ายังไปถึงจิตวิญญาณกระบี่ขั้นสูงแล้ว ตอนนี้ข้าต้องฝึกฝนอย่างช้าๆ”
กระบีที่ดีใช้เวลากว่าสิบปีในการตี เช่นเดียวกันกับการฝึกวิชา
ยิ่งเขาไปไกลมากเท่าไหร่ เขาก็จะต้องใช้เวลาในการพัฒนามากขึ้นเท่านั้น และต้องมีความรู้ที่มากเพียงพอด้วยเช่นกัน! อัจฉริยะหลายๆคนติดอยู่ในระดับของจิตวิญญาณไปตลอดชีวิต พวกเขาไปไม่ถึงขั้นเต๋าจวบจนวันตาย เมิ่งชวนเชื่อว่าเขาจะไปถึงขั้นเต๋ากระบี่ภายในเวลา 20 ถึง 30 ปี
ศิษย์พี่เกาเค่อพึ่งจะสร้างวิชาดวงใจกระบี่แบบที่ห้าขึ้นมาได้ก็เมื่อตอนแก่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปได้เพราะร่างกายที่แก่ชราของเขา การก้าวข้ามไปนั้นต้องการสามสิ่งสําคัญ ร่างกาย แก่นสารแห่งจิต และระดับวิชา
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ การจะให้ทุกอย่างเป็นไปดั่งใจหวังนั้นเป็นเรื่องยาก! ต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเข้าใกล้สู่จุดหมายของพวกเขา
“อาชวน เจ้าเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ขั้นสูงแล้วหรือ?” หลิวชีเยวพาเมิ่ง ชวนไปนั่งบนม้านั่งใกล้ๆ เธอพูดอย่างตื่นเต้น “นั่นก็หมายความเจ้าจะได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันแล้วใช่ไหม?”
“ใช่” เมิ่งชวนพยักหน้า “อันที่จริงแล้ว ข้าเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ขั้นสูงตั้งแต่ เมื่อสองเดือนก่อนแล้ว แต่ว่าในตอนนั้นข้าสนใจแต่วิชากระบี่เลยลืมบอกเจ้าไป”
หลิวชีเยว่พูดอย่างตื่นเต้น “อาชวน ข้าเองก็มีข่าวดีมาบอกเหมือนกัน”
“ข่าวดีอะไรรึ?” เมิ่งชวนถาม
“เมื่อเดือนก่อนตอนที่ข้าฝึกฝนอยู่ที่บ่อเพลิงโลกา ข้ารู้สึกได้ว่าข้าเข้าใกล้ขอบเขตของจิตวิญญาณระดับสูงมากๆแล้ว ข้าเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ” หลิวชีเยว่กล่าว “ข้าสามารถก้าวข้ามไปได้ภายในอีกหนึ่งเดือน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ภายในห้าเดือน”
“ดีเลย” เมิ่งชวนกล่าวอย่างมีความสุข ”ยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ หลังจากที่เจ้าเข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณระดับสูงแล้ว พวกเราจะผ่านขึ้นไปเป็นระดับมหาสุริยันพร้อมๆกัน! และพวกเราจะผ่านถ้ำเก้าปริศนาและลงจากเขาไปพร้อมกัน”
“ตกลง” หลิวชีเยวพยักหน้า
หลิวชีเยวหน้าแดงเล็กน้อยเพราะว่าเธอโกหก แต่ว่าอันที่จริงหน้าของเธอก็แดงอยู่แล้วเพราะความสําเร็จของเมิงชวน จึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะดูสดใสขึ้น
“ช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?” เมิ่งชวนถาม
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น” หลิวชีเยว่เบาเสียงลง “มันเกิดขึ้นเมื่อแปดวันก่อนนี้เอง ด่านหุยชาน(เขาสามปราชญ์)แตกแล้ว มีคนตายมากมาย”
“ด่านหุยชาน?” เมิ่งชวนตกใจ “นั่นมันเมืองด่านขนาดกลางนะ!”
เมืองด่านขนาดกลางนั้นเป็นที่ที่อันตรายมากที่สุดในโลก การป้องกันเมืองด่านขนาดเล็กนั้นค่อนข้างจะง่าย และเมืองด่านขนาดใหญ่นั้นมีราชันเทพอสูรคอยคุ้มกัน! ส่วนเมืองด่านขนาดกลางนั้น หากมีเทพอสูรเฟิงโหวคอยประจําการก็พอจะยื้อไว้ได้ แต่ว่าเทพอสูรเฟิงโหวในตอนนี้นั้นมีน้อยมากๆ ดังนั้นเมืองด่านขนาดกลางส่วนมากจึงต้องพึ่งพาพลังของเหล่าเทพอสูรระดับมหาสุริยันคอยปกป้อง และพวกเขาเองก็ต้องช่วยเหลือกันเป็นกลุ่ม
หลิวชีเยว่พยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว เมืองด่านขนาดกลางแตกแล้ว เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากๆ จํานวนผู้เสียชีวิตก็เยอะ มีเทพอสูรยี่สิบเจ็ดคนคอยประจําอยู่ที่ด่านหุยชาน และศิษย์พี่เฉียนหยูเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
” เฉียนหยูอยู่ที่ด่านหุยชานด้วยงั้นรึ?” เมิ่งชวนตั้งใจฟังและถามด้วยความจริงจัง ” แล้วมีใครตายบ้างรึเปล่า?”
“เหมยเจียงโหว(เฟิงโหวแม่น้ำบ๊วย)รีบรุดไปช่วย แต่ตอนที่ไปถึงเขาก็สามารถช่วยเทพอสูรออกมาได้เพียงแค่คนเดียว ศิษย์พี่เฉียนหยู! เพราะว่าศิษย์พี่เฉียนหยูเป็นนักเกาทัณฑ์ระดับมหาสุริยันที่มีวิชาการเคลื่อนไหวดีเยี่ยม เหล่าเทพอสูรคนอื่นๆจึงเสียสละตนเองเพื่อปกป้องเขา และนั่นจึงทําให้เขารอดมาได้ ส่วนเทพอสูรคนอื่นๆนั้นตายในการต่อสู้จนหมด ศิษย์พี่เฉียนหยูใช้วิชาต้องห้ามเป็นเวลานานเกินไปจนร่างของเขาเกือบจะฉีกขาด แม้ว่าเขาหยวนชูจะพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเขา แต่ว่าจุดตันเถียนของเขาที่พังลงโดยสิ้นเชิงนั้นไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ แม้ว่าร่างเทพอสูรและเส้นลมปราณที่ฉีกขาดจะถูกรักษาแล้วก็ตาม”
“จุดตันเถียนของเขาพังอย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนใจหาย จุดตันเถียนนั้นสําคัญมากสําหรับเหล่าเทพอสูร หากจุดตันเถียนพังลงก็ไม่มีทางที่จะฟื้นฟูมันกลับมาได้ นั่นก็หมายถึงจุดจบของการฝึกวิชา
“จากที่เหมยเจียงโหวบอกมา ที่ศิษย์พี่เฉียนหยูใช้วิชาต้องห้ามอย่างบ้าคลั่งนั้นก็เพราะเหล่าเทพอสูรคนอื่นๆต่างป้องกันราชาอสูรตนอื่นๆออกไป เขาสังหารราชาอสูรไปได้ถึง 62 ตัว ส่วนเทพอสูรคนอื่นๆรวมกันแล้วสังหารไปได้กว่าร้อยตัว แต่ว่าในการต่อสู้ครั้งนั้นมีราชาอสูรราวๆ 300 ตัว บางตัวเป็นถึงราชาอสูรหัวกะทิระดับสามเลยด้วยซ้ำ พวกเขายื้อด่านหุยชายเอาไว้ไม่ได้แม้จะใช้ทุกอย่างที่มีแล้วก็ตาม” หลิวชีเยว่กล่าว “กว่าเหมยเจียงโหวจะไปถึงก็สายไปแล้ว ราชาอสูรที่ทรงพลังหลายตนได้บุกเข้ามาในโลกมนุษย์แล้ว ราชาอสูรตัวอื่นๆหยุดไล่ตามศิษย์พี่เฉียนหยูและหนีกลับไปที่โลกของมัน ส่วนเหมยเจียงโหวนั้นก็สังหารราชาอสูรไปได้เพียงยี่สิบกว่าตนเท่านั้น
เมิ่งชวนรู้ว่าทุกครั้งที่เมืองด่านถูกตีแตกนั้น เหล่าราชาอสูรจะกลับไปยังโลกของมัน ส่วนพวกตัวอื่นๆจะถูกสั่งให้แทรกซึมอยู่ในโลกมนุษย์
“เพราะเป็นเพียงคนเดียวที่เหลือรอด ศิษย์พี่เฉียนหยูสติเริ่มไม่ค่อยอยู่กับตัวจะพูดคุยกับเขา ยังไงก็เปล่าประโยชน์” หลิวชีเยวส่ายหัว “เส้นทางการฝึกวิชาของเขาจบสิ้น สหายร่วมรบก็ต่างตายในสนามรบ เหลือเพียงแค่เขาคนเดียวที่เหลือรอด มันทําร้ายเขาอย่างหนักสาหัสเลยล่ะ”
เมิ่งชวนพยักหน้าเบาๆ
วันที่ 28 กันยายน
หากเทพอสูรของเขาหยวนชูตายในสนามรบ พวกเขาจะถูกสลักชื่อลงบนผาแดงโลหิตในวันที่ 28 ของเดือนที่ตาย
ในวันนี้ ลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงพัดโบกพร้อมกับสายฝนที่โปรยปราย
เมิงชวน หลิวชีเยว่ เหยียนจิน หลี่อิง และเทพอสูรที่เหลือไปถึงผาแดงโลหิต พวกเขาเดินเข้าไปในถ้ำที่มีอัญมณีประดับอยู่ในกําแพง แสงสว่างอ่อนๆคอยส่องชื่อที่อยู่บนกําแพงหินเหล่านั้น
ชื่อเหล่านั้นต่างถูกสลักไว้อย่างประณีท มีชื่อสลักอยู่ทั่วบนกําแพงหิน
เทพอสูรทุกคนเดินเข้าไป ทุกๆคนนั้นดูเงียบและเคร่งขรึม พวกเขาเหล่านี้คือเทพอสูรของเขา หยวนชูที่ตายในการต่อสู้ พวกเขานั้นเป็นผู้กล้าของมนุษย์ชาติ
“ในคราวนี้ เทพอสูร 26 คนที่ตายไปในด่านหุยชาน มีเก้าคนที่เป็นศิษย์ของเขาหยวนชู” หลิวชีเยว่กล่าวผ่านกระแสเสียง
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินตามคนอื่นๆไป
เมืองด่านขนาดกลางนั้นตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลตลอดเวลา ดังนั้นอัตราส่วนของศิษย์จากเขาหยวนชูจะเยอะกว่า มันไม่มีทางเลือกอื่น หากพวกเขาส่งเทพอสูรที่อ่อนแอไปที่นั่นก็เหมือนกับส่งพวกเขาไปตาย
ข้างหน้าพวกเขานั้น เจ้าเขาหยวนชูถือมีดแกะสลักไว้ในมือ เขาสลักชื่อทุกชื่อด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเขาหยวนชู ถ้ำสวรรค์ทรายดํา หรือเกาะสองโลก เหล่าผู้นํานิกายก็จะสลักชื่อของเหล่าศิษย์ที่ตายไปด้วยตัวเอง
ในครั้งนี้มีทั้งหมดเก้าชื่อ ในตอนที่เจ้าเขาหยวนชูสลักชื่อลงบนกําแพงหิน มันดูราวกับว่าเขาสลักชื่อเหล่านั้นลงบนหัวใจของเขาเอง ดวงตาของเขาดูแดงเรื่อๆ
เขาสามารถสลักชื่อทุกชื่อลงตรงกับภาพได้ นั่นก็เป็นเพราะเขานั้นเป็นคนที่ส่งศิษย์ทุกคนลงจากเขาไปด้วยตัวเอง ศิษย์บางคนก็มีความสามารถมากและมีโอกาสจะได้เป็นเฟิงโหวบางคนก็ยังเยาว์
และยังมีเทพอสูรคู่หนึ่งที่ได้เป็นสามีภรรยากัน
ศิษย์คนอื่นๆเฝ้าดูอย่างเงียบงันในขณะที่เจ้าเขาหยวนสลักชื่อเหล่านั้นลงไป
” หลับให้สบายเถอะ” หลังจากสลักชื่อเสร็จ เจ้าเขาหยวนชูก็จากไปอย่างเงียบๆ
เมิ่งชวนและคนอื่นๆยืนอยู่ตรงนั้นนานกว่าจะกลับออกไปทีละคน
เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากถ้ำ เมิ่งชวนและคนอื่นๆก็พบกับชายร่างเปียกโชกเดินฝ่าฝนมา เขาถือขวดเหล้าและเดินมาเงียบๆ
“นั่นศิษย์พี่เฉียนหยู” เมิ่งชวนและคนอื่นๆจําเขาได้ สําหรับเทพอสูรแล้ว พวกเขาสามารถกันฝนได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าพลังปราณจะหายไปจนหมดแล้ว แต่เขาก็สามารถใช้พลังของฟ้าดินเพื่อกันฝนไม่ให้โดนร่างได้อยู่ดี แต่ว่าเฉียนหยูก็ปล่อยให้ฝนชะโลมทั่วร่างของเขาจนเปียก
เมิ่งชวนยังจําได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้นที่ศิษย์พี่เฉียนหยูได้ยั่วโมโหเขาที่หน้าถ้ำของหลิวชีเยว่! ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเทพอสูรโบราณ เขานั้นมีบรรยากาศที่ดูเป็นผู้ดี
ตอนที่เต๋าเจี่ยวหลิง ศิษย์พี่เฉียนหยูขอโทษเขาอย่างตรงไปตรงมา!
หลังจากที่ลงจากเขาไป ในใจของศิษย์พี่เฉียนหยูก็เต็มไปด้วยจิตใจที่พร้อมจะสู้ เขาอยากจะทําประโยชน์! ในตอนที่เขาทิ้งภาพไวที่เขาแดงโลหิต มันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้
แต่ในตอนนี้ที่เขากลับมา มันดูราวกับว่าดวงใจของเขาได้ตายไปแล้ว
“ศิษย์พี่เฉียน” มีคนตระโกนขึ้นมา
เฉียนหยูไม่สนใจเขา และเดินเข้าไปในถ้ำอย่างโซซัดโซเซ
“ไปกันเถอะ” ศิษย์คนอื่นๆได้แต่ถอนหายใจและเดินจากไป เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินจากไป
ลึกเข้าไปในถ้ำ
เฉียนหยูเดินเข้าไปที่กําแพงหินในส่วนที่ลึกที่สุดและนั่งลง เขาเอามือที่สั่นเทานั้นแตะทุกชื่อที่สลักเอาไว้
ชื่อทุกๆชื่อที่อยู่ตรงนั้นต่างเป็นเพื่อนที่ดีที่ผ่านความเป็นความตายมาพร้อมกับเขา
พวกเขาเสียสละชีวิตเพื่อตัวเขาในฐานะเพื่อน
ครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้บัญชาการของด่านหุยชาน จางลี่ เขาหัวเราะเสียงดังและพูดออกมา “น้องเฉียนไม่ต้องเป็นห่วงไป หากมีข้าจางลื่อยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้ราชาอสูรแตะเจ้าได้แม้แต่น้อย ที่เจ้าต้องทําก็มีแค่ยิงลูกดอกของเจ้าแล้วสังหารราชาอสูรพวกนั้น ยิ่งสังหารได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
ร่างยักษ์ของจางลี่พร้อมกับโล่ขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาตรงหน้าเขา “หนีเร็ว! พวกข้าทนต่อไปไม่ได้นานแล้ว! จงมีชีวิตอยู่! จงรอดไปให้ได้! ถือเสียว่าทําเพื่อข้า!”
“ฮ่าๆๆ การที่ข้าได้เป็นพี่น้องกับพวกเจ้า เพียงเท่านี้ก็เกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว ตายๆๆ!” เฉียนหยูไม่ลังเลที่จะใช้วิชาต้องห้าม เขาหลบและยิงลูกดอกออกไปอย่างบ้าคลั่ง เทพอสูรนักเกาทัณฑ์อัจฉริยะจากเขาหยวนชู ไม่รีรอสังหารราชาอสูรอย่างต่อเนื่องในขณะที่สหายของเขาค่อยๆตกตายไปทีละคน
“พี่หยางของเจ้ากับข้าตัดสินใจว่าอีกสองปีหลังจากออกจากด่านหุยชานไปจะมีลูกกัน จะให้พวกเรามีลูกกันที่นี่มันก็ไม่ค่อยจะเหมาะมากเท่าไหร่นัก” ศิษย์พี่หยูเคยนั่งดื่มพูดคุยกับเขาที่บนกําแพง ดวงตาของพี่หยูเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเฝ้ารอวันที่จะได้อุ้มลูกพร้อมกับภรรยาของเขา
“น้องเฉียน เจ้ายังเด็ก เจ้าเป็นเทพอสูรมหาสุริยันได้อย่างรวดเร็ว ในอนาคตเจ้าคงจะได้เป็นเฟิงโหว อย่าทําให้พวกเราผิดหวังล่ะ” นายพลผมขาวแห่งด่านหุยชาน หวงหยู กล่าว
คนเหล่านี้คือคนที่เขาสนิท สหายร่วมรบที่เสี่ยงชีวิตไปพร้อมกับเขา
เฉียนหยูลูบชื่อเหล่านี้ไปมา และน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มอย่างเงียบงัน
“พวกเจ้าทุกคนไปกันก่อนเสียแล้ว และตอนนี้ก็เหลือข้าเพียงคนเดียว” เฉียนหยูพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ข้าคิดถึงพวกเจ้า คิดถึงพวกเจ้าทุกคน มันจะดีแค่ไหนกันหากพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มันจะดีแค่ไหนกัน!”
“ฮะๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆๆ” เฉียนหยูหัวเราะพร้อมกับร้องไห้ราวกับคนบ้า