ตอนที่ 36-2 รังเกียจ
เมื่อจ้องมองไปที่หญิงสาวผู้นี้ เขาจึงสังเกตเห็นผมนุ่มสลวยเป็นประกาย และน่าสัมผัส
รวมไปถึงกระโปรงของนางนั้น มีลวดลายปักของทะเลสาบตะวันตกซึ่งกำลังโบกไสวอยู่ในอากาศขณะที่มีสายลมพัดผ่าน
บนใบหน้าที่ขาวราวกับหิมะของเว่ยหยางมีสีแดงอมชมพูปรากฏขึ้นบนแก้ม คู่กับดวงตาที่กลมโตตที่มีสีดำเป็นประกายของนาง
เมื่อมองแค่เพียงครู่เดียว ก็สามารถกล่าวได้ว่า นางเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างฉลาดและมีไหวพริบ
ทัวเป่าเจิ้นเคยพบเห็นความงดงามที่น่าหลงใหลมามากมายจนนับมิถ้วนแล้ว
แต่เขามิเคยได้พบกับความงดงามด้วยวิธีการที่แต่งตัวที่เรียบง่ายเช่นนี้มาก่อน
เมื่อสักครู่ หลังจากที่ได้ยินเสียงนางดุด่าเกาหมินอย่างก้าวร้าว และดุดัน
เขาจึงเริ่มเกิดความสนอกสนใจในตัวนางเกิดขึัน
ดังนั้นจึงจ้องมองไปยังเว่ยหยางถึงสองสามครั้งโดยมิรู้ตัว และในขณะนั้นดวงตาหลี่เว่ยหยางก็ได้จ้องมองกลับมาพอดี
จึงได้เห็นรอยยิ้มแพรวพราวปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เรียบเฉยของนาง แสดงให้เห็นฟันขาวสะอาดที่เรียงกันอย่างงดงาม
และดวงตาที่เป็นประกายพร่างพราวคู่นั้น ซึ่งสามารถดึงดูดผู้ที่พบเห็นได้อย่างตราตรึง
รอยยิ้มนี้ช่างมีความงดงามจนน่าประหลาดใจ ซึ่งทำให้ดวงตาที่ลึกซึ้งของทัวเป่าเจิ้นมิสามารถเคลื่อนมองไปทางอื่นได้
เขาทำได้เพียงแค่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ในดวงตาของตนเอง
หลี่จางเล่อตระหนักดีถึงอาการกระสับกระส่ายนั้น นางจึงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า:
“องค์ชายสาม นี่คือน้องสามของข้า และนางมีชื่อว่า เว่ยหยาง
นางได้กลับมาจากเมืองผิงเฉิงเมื่อมินานมานี้”
ดวงตาของทัวเป่าเจิ้นจ้องมองไปยัง
หลี่เว่ยหยาง ขณะที่ยิ้มกว้าง:
“โอ้…จริงหรือ?”
หลี่หมินเฟิงยิ้มบ้าง และกล่าวว่า:
“ใช่แล้ว น้องสามของข้าเติบโตที่เมืองผิงเฉิง จึงมิค่อยรู้ธรรมเนียมมากนัก
หากนางทำอันใดที่ขัดหูขัดตา ได้โปรดอย่าถือสาเลย”
เกาหมินพูดอย่างเย็นชา:
“หากนางทำตัวมิสุภาพ!
ข้าคิดว่า พี่หมินเฟิงควรจะลงโทษให้หนัก และอย่าปล่อยให้นางทำให้ท่านลุงขายหน้า!”
หลี่เว่ยหยางเงยหน้าขึ้นมองลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ แต่มิทราบด้วยสาเหตุใด เกาหมินได้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวและประหม่าจากการจ้องมองนั้น
ราวกับว่า เป็นการจ้องมองของปีศาจร้าย
และท้ายที่สุด นางจึงยับยั้งปากของตนเองมิให้กล่าวมากกว่านี้
ทัวเป่าเจิ้นกล่าวอย่างจริงจังว่า:
“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร คุณหนูสามเป็นเพียงเด็กสาวที่ไร้เดียงสา และมีวาจาไพเราะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง”
เขากล่าวว่านางไร้เดียงสา มีวาจาที่สุภาพเช่นนั้นรึ?
นางคงจะต้องชื่นชมเขาเสียแล้วว่า เขาช่างมีลิ้นที่แหลมคมจนน่าคลื่นไส้!
หลี่เว่ยหยางยิ้มกว้าง:
“ขอบคุณองค์ชายสามสำหรับคำชม แต่เว่ยหยางมิสมควรได้รับคำชมเช่นนั้น
หากจะกล่าวถึงการมีวาจาที่ไพเราะและสุภาพแล้ว เว่ยหยางจะเทียบกับองค์ชายได้อย่างไร”
ผิวของนางขาวมากราวกับหิมะจนดูโปร่งใสทำให้ดวงตาของนางคู่นั้นดูกลมโตมากยิ่งขึ้น
และรอยยิ้มบนใบหน้าของนางนั้นมีความงดงามเป็นอย่างมาก
ท่าทางของนาง สามารถกล่าวได้ว่า แสดงออกถึงความเคารพเท่านั้น มิมีสิ่งใดเป็นพิรุธที่สามารถสังเกตุเห็นได้
อย่างไรก็ตาม ทัวเป่าเจิ้นรู้สึกได้ว่าท่าทางของนางเฉยเมยเกินไป
จนทำให้เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์บางอย่างของอีกฝ่ายที่มิสามารถอธิบายได้
เมื่อวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน เขาจึงตระหนักว่า มันช่างดูเหมือนมีความเกลียดชังแอบแฝงอยู่…
แต่ด้วยสาเหตุใดกัน? ทัวเป่าเจิ้นนึกในใจว่า เขามิได้คิดไปเองแน่
แต่ทันใดนั้นได้นี้มีร่างที่สง่างามปรากฏตรงหน้าเขา:
“องค์ชายสาม! ข้ามิได้พบท่านมานานแล้ว อู๋เซียนเฟยเป็นอย่างไรบ้าง?”
ใบหน้าของเกาหมินในตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
โดยที่มิมีผู้ใดสังเกตุเห็นความเย่อหยิ่งของนางอีกต่อไป
หลี่จางเล่อเดินติดตามพวกเขาไปโดยมิรู้ตัว
ทุกคนเดินล้อมรอบทัวเป่าเจิ้น ขณะที่เขาเดินตรงไปยังศาลาพักร้อนทรงแปดเหลี่ยมในบริเวณสวน
ในขณะที่กำลังจะก้าวเดิน เขาได้เหลือบมองไปด้านหลัง
และตระหนักว่า หญิงสาวผู้ซึ่งแสดงท่าทีเหมือนจะรังเกียจเขาได้หายตัวไปแล้ว…