ตอนที่29-1 ขออภัย
ในตอนนี้บาดแผลบนใบหน้าของหลี่ฉางซีได้หายสนิทแล้ว และมันได้กลายเป็นแผลเป็นอย่างที่คาดคิดเอาไว้
นางจึงมีความจำเป็นต้องใช้แป้งจำนวนมากเพื่อใช้ในการปกปิดร่องรอยนั้น
หลังจากพักฟื้นเป็นเวลานานถึงหนึ่งเดือน ในที่สุดนางก็ได้ออกมาจากตำหนักของตนเอง โดยมิค่อยเต็มใจนัก
เพราะต้องไปที่ตำหนักเหอเซียงหยวน เมื่อท่านย่าใหญ่ได้เอ่ยถามถึงนางเป็นครั้งที่ห้าแล้ว
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในตำหนัก จึงได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น และเจ้าของเสียงหัวเราะได้กล่าวว่า
“เว่ยหยาง เจ้าทำให้ข้าหัวเราะเสียจนเมื่อยกรามไปหมดแล้ว!”
หลี่เว่ยหยางสวมชุดผ้าฝ้ายไหมสีเหลืองอมเขียว
มีดอกกล้วยไม้ปักอยู่ที่บริเวณคอเสื้อ ทำให้สะดุดตามากยิ่งขึ้น บนศีรษะนั้นมีปิ่นหยกที่มีรูปแบบเรียบง่ายปักอยู่
ประกายแห่งความอ่อนเยาว์ได้แผ่ออกมา พร้อมกับท่าทีเป็นมิตร ทำให้นางดูเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม
อีกทั้งรอยยิ้มที่ปรากฎอยู่บนใบหน้าของนางนั้น มีความร่าเริงและแจ่มใสเป็นอย่างมาก
“เป็นโชคดีของเว่ยหยางที่ได้เกิดมาเป็นหลานของท่านย่า”
ท่านย่าใหญ่หัวเราะด้วยเสียงอันดังอีกครั้ง และใช้นิ้วมือสะกิดที่ศีรษะของหลานสาวอย่างแผ่วเบา ขณะที่นางกล่าวกับแม่นมหลัวว่า
“เว่ยหยางล้อข้าเล่นอีกแล้ว! ช่างปากหวานเสียจริง!”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่ฉางซีจึงเกิดความรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เพราะปกติแล้ว ท่านย่าจะมีความจริงจัง และเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา
นางมิเคยแสดงท่าทีสนิทสนมกับหลานสาวของตนเองเช่นนี้มาก่อน
แต่เหตุใดนางจึงมีความสนิทสนมกับหลี่เว่ยหยางถึงเพียงนี้?
สิ่งที่ฉางซีมิทราบมาก่อนคือ ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ หลี่เว่ยหยางมาเยื่ยมท่านย่าเป็นประจำทุกวัน
นางอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าใหญ่ขณะที่พวกนางสวดมนต์ด้วยกัน ดื่มชา และสนทนากันทุกวัน
ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนต่างก็รู้ว่า ผู้ที่ท่านย่าใหญ่โปรดปรานมากที่สุดก็คือ หลี่เว่ยหยาง
เมื่อสาวใช้ได้เห็นการปรากฏตัวของฉางซี จึงรีบวิ่งเข้าไปรายงานผู้อาวุโสหลี่ทันที
หลี่ฉางซีเดินตามเข้ามา และรีบแสดงความเคารพนางอย่างอ่อนน้อม
“หลังจากฉางซีหายป่วยแล้ว จึงรีบมาที่นี่ทันที เพื่อคารวะท่านย่า ต้องขออภัยที่มิได้มาเยี่ยมท่านย่าเสียนาน”
ท่านย่าใหญ่มองนางอย่างมิใส่ใจนัก
“ลุกขึ้นได้”
หลี่ฉางซีรู้ดีว่า พฤติกรรมของนางที่ตำหนักหนานหยวนในครั้งนั้น จะต้องแพร่กระจายมาเข้าหูของท่านย่าแน่นอน
จึงมีความกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากในขณะนี้
และนางกำลังยืนนิ่งเพราะมิทราบว่า จะเริ่มทำอันใดก่อนดี
หลี่เว่ยหยางเหลือบมองไปยังการแสดงออกของท่านย่าชั่วครู่
จากนั้นจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ และเดินมาข้างหน้า
นางช่วยพยุงร่างของหลี่ฉางซีขึ้นมา
“น้องห้า เจ้ามิควรกังวลในสิ่งเล็กน้อยจนเกินไป ท่านย่าเป็นผู้ที่มีจิตใจดี และจะไม่ตำหนิเจ้า”
สีหน้าของหลี่ฉางซีเปลี่ยนไป
ทันใดนั้น นางได้รู้ว่า หลี่เว่ยหยางเข้าใจอารมณ์ของท่านย่าเป็นอย่างดี
ทั้งสองคนเป็นบุตรสาวของหยินเหนียง หากหลี่เว่ยหยางได้รับความโปรดปรานจากท่านย่าได้ เหตุใดนางถึงจะทำมิได้?
“ท่านย่า…ฉางซีมีความรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ภายในใจ…ข้า…”
หลี่ฉางซีกระพริบตาหลายครั้งขณะที่น้ำตานั้น เริ่มหยดลงมาจากดวงตาของนาง
หลี่เว่ยหยางยิ้มกว้างราวกับว่า รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของน้องสาวผู้นี้
ดูเหมือนว่าหลี่ฉางซีจะไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว
เพราะนางมิได้ตะโกนคำกล่าวที่แสดงถึงความร้ายกาจ หรือแสดงความโกรธเคืองอันใดออกมาให้เห็นเลย
ท่านย่าใหญ่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย และกล่าวว่า
“ข้ารู้มาว่า เจ้าเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายเช่นกัน มิต้องเป็นกังวลอันใดหรอก”
ในที่สุดหลี่ฉางซีจึงหยุดร้องไห้ทันที เมื่อนางได้ยินคำกล่าวเหล่านั้นจากปากของท่านย่า
หลี่เว่ยหยางยิ้มเล็กน้อย
“ด้วยการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของน้องห้า พวกเราพี่น้องจะสามารถพบกันได้บ่อยขึ้น”
หลี่ฉางซีจ้องมองเว่ยหยางอย่างตั้งใจด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนภายใน
ท่านย่าพยักหน้าเห็นด้วย
“แน่นอน. มิเพียงแต่เป็นพี่น้องกันเท่านั้น แต่เจ้าทั้งสองคนยังเป็นคุณหนูของบ้านตระกูลหลี่ด้วย
ข้าคงจะรับมิได้ หากพวกเจ้าสองคนจะมาทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย
เมื่อเป็นเช่นนั้น มิสำคัญว่าผู้ใดจะถูกหรือผิด ทั้งคู่จะต้องถูกลงโทษเข้าใจหรือไม่”
หลี่เว่ยหยางกระพริบตาและกล่าวว่า
“เข้าใจแล้วท่านย่า”
หลังจากนั้นมินาน ทั้งสองคนก็ได้เดินออกมาจากตำหนักเหอเซียงหยวนของท่านย่าใหญ่
ท่านอย่าใหญ่หันไปหาแม่นมหลัวแล้วเอ่ยถามว่า
“ข้าได้ยินมาว่า ชิหยินเหนียงป่วยอีกแล้วหรือ? เห็นว่านางมีอาการไอด้วย รีบไปเรียกท่านหมอมาตรวจร่างกายด่วน”
แม่นมหลัวทราบในทันทีว่า สิ่งนี้ทำเพื่อคุณหนูสาม หลานสาวผู้เป็นที่รักของนาง
“บ่าวรับทราบ ฮูหยินหลี่เป็นผู้ที่มีน้ำใจมากที่สุด
หลังจากกลับจากตำหนักหนานหยวนในครั้งที่แล้ว ท่านได้แสดงความคิดเห็นว่า สภาพความเป็นอยู่ที่นั่นแย่มาก
หลังจากนั้นจึงส่งคนรับใช้ไปเพิ่มอีกสี่คนเพื่อดูแลชิหยินเหนียง
และหลังจากท่านได้ส่งท่านหมอไปดูอาการของนางแล้ว
ณ ตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นมาก อาจเกิดจากกรรมดีของบุตรสาวนาง”