ตอนที่ 8-2 เลือดไหล
“ตอนนี้เจ้าเริ่มโตเป็นสาวแล้ว ดังนั้น ข้าคิดว่า สาวใช้แค่เพียงสองคนมิน่าจะเพียงพอ
ในตอนนี้ข้าจะมอบสาวใช้ให้อีกหนึ่งคน และหลังจากปีใหม่จะมีการมอบให้เจ้าเพิ่มอีกหนึ่งคน
ข้าได้เตรียมคนรับใช้อันดับสองทั้งหมดไว้ให้เจ้าแล้ว ส่วนผู้รับใช้อันดับสามยังคงดำเนินการคัดเลือกอยู่ ทุกอย่างคงจะเรียบร้อยในเร็ววันนี้”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ ฮูหยินใหญ่ดูเหมือนว่า จะเป็นมารดาที่มีความจริงใจ และมีเมตตากรุณา
หลี่เว่ยหยางยิ้มกว้างด้วยความขอบคุณ เพราะรู้ว่า ขณะนี้มิได้มีเพียง
ฮูหยินใหญ่เท่านั้นที่กำลังจับตาดูพฤติกรรมของนางอยู่
แต่ก็ยังมีเม้งชิ เหวินชิและโจวชิ พวกนางทั้งหมดกำลังสังเกตุกิริยาของเว่ยหยางอย่างละเอียด
ในครอบครัวของอำมาตย์หลี่นี้ กิจการภายในและทรัพย์สินทั้งหมด
ฮูหยินใหญ่เป็นผู้มีอำนาจในการจัดการ และดูแล
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่าน มา สะใภ้รอง สะใภ้สาม และ ฮูหยินใหญ่ ต่างก็สวมหน้ากากเข้าหากัน
สรุปแล้ว แผนการและสงครามจิตวิทยาของพวกนางเป็นสิ่งที่มิสามารถหลีกเลี่ยงได้ในที่สุด
และสำหรับผู้ที่กลับบ้านมาได้เพียงมินานเช่นเว่ยหยาง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็ง
ฮูหยินใหญ่มองมาที่นาง พร้อมกับขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า
“เหตุใดเสื้อผ้าจึงได้บางถึงเพียงนี้ สาวใช้มานี่สิ” จากนั้นนางจึงโบกมือเรียกผู้ใดบางคน
“รีบไปนำเสื้อคลุมที่ข้าเตรียมเอาไว้มานี่เร็วเข้า”
ต่อหน้าทุกคนนางยิ้มและใช้เสื้อตัวนั้นคลุมเว่ยหยางไว้รอบตัว เสื้อคลุมช่างบางเบา แต่มีความอบอุ่นเป็นอย่างมาก
บนเสื้อคลุมผ้าไหมสีชมพูอ่อนเป็นลายปักของดอกโบตั๋นซึ่งเย็บด้วยเส้นไหมสีทอง
นอกจากนี้ยังมีลวดลายเมฆที่เย็บด้วยเส้นไหมสีดำ ด้านในของเสื้อคลุมทำจากขนสัตว์สีขาวทำให้อบอุ่น และมีความอ่อนนุ่มมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลี่เว่ยหยางได้สวมใส่เสื้อคลุมตัวนี้แล้ว ได้พบว่า พวกเขานำเสื้อคลุมเก่าที่ถูกใช้แล้วนำไปทิ้งในทันทีที่ถูกถอดออก
เห็นได้ชัดว่า ฮูหยินใหญ่ต้องการที่จะเน้นย้ำถึงศักดิ์ศรีและความใจกว้างของนางต่อหน้าทุกคนในที่นั้น
และนางได้ใช้เสื้อคลุมตัวนี้แสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงความมีเมตตา และมีมโนธรรมของตนเอง
เว่ยหยางกล่าวว่า
“ขอบคุณท่านแม่”
จากนั้นได้มีสาวใช้ผู้หนี่งเดินเข้ามาแจ้งบางอย่างแก่เจียงชิ
“เรียนฮูหยินใหญ่ ฮูหยินหยูได้มอบผ้าไหมห้าพับจากเมืองหนิงโจวมาเป็นของกำนัล เรียนเชิญท่านไปตรวจดูด้วย”
ฮูหยินใหญ่พยักหน้า และยิ้มอย่างมีความสุข นางกล่าวออกไปว่า
“ท่านแม่ใหญ่ข้าต้องขอตัวลาก่อน มีบางสิ่งที่จะต้องกลับไปจัดการ
เว่ยหยางเมื่อเสร็จธุระแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านพ่อ”
หลี่เว่ยหยางรีบกล่าวตอบว่า
“ค่ะท่านแม่ มิต้องเป็นห่วงข้า”
ลูกปะคำในมือของเมิงชิขยับอย่างช้า ๆ ขณะที่นางพยักหน้า จากนั้นสะใภ้ใหญ่จึงรีบกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
ช่วงเวลาที่นางจากไป สะใภ้รอง และสะใภ้สามจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน และขอตัวลากลับบ้าง
เหวินชิผู้ซึ่งเป็นสะใภ้รองถึงกับมองไปที่เว่ยหยางด้วยสายตาแห่งความผิดหวัง
ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าจะได้ดูบุตรสาวของคนรับใช้ต่อว่าเจียงชิ แต่ปรากฎว่า หลี่เว่ยหยางเป็นเพียงเด็กสาวที่ขี้ขลาด และโง่เขลาเท่านั้น
นางต้องทนทุกข์ทรมานจากความยากลำบาก และการถูกทารุณกรรมหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังมิกล้าที่จะกล่าวมันออกไป
เมื่อทั้งสามคนได้กลับออกไปแล้ว โลกก็กลับมาอยู่ในสภาวะที่สงบสุขอีกครั้ง
เมิงชิมองไปยังหลี่เว่ยหยางด้วยการสำรวจที่ละเอียดอ่อน และนุ่มนวล ด้วยเหตุผลบางอย่าง
ทันใดนั้นนางได้ถอนหายใจออกมา แล้วกล่าว กับแม่นมหลัวซึ่งยืนอยู่ด้านข้างของนางว่า
“พาเด็กผู้นี้ออกไปก่อน”
หลี่เว่ยหยางคุกเข่าลง และคำนับอย่างจริงจังลงบนพื้น บริเวณด้านหน้าของเม้งชิ
หลังจากนั้น นางจึงเดินตามแม่นมหลัวออกไปด้านนอก
ขณะที่แม่นมหลัวเดินนำหลี่เว่หยางออกไปที่บริเวณชายคาหน้าบ้านก็ได้ยินเสียงหลี่เว่ยหยางร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง
แม่นมหลัวจึงหยุดเดินในทันที และรีบเอ่ยถามว่า
“คุณหนูเป็นอันใดหรือไม่?”
หลี่เว่ยหยางส่ายหัว แต่มีสีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวด
นางแตะไปที่หลังคอของตนเองราวกับมิได้คิดอันใด แม่นมหลัวมิได้กล่าวอันใดต่อ และก้าวเดินต่อไป แต่ตั้งใจเดินให้ช้าลงกว่าเดิม
นางจ้องมองไปยังบริเวณหลังคอของหลี่เว่ยหยาง และได้สังเกตเห็นจุดสีแดงคล้ายกับบาดแผลที่เกิดจากเข็ม
และแล้วเลือดได้ค่อย ๆ ไหลออกมา สิ่งนี้ทำให้แม่นมหลัวมีอาการตกใจเป็นอย่างมาก
หลี่เว่ยหยางดูเหมือนจะอดทนกับมันอย่างสุดความสามารถ แต่ในตอนนี้น้ำตาได้เริ่มปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว
แม่นมหลัวมิสามารถทนดูได้อีกต่อไป นางยิ้มและกล่าวออกมาว่า
“คุณหนู ลายปักของเสื้อคลุมตัวนี้มีความงดงามมาก ช่วงนี้ได้ยินมาว่า ท่านย่าใหญ่ต้องการสิ่งที่คล้ายกับมัน
เช่นนั้น ข้าจะขอยืมเสื้อคลุมตัวนี้สักสองวัน เพื่อศึกษาลายปักจะได้หรือไม่”
เสื้อผ้าที่ข้าจะทำให้ท่านย่าใหญ่สวมใส่นั้น จะมีสีสันและลวดลายที่แตกต่างจากตัวนี้อย่างแน่นอน มิต้องกังวล
หลี่เว่ยหยางเข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำกล่าวนั้นในทันทีที่ได้ยิน
แต่แสร้งทำเป็นมิรู้อันใด จากนั้นนางจึงถอดเสื้อคลุมออกอย่างว่าง่าย และมอบให้กับแม่นมหลัวไป
บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นไปโดยเจตนาของผู้ใดบางคน?
ในตอนนั้น นิ้วของนางปัดเข้าไปในขนสัตว์ที่อยู่ในเสื้อคลุมนั้น และแม่นมหลัวได้แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาในทันที
“แม่นมหลัวเป็นอันใดไปหรือ?”
หลี่เว่ยหยางเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา
แม่นมหลัวเหลือบมองไปยังกลุ่มคนรับใช้ที่อยู่รอบตัวนาง ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่มิได้จางหายไป
“มิมีอันใดผิดปกติหรอก คุณหนูควรรีบกลับไปทำความคุ้นเคยกับที่อยู่ใหม่ของท่านเถิด ข้าจะต้องกลับไปหาท่านย่าใหญ่แล้ว”
หลี่เว่ยหยางมองไปยังเสื้อคลุมที่แม่นมหลัวใช้มือของนางจับเอาไว้แน่น จึงยิ้มเล็กน้อย และกล่าวว่า
“ใช่แล้ว แม่นมหลัวควรที่จะรีบกลับไปได้แล้ว”