ยอดหญิงแห่งวังหลัง – ตอนที่ 4.1

ตอนที่ 4.1

ตอนที่ 4-1ลงโทษนางหลิว

โจวชิงเป็นผู้ที่มีทัศนวิสัยที่กว้างไกล ซึ่งผิดกับนางหลิวราวฟ้ากับเหวลึก

เขามิเคยปฏิบัติต่อหลี่เว่ยหยางด้วยความชั่วร้ายแม้แต่ครั้งเดียว

เป็นเพราะหลักการของเขาก็คือการวางตัวเป็นกลางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะจะปลอดภัยในทุกสถานการณ์

ดังนั้น ทุกครั้งที่เขากลับมาบ้าน หลี่เว่ยหยางจะมีความสุข และมีความสงบเป็นเวลาอีกหลายวันเลยทีเดียว

เมื่อทำอาหารเสร็จแล้ว นางจึงดับไฟในเตา และกำลังจะเริ่มเก็บกวาด

หลี่เว่ยหยางพยายามลืมตา ซึ่งตอนนั้น เกิดอาการพร่ามัว เพราะไอน้ำเข้าตา

หลังจากครุ่นคิดสักพัก จึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน และกำลังจะนวดแขนขาที่อ่อนล้า

จากนั้นได้มีเสียงดังมาจากทางเข้าประตู

“เจ้า นังบ้าเอ้ย ขี้เกียจอีกแล้วหรือ รีบทำความสะอาดครัวเร็วเข้า! สักพักข้าจะกลับมาดูว่า ยังขี้เกียจอยู่หรือเปล่า!”

หลี่เว่ยหยางจ้องมองไปที่เด็กสาวผู้นั้น ซึ่งกำลังยืนกอดอกอยู่ที่ประตู พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างท้าวที่สะโพกของนาง

เด็กสาวผู้นี้มีอายุมากกว่าเว่ยหยางเพียงแค่ปีเดียว ทั้งสองมีส่วนสูงที่ใกล้เคียงกัน แต่ใบหน้าของนางนั้นมีความงดงามมาก

แต่ท่าทีที่หยาบคายเช่นนั้น ได้ทำลายความงดงามทั้งหมดไปเสียสิ้น

สายตาของโจวหลานซิ่วเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ขณะที่จ้องมองไปที่รูปสมบัติอันละเอียดอ่อนของหลี่เว่ยหยาง

น้ำเสียงเยาะเย้ยที่ออกมาจากจิตใจได้กล่าวว่า

“อย่าลืมทำความสะอาดหม้อให้เรียบร้อย นอกจากนี้ พื้นก็ควรล้างด้วยน้ำให้สะอาด และควรจัดข้าวของจิปาถะบนเตาด้วย!”

เมื่อสั่งงานแล้ว จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับไป

หลี่เว่ยหยางยืนอยู่ในห้องครัวที่มีขนาดเล็กมาก สายตานั้นมองไปยังด้านหลังของหญิงสาวแล้วยิ้มกว้างในทันที

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุด นางก็ทำความสะอาดหม้อเสร็จ และกำลังเริ่มที่จะทำความสะอาดพื้น

ในขณะนี้โจวหลานซิ่วโผล่หัวผ่านหน้าต่างออกมา และกล่าวว่า

“มันจะมิสะอาด หากเจ้าทำเช่นนั้น จะต้องคุกเข่าลง และขัดมันแรง ๆ ! มิรู้หรืออย่างไร! อ้อ!และนี่เหตุใดถังน้ำจึงว่างเปล่า

หลังจากทุกอย่างเสร็จแล้ว ให้เติมน้ำใส่ถังด้วย ได้ยินข้าหรือไม่?”

หลี่เว่ยหยางใช้หลังมือปาดเหงื่อที่บริเวณหน้าผากและคางของตนเอง จากนั้นจึงทำความสะอาดต่อไป

มันเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ในฐานะบุตรสาวของครอบครัวชาวนาโจวหลานซิ่ว ก็ต้องทำงานเช่นเดียวกัน

แต่นางก็คิดหาวิธีที่จะโยนงานทั้งหมดไปให้เว่ยหยางอยู่ตลอดเวลา

หลังจากนั้น นางจะเรียกร้องค่าจ้างสำหรับการทำงานบ้านทั้งหมด และนางชอบที่จะป่าวประกาศออกไปว่า

งานยุ่ง และเหน็ดเหนื่อยมากเพียงใด โดยอ้างว่า ต้องดูแลเด็กหญิงตัวน้อยผู้เอาแต่ใจ และทำอันใดมิเป็นเลย

มิเพียงแค่นั้น ทุกวันเมื่อถึงเวลาที่เว่ยหยางต้องกินข้าว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือขนมปังเย็นสองชิ้น และน้ำซุปอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ หลี่เว่ยหยางจะร้องไห้อยู่เสมอ ขณะที่ทำงานหนัก

แต่ตอนนี้ นางมิได้ใส่ใจอันใดอีกแล้ว แม้จะเหนื่อยกับงานมากเพียงใด แต่ก็ยังอดทนกับมันได้

ในตอนกลางคืน โจวชิงมิได้อยู่บ้านเพื่อร่วมทานอาหารเย็น เขาได้รับคำเชิญให้ไปรับประทานอาหารค่ำจากหัวหน้าหมู่บ้าน

คนดูแลพื้นที่อย่างเขามีค่าเล็กน้อยที่บ้านหลี่ในเมืองผิงเฉิง

แต่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง

หลี่เว่ยหยางรู้ว่า โจวชิงเป็นผู้ที่ชอบดื่มสุราจนเป็นนิสัย

ในแต่ละครั้ง เขาจะดื่มจนถึงเที่ยงคืนก่อนกลับบ้าน และนี่! เป็นโอกาสที่เว่ยหยางกำลังรอคอย

นางคำนวณเวลา และรอจนกระทั่งเป็นเวลาที่เงียบสงัดในตอนเที่ยงคืน

และหยิบผ้าสีแดงที่ตั้งใจแอบซ่อนเอาไว้โดยมิมีผู้ใดรู้

จากนั้นจึงยืนขึ้น เปิดประตูและเดินไปบริเวณข้างรั้ว นางเกี่ยวผ้าสีแดงเข้ากับรั้วนั้น

และจ้องมองมันเป็นเวลานาน จากนั้นจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจึงรีบเดินกลับไปที่ห้องของตนเองในทันที

กลางดึกมีเสียงประตูหน้าบ้านถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน

หลี่เว่ยหยางเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ พร้อมกับหัวใจที่กำลังเต้นด้วยความถี่ที่สูงกว่าปกติ

มีเสียงของความปั่นป่วนเกิดขึ้นจากนั้น นางจึงแสร้งทำเป็นว่ามิได้ยินเสียงอันใดเลย

ในขณะนี้ โจวชิงขี้เมากลับมาถึงบ้าน และได้เห็นในห้องของเขา มีภาพเงาที่สูงและใหญ่ของชายผู้หนึ่ง

จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึมทันที และสร่างจากอาการมึนเมาโดยฉับพลัน

เขาเดินไปหยิบเอามีดในครัวมา และใช้เท้าถีบประตูให้เปิดกว้างออก

เสียงดังโครมครามนี้ ทำให้ทุกคนในบ้านตกใจตื่น

ยกเว้นหลี่เว่ยหยางที่ยังคงหลับตาพริ้มทั้งสองข้าง แต่ยังคงแอบฟังเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นด้านนอกอย่างใจจดใจจ่อ

ทันใดนั้น ก็มีเสียงหวีดร้องเกิดขึ้นราวกับว่า มีคนถูกตบหน้าอย่างรุนแรง และเสียงที่ตามมาก็คือ เสียงตะโกนของโจวชิง

“เจ้า นังสำส่อน เจ้ารอเวลาที่ข้ามิอยู่บ้าน เพื่อนัดชายผู้อื่นมา! เจ้ามิมีความละอาย! อันใดเลย?

เจ้ารู้หรือไม่? ข้าเห็นเงาผู้ชายวิ่งออกมาจากห้องของเจ้าเต็มสองตานี่เลย!

เจ้ากล้าที่จะทำตัวไร้ยางอาย แล้วยังจะกล่าวว่า มิรู้อันใดเลย เช่นนั้นหรือ

หากวันหนึ่ง มีคนมาฆ่าข้าตาย เจ้าก็คงจะกล่าวว่ามิรู้เช่นกัน ใช่หรือไม่?”

เมื่อกล่าวจบ ก็ตบตามมาอีกสองครั้ง เห็นได้ชัดว่า ผู้ที่ถูกลงโทษนี้ก็คือนางหลิวนั่นเอง

มิรอการแก้ตัวจากนางหลิว โจวชิงตะโกนด้วยน้ำเสียงอันดังอีกครั้ง

“คุกเข่าลงเร็วเข้า ! ข้าต้องการให้เจ้าอธิบายให้ชัดเจนสิว่า ชายผู้นั้นคือผู้ใดกัน! หากเจ้ายังเงียบอยู่อีก คืนนี้จะต้องเป็นงานศพของเจ้า!”

ยอดหญิงแห่งวังหลัง

ยอดหญิงแห่งวังหลัง

Status: Ongoing

ชีวิตเป็นสิ่งที่มิคาดเดาได้เลย สามีของนางได้ตกหลุมรักพี่สาวของนางเอง

จึงปลดหลี่เว่ยหยางออกจากการเป็นจักรพรรดินี และเขาเป็นต้นเหตุให้บุตรชายต้องตาย

ในวังเย็นแห่งนั้น หลี่เว่ยหยางถูกบังคับให้ดื่มเหล้าพิษ

จึงให้สาบานกับตนเองเอาไว้ว่า หากชาติหน้ามีจริง จะมิทำความดีอีก จะมิช่วยเหลือผู้อื่น จะมิก้าวเข้าไปในวังหลวง และจะมิมีวันเป็นจักรพรรดินี!

และในวันนั้น ที่บ้านพักขุนนางระดับสูง นายหญิงได้ให้กำเนิดบุตรสาว แต่ทว่า เด็กผู้นั้นเกิดมาเป็น’นางมารร้าย’ นังแม่เลี้ยงใจร้าย?

ข้าจะส่งเจ้าไปนรก! นังพี่สาวสับปรับ หน้าซื่อใจคด? ข้าจะแยกลอกหนังหน้าอันงดงามของเจ้าออก!

ส่วนน้องสาวที่คิดชั่วต่อข้า? ข้าจะโยนเจ้าลงหลุมฝังศพ!

พวกเจ้ามิเคยปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้นสมควรแล้ว ที่จะมีชะตากรรมเช่นนี้!

ในตอนแรก นางตั้งใจที่จะอยู่ให้ห่างจากหายนะให้มากที่สุด แม้กระนั้นหัวใจของมนุษย์ก็เหมือนเข็มในทะเล

มิอาจรู้ว่าเหตุใด และมิสามารถเข้าใจได้ ผู้ที่เคยสาบานว่าจะมิเหลียวแลเว่ยหยาง

กลับกลายเป็นผู้ที่ขาดนางมิได้ จากผู้ที่ฆ่านางในชาติที่แล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท