ยอดหญิงแห่งวังหลัง – ตอนที่ 6.2

ตอนที่ 6.2

ตอนที่ 6-2 องค์ชายเจ็ด

ทัวเป่าหยูส่ายหัวช้า ๆ และคิดว่า เป็นเรื่องแปลก มิอยากจะเชื่อเลยว่า

เขาจะเก็บงำความคิดที่ไร้สาระ และเรื่องราวตลกขบขันเหล่านั้นเอาไว้

เมื่อจำได้ว่า ก่อนหน้าที่นางเคยหลอกลวงผู้อื่นอย่างไร ความสนุกสนานก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของทัวไป๋หยู

หญิงสาวผู้นี้มีความน่าสนใจมาก!ในขณะที่ภาพเรื่องราวเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เขาจึงกล่าวออกมาด้วยความสบายใจว่า

“ไม่ เราต้องรีบกลับ แล้วค่อยไปหาที่พักในเมืองเล็ก ๆ ข้างหน้า

เราต้องออกเดินทางก่อนวันฟ้าสางในวันพรุ่งนี้จะได้ถึงกลับเมืองหลวงได้ตรงเวลา”

เจินโฉวตอบรับด้วยความรวดเร็ว เขามิมีความกล้าพอที่จะกล่าวเป็นอย่างอื่น

เพราะรู้จักลักษณะนิสัยขององค์ชายเจ็ดเป็นอย่างดี หากเขาสั่งให้ทำอันใดสักอย่าง

นั่นหมายความว่า เขาได้ตัดสินใจแล้ว แม้ว่าจะใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลก็ตามที

เหล่าองครักษ์ดื่มน้ำชาเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว

พวกเขารีบขึ้นม้า และเดินทางผ่านหมู่บ้านไปด้วยความรวดเร็ว และฝูงม้าเหล่านั้น ได้วิ่งมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ

หลี่เว่ยหยางเฝ้าดูฝุ่นกำลังฟุ้งกระจายที่กีบม้าได้ทิ้งเอาไว้ มีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนริมฝีปากของนางอีกครั้ง

ผู้ใดจะรู้ว่า ใบหน้าของผู้ที่คุ้นเคยผู้แรกที่ได้พบ หลังจากการเกิดใหม่จะเป็นเขา

‘ทัวเป่าหยู’ ! องค์ชายเจ็ด!

ทัวเป่าหยูเป็นศัตรูตัวฉกาจของทัวเป่าเจิ้น พวกเขาต่อสู้และแข่งขันกันมาแล้วนับครั้งมิถ้วน แต่ยังมิสามารถระบุชื่อผู้ชนะได้

หลี่เว่ยหยางจำได้อย่างแม่นยำว่าคนผู้นั้น มีดวงตาที่แสนจะเย็นชาและไร้อารมณ์ จากนั้นมุมปากของนางจึงค่อย ๆ ยกขึ้น

ตอนนี้องค์ชายเจ็ดน่าจะยังศึกษาอยู่นอกเมือง แต่เหตุใดเขาจึงกลับมาที่เมืองหลวง จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงเป็นแน่

นางก้มศีรษะลง และจ้องไปที่แสงที่ส่องมาบนมือของตนเอง และกำลังคิดว่า

พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ในขณะที่นางซ่อนตัวอยู่ในความมืด ความรู้สึกนี้ช่างน่าหลงใหลเสียจริง ๆ

ในที่สุดดวงอาทิตย์ได้ตกดินไปแล้ว และแทนที่ด้วยดวงจันทร์ ซึ่งในค่ำคืนนี้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

พร้อมกับดวงดาวนับพันดวงที่กำลังส่องแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้าในยามราตรี

พวกมันสาดแสงลงมายังพื้นโลกด้วยแสงที่เจิดจ้า อากาศร้อนชื้นถูกดูดซับโดยการปรากฏตัวของดวงจันทร์

สิ่งนี้ทำให้ อากาศเริ่มที่จะเย็นลง และทำให้ผู้คนมีความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

หลี่เว่ยหยางเดินตามหลังโจวเจียงและนางหม่าด้วยความเหงาหงอย ขณะที่พวกเขามุ่งหน้ากลับไปยังบ้านตระกูลโจว

นางหลิวมีความรู้สึกตื่นเต้นมาก และได้พุ่งตัวมาที่ด้านหน้า

นางจับตัวของหลี่เว่ยหยางเอาไว้ พร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

“สาวน้อยมีข่าวดีสำหรับเจ้า!”

ทั้งโจวเจียงและนางหม่าต่างก็รู้สึกตกตะลึงในจุดนั้น และมิเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่นางหลิวด้วยความแปลกใจ

สองสามีภรรยาสงสัยว่า นางกินยาผิดหรือไม่ เพราะอยู่ดี ๆ นางได้กล่าววาจาที่ไพเราะต่อหลี่เว่ยหยาง

หลี่เว่ยหยางจ้องมองไปยังใบหน้าที่เร่าร้อนของนางหม่า คิ้วของนางขมวดขึ้น พร้อมกับเลิกคิ้ว จากนั้นจึงแกล้งทำเป็นสะดุ้งด้วยความตกใจ

“ท่านป้าหลิว ท่านเป็นอันใดไป?”

นางหลิวแสร้งทำเป็นมิสังเกตเห็นสีหน้าแปลกใจของเว่ยหยาง และรีบกล่าวตอบไปว่า

“คุณหนูหลี่! บ้านตระกูลหลี่ส่งคนมารับตัวเจ้าแล้ว!”

พฤติกรรมของยายเฒ่านั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ขณะที่หลี่เว่ยหยางกำลังนึกถึงความเป็นไปได้

“บ้านตระกูลหลี่ในเมืองผิงเฉิงหรือ ?”

“ใช่แล้ว! บ้านตระกูลหลี่ได้ส่งแม่นมหลินมาเยี่ยมคุณ!”

นางหลิวมีความยิ้มแย้มแจ่มใส มิใช่แค่ดีใจที่ได้พบกับแม่นมหลิน

แต่นางยังดีใจที่จะได้เงินอีกตั้งหนึ่งร้อยเหรียญ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณอีกด้วย

หลี่เว่ยหยางคิดว่ามันแปลก เพราะในชาติที่แล้วนางจะต้องรออีกหนึ่งปี กว่าที่

อำมาตย์หลี่จะจำบุตรสาวเช่นนางได้

จากนั้นบ้านหลี่ในผิงเฉิงจะรีบส่งคนมาที่หมู่บ้านนี้ เพื่อรับตัวนางกลับไปที่บ้านหลี่ในผิงเฉิง

ต่อมา พวกเขาจะประกาศให้ผู้คนได้ทราบโดยทั่วกันว่า เว่ยหยางได้หายจากอาการป่วยแล้ว

หลังจากนั้น พวกเขาจะส่งนางกลับไปยังเมืองหลวง มันเกิดขึ้นก่อนหนึ่งปีได้อย่างไร?

ในเวลานี้ หญิงสาวผิวขาวที่มีอายุมากกว่าสามสิบปีในชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน

พร้อมปิ่นปักสีทองที่ผม และต่างหูสีทอง ก้าวเดินออกมาจากห้อง นางยิ้มและกล่าวว่า

“คารวะคุณหนูหลี่”

หลี่เว่ยหยางจ้องมองไปที่นาง

อันที่จริงแล้ว แม่นมหลินจากบ้านหลี่ของเมืองผิงเฉิงนั้น

นางเป็นหญิงรับใช้ที่มีสถานะสูงสุดในตระกูลหลี่ในเมืองผิงเฉิง นางยิ้มเล็กน้อย

ดูเหมือนว่า ทุกอย่างจะเป็นเรื่องจริง

บางทีบ้านหลี่ในผิงเฉิงอาจจะได้รับข่าวบางอย่างจากเมืองหลวง และต้องการรีบพานางกลับไปที่ผิงเฉิง

เยี่ยมมาก มันเยี่ยมมาก!

ยอดหญิงแห่งวังหลัง

ยอดหญิงแห่งวังหลัง

Status: Ongoing

ชีวิตเป็นสิ่งที่มิคาดเดาได้เลย สามีของนางได้ตกหลุมรักพี่สาวของนางเอง

จึงปลดหลี่เว่ยหยางออกจากการเป็นจักรพรรดินี และเขาเป็นต้นเหตุให้บุตรชายต้องตาย

ในวังเย็นแห่งนั้น หลี่เว่ยหยางถูกบังคับให้ดื่มเหล้าพิษ

จึงให้สาบานกับตนเองเอาไว้ว่า หากชาติหน้ามีจริง จะมิทำความดีอีก จะมิช่วยเหลือผู้อื่น จะมิก้าวเข้าไปในวังหลวง และจะมิมีวันเป็นจักรพรรดินี!

และในวันนั้น ที่บ้านพักขุนนางระดับสูง นายหญิงได้ให้กำเนิดบุตรสาว แต่ทว่า เด็กผู้นั้นเกิดมาเป็น’นางมารร้าย’ นังแม่เลี้ยงใจร้าย?

ข้าจะส่งเจ้าไปนรก! นังพี่สาวสับปรับ หน้าซื่อใจคด? ข้าจะแยกลอกหนังหน้าอันงดงามของเจ้าออก!

ส่วนน้องสาวที่คิดชั่วต่อข้า? ข้าจะโยนเจ้าลงหลุมฝังศพ!

พวกเจ้ามิเคยปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้นสมควรแล้ว ที่จะมีชะตากรรมเช่นนี้!

ในตอนแรก นางตั้งใจที่จะอยู่ให้ห่างจากหายนะให้มากที่สุด แม้กระนั้นหัวใจของมนุษย์ก็เหมือนเข็มในทะเล

มิอาจรู้ว่าเหตุใด และมิสามารถเข้าใจได้ ผู้ที่เคยสาบานว่าจะมิเหลียวแลเว่ยหยาง

กลับกลายเป็นผู้ที่ขาดนางมิได้ จากผู้ที่ฆ่านางในชาติที่แล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท