ตอนที่ 3-1 มิกล้าหลับตา
วันนี้คือวันที่สิบสองกุมภาพันธ์ ปีหยงหมิงที่สามสิบเอ็ด
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นางได้เดินทางย้อนเวลากลับไปเมื่อยี่สิบสามปีที่แล้ว
ซึ่งก็คือ ตอนที่นางมีอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น
และในค่ำคืนนั้น ตลอดทั้งคืนหลี่เว่ยหยางต้องทนทุกข์ทรมานจากความทรงจำใน “ชาติก่อน” ของตนเอง
ความรู้สึกคั่งแค้นได้เกิดขึ้นมา เมื่อนางมิสามารถกรีดร้องออกมาด้วยเสียงอันดังได้
สิ่งนี้เป็นเพราะ ห้องนั้นเล็กเกินไป แม้มีเสียงเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้น ผู้อื่นก็สามารถได้ยินเสียงนั้นได้
จึงจำเป็นที่จะต้องเก็บกดความคับแค้นทั้งหมดที่มี และเสียงสะอื้นเอาไว้ภายในใจ
และอีกอย่างที่กลัวมากก็คือ หากต้องหลับตาลง อาจจะหวนกลับไปเป็นผู้พิการ ที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ในวังเย็นแห่งนั้นอีก
ยกเว้น เมื่อนึกถึงชายหญิงคู่นั้น ผู้ซึ่งนางเกลียดมากที่สุดในโลก พวกเขาคงจะอาศัยอยู่อย่างสุขสบาย และมีความสุขอยู่ในเมืองหลวง
และยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น ที่มิสามารถใช้ดาบฟาดฟันพวกเขาได้เป็นล้านครั้ง . .
หลังจากร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งไปหลายหน และแสดงอารมณ์ที่ปั่นป่วนออกมาจนหมดแล้ว จึงค่อย ๆ สงบลงได้ในที่สุด
หลี่เว่ยหยางเงยหน้าขึ้นมองผ่านหน้าต่างไปยังท้องฟ้าในยามค่ำคืน
ขณะที่ดวงตาคู่นั้นได้เปลี่ยนเป็นสีที่เข้มขึ้น และมีความเยือกเย็นจนน่าขนลุก
ในชาติที่แล้ว เว่ยหยางมีความเชื่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทำในส่วนของตนเองให้ถูกต้อง
และรู้ว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดมิควรทำ อีกทั้งต้องพยายามทำมันอย่างเต็มที่ในทุกสิ่ง แล้วเราจะได้รับผลกรรมที่ดีในที่สุด
แต่ผู้ใดจะไปคิดว่า สิ่งเหล่านั้นมิใช่ความจริง มันเป็นเรื่องหลอกลวง และเป็นสิ่งที่คิดไปเองทั้งนั้น
นางให้ความสงสารและความเมตตาแก่ผู้อื่น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือ การทรยศ และความเสียใจอย่างที่สุด
บิดาใจร้ายใจดำกับนางมาก และสามีก็สร้างแต่ความทุกข์ระทม และขมขื่นให้กับนาง
แม้แต่ผู้ที่เคยคิดว่า เป็นพี่สาวที่แสนดี ก็มาทรยศและหักหลังนางอีก
แม้ว่าความงดงามของนางจะมิสามารถเทียบเทียมได้กับหลี่จางเล่อ
แต่เว่ยหยางมีความซื่อสัตย์ และจงรักภักดีต่อทัวเป่าเจิ้นเสมอมา
สำหรับเขา ความรักที่มอบให้ไปนั้นมันมากมายเสียจนมิอาจะพรรณนาออกมาเป็นคำกล่าวได้
ทัวเป่าเจิ้นนะหรือ หากมิได้นางช่วยชีวิตเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง ป่านนี้คงจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองผีไปนานแล้ว
และคงมิมีโอกาสที่จะได้เป็นจักรพรรดิอย่างแน่นอน แต่นางกลับกลายเป็นถังขยะที่ถูกทิ้งเอาไว้ในพระราชวังเย็น
ตอนนี้สวรรค์มีความเมตตา เปิดโอกาสให้นางได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
หลี่เว่ยหยางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับสายตาที่มุ่งมั่น
มิมีเหตุผลที่จะเมตตาผู้คนเหล่านั้น
สักวัน หนี้ชีวิตที่ทุกคนได้ก่อเอาไว้ เว่ยหยางสาบานว่า จะขอทวงคืนจากพวกเขาให้หมดทุกคนแน่นอน!
ยามราตรีได้ผ่านพ้นไป หนึ่งวันผ่านไปแล้วภายในชั่วพริบตา และเช้าวันใหม่ที่สดใสก็ได้เริ่มขึ้น
นางหม่ามีท่าทีลังเลใจ นางมิรู้ว่าควรจะปลุกหลี่เว่ยหยางดีหรือไม่
เสียงไก่กำลังขันดังเจื้อยแจ้วในตอนเช้า แต่หากว่าหลี่เว่ยหยางยังคงนอนหลับต่อไป จะต้องโดนนางหลิวดุอีกเป็นแน่
นางหม่าครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นจึงรีบก้าวเดินเข้าไปในห้องนอนด้วยเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาที่สุด
แต่สิ่งที่ได้เห็นคือ ความว่างเปล่า มิมีวิญญาณแม้แต่ดวงเดียว จึงเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นในใจ
เว่ยหยางอยู่ที่ใดกัน? เมื่อเห็นว่าห้องอยู่ในสภาพที่สะอาด และเรียบร้อยดี จึงรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง
ขณะนั้น หลี่เว่ยหยางกำลังเดินไปเดินมา เหมือนกับว่า กำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่างอยู่
นางอุ่นนมถั่วเหลืองเสร็จเรียบร้อยแล้ว แตงกวาดองถูกจัดเรียงใส่จานด้วยความระมัดระวัง
ในตอนนี้กำลังเทโจ๊กลงในชามของทุกคน จากนั้นจึงวางหม้อโจ๊กลงบนโต๊ะอย่างช้า ๆ
เมื่อได้เห็นสีหน้าแสดงอาการตกตะลึงของนางหม่า ขณะที่นางเดินเข้ามาในครัว เว่ยหยางจึงยิ้มกว้าง
“ท่านน้าเหลียนจื่อ ข้าเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
นามสกุลเดิมของนางหม่าคือ
เหลียนจื่อ แต่เว่ยหยางมิเคยเอ่ยชื่อนี้ ด้วยความเสน่หาเช่นนี้มาก่อนเลยจนกระทั่งมาถึงตอนนี้
จึงมีความรู้สึกหวาดกลัว และมีความประหม่าเกิดขึ้น ราวกับว่า กำลังจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ
แน่นอนว่า หลี่เว่ยหยางรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอันใดอยู่ในใจ
ก่อนที่จะอายุเจ็ดขวบ มีสาวใช้ และคนรับใช้มาช่วยทำกิจวัตรประจำวันให้เว่ยหยางทุกอย่าง
เเต่มิทราบด้วยสาเหตุใด นางได้ถูกส่งตัวมายังชนบทที่ทุรกันดารแห่งนี้ เพื่อเอาชีวิตรอดด้วยตนเอง
แน่นอนว่า มันเป็นสิ่งที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ซึ่งมิเคยพบเจอกับสิ่งเหล่านี้มาก่อนเลยในชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมานี้ นางหลิวมิสามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายของเว่ยหยางได้
นางจึงต้องกลายเป็นผู้ที่ถูกทารุณและถูกมองเป็นสิ่งที่ไร้ค่ามากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ เว่ยหยางจึงยิ่งรู้สึกหวาดกลัว และมีความประหม่าเหมือนกับกวางน้อยที่กำลังโดนแสงไฟสาดส่องเข้ามาตรงหน้าในยามค่ำคืน
แต่ตอนนี้ เมื่อนางได้สัมผัสกับความโหดเหี้ยมและความโหดร้ายของทัวเป่าเจิ้นแล้ว
และเคยสัมผัสกับความเจ็บปวดจากการที่ขาขาด อีกทั้งยังต้องถูกกักขังเอาไว้นานถึงสิบสองปีในพระราชวังเย็น
นางหลิวจะสักเท่าใดกัน?
นางเป็นเพียงเสี้ยนหนามชิ้นเล็ก ๆในชีวิต จึงเป็นสิ่งที่มิมีความสำคัญอันใดเลย
เว่ยหยางคิดแค่ว่า ยายเฒ่าผู้นี้เป็นเพียงก้อนหินเล็ก ๆ บนทางเดิน จะต้องไปกลัวอันใด
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลี่เว่ยหยางจึงยิ้มได้ และกล่าวออกมาว่า
“ป้าหลิวและพวกกำลังจะมาแล้ว ท่านน้าเหลียนจื่อควรรีบเตรียมการให้พร้อม”
โดยรวมแล้วครอบครัวนี้มีสมาชิกห้าคน หัวหน้าครอบครัวคือ โจวชิง
เขาเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลบ้านหลี่เต๋อแห่งนี้ แต่มิทราบว่าเพราะอันใด เขามักจะมิค่อยอยู่บ้าน
นอกจากนั้น ก็มีนางหลิวซึ่งเป็นภรรยาของเขา
บุตรชายคนโตของเขาคือ โจวเจียง และนางหม่าผู้เป็นภรรยา
และสุดท้าย บุตรสาวคนเล็กก็คือโจวหลานซิ่ว
นางหม่าจ้องมองเว่ยหยางด้วยความสับสน แต่เว่ยหยางทำเพียงแค่ยิ้มกว้าง และรีบก้าวเดินออกไปด้านนอก