ตอนที่ 34-1 ทันเวลา
ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะเอาชนะกันอย่างเห็นได้ชัด
หลี่เสี่ยวหรันจึงขมวดคิ้วขึ้นด้วยความเคร่งเครียด
เพราะในตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ขณะที่ผู้อาวุโสหลี่จ้องมองไปยังหลี่เว่ยหยางอย่างครุ่นคิด และถอนหายใจออกมาอย่างมิสามารถควบคุมได้
ในตอนท้าย หลี่เสี่ยวหรันจึงกล่าวอย่างใจเย็นว่า:
“จางเล่อพยุงท่านแม่ของเจ้าให้ลุกขึ้นก่อน”
เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของหลี่เว่ยหยางจึงเกิดความอ้างว้างขึ้นมาในชั่วขณะ
ในขณะนั้นนางเริ่มเดาออกถึงแนวทางการตัดสินใจของหลี่เสี่ยวหรันแล้ว
เพราะดวงตาของหลี่เสี่ยวหรันนั้นแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจอย่างชัดเจน:
“เว่ยหยางเรื่องในวันนี้เป็นเพราะเจ้าประมาทเกินไป เจ้ามิควรที่จะทุบตีเกาจินตามอำเภอใจ
เขาเป็นบุตรชายเพียงผู้เดียวของฮูหยินเกาเว่ย ถึงอย่างไรก็ตาม พ่อต้องให้คำอธิบายกับขุนนางบ่อชางในที่สุด…“
ในคำกล่าวนั้น เขามิได้เอ่ยถึงเรื่องจดหมาย หรือหลี่จางเล่อเลย
แต่กล่าวเพียงว่า หลี่เว่ยหยางได้ทุบตีคนผิด
เห็นได้ชัดว่า เขาต้องการที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้กับนาง และละเลยผู้บงการที่แท้จริง
หลี่เว่ยยางมิอยากจะเชื่อเลยว่า แม้บิดาของนางรู้ว่า หลี่จางเล่อทำอันใด แต่เขาก็ยังต้องการที่จะปกป้องนาง
เว่ยหยางจึงเงยหน้าขึ้นและกล่าวด้วยความน้อยใจว่า:
“ท่านพ่อต้องการลงโทษเว่ยหยางอย่างไร?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของหลี่จางเล่อก็เผยให้เห็นความสุขที่ท่วมท้น เพราะเป็นไปอย่างที่คิดคือ บิดาจะต้องเข้าข้างนาง!
หลี่เสี่ยวหรันจ้องมองดูหลี่เหว่ยหยางด้วยความสงสาร และกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา
แต่ทันใดนั้นได้มีเด็กชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาตรงหน้า และคุกเข่าลง พร้อมกับส่งเสียงดัง
เขาคุกเข่าลงด้านข้างของหลี่เว่ยหยาง ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน
หลี่จางเล่อรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก จึงรีบเข้ามาคว้าตัวเขา ขณะที่กล่าวว่า:
“หมินเต๋อ เจ้ากำลังทำอันใดอยู่ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า?”
หลี่หมินเต๋อผลักมือของนางออกทันที และเปล่งเสียงดังว่า:
“หากท่านลุงต้องการที่จะลงโทษผู้ใดสักคน ได้โปรดลงโทษหมินเต๋อผู้นี้ด้วยเถิด
เป็นข้าเอง ที่บอกพี่สามว่า มีนกกาเหว่าอยู่ในสวน นางจึงพาคนไปที่นั่น
หลังจากนั้นพี่เกาจินได้ทำให้นกกาเหว่าตกใจและบินหนีไป
ข้าโกรธมากจึงต่อว่าเขา จากนั้นพี่เกาจินก็ได้ผลักข้าล้มลงอย่างแรง”
เขากัดฟันแน่น และเปิดบาดแผลที่หน้าผากให้ดู ซึ่งขณะนี้กำลังมีเลือดไหลรินลงมา ภายใต้ผมที่ปกคลุมนั้น
เลือดค่อย ๆ ไหลลงมาที่ใบหน้าของเขา ขณะที่มันทำให้ใบหน้าที่งดงามนั้นมิสามารถจดจำได้ ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจ
ผู้อาวุโสหลี่ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจเป็นอย่างมากว่า:
“หมินเต๋อ! หน้าผากของเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”
เสียงนั้นทำให้ดวงตาสีดำสดใสของหลี่หมินเต๋อส่องแสงเจิดจ้าขึ้นมาราวกับไข่มุก ขณะที่จ้องมองไปยังหลี่เสี่ยวหรัน:
“ท่านลุง เป็นเพราะพี่สามเห็นว่าข้าได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นนางจึงเข้าใจผิด และคิดว่าพี่เกาจินเป็นคนร้าย
หากท่านลุงต้องการที่จะหาต้นเหตุของเรื่องนี้ ก็อย่าไปโทษผู้อื่นเลย เป็นข้าเองที่ผิดแต่เพียงผู้เดียว!”
หลังจากกล่าวจบเเล้ว เขาได้โขกหัวของตนเองลงกระแทกพื้นเสียงดัง
ขณะนั้น สีหน้าของหลี่เว่ยหยางแสดงให้เห็นถึงความตกใจสุดขีด
นางดื้อรั้นเพราะต้องการให้บิดาเข้าใจว่า เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดจากหลี่จางเล่อ บุตรสาวสุดที่รักของเขาเท่านั้น
แต่ในที่สุด นางก็ได้รู้แล้วว่า บิดาของนางนั้น มีความลำเอียงมากเพียงใด!
และมิอยากจะเชื่อเลยว่า ในช่วงเวลาที่วิกฤตเช่นนี้ มีเพียงเด็กผู้นี้เท่านั้น ที่เต็มใจจะก้าวออกมาช่วยนาง
เป็นเพราะในช่วงเวลานั้น ทุกคนที่ไปด้วย แอบซุ่มอยู่ห่างออกไปมาก
จึงมิมีผู้ใดสามารถตรวจสอบได้ว่า หลี่หมินเต๋อได้อยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่
ในตอนนี้ผู้ใดจะเชื่อในคำกล่าวของเซียวซี ผู้ซึ่งเป็นคนรับใช้ของเกาจิน…
ในเมื่ออาการบาดเจ็บที่หน้าผากของหมินเต๋อนั้น…
และขณะนี้สีหน้าของฮูหยินใหญ่ได้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธแค้น และกล่าวว่า:
“เว่ยหยาง, หากสถานการณ์เป็นไปตามที่อธิบายมา เหตุใดเจ้ามิเล่าให้พวกเราฟังก่อนหน้านี้?”
หลี่เว่ยหยางกำหมัดแน่น แต่ในที่สุดก็มองลงไปที่พื้นเช่นเดิม และกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า :
“หมินเต๋อได้รับบาดเจ็บและเขารู้สึกหวาดกลัวมาก ข้าจึงสั่งให้คนพาเขากลับไปก่อน
และเป็นเพราะ ข้ากลัวว่า
หมินเต๋อจะถูกลากเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
และนั่นจะทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างสองครอบครัว
ขอเพียงท่านพ่อเป็นคนยุติธรรม และท่านแม่มีเมตตา
พวกท่านก็คงจะมิลงโทษข้าในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ จึงเก็บซ่อนความจริงเอาไว้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว ฮูหยินใหญ่จึงโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
และมิสามารถซ่อนความโกรธแค้นในดวงตาของตนเองได้อรกต่อไป
หลี่เสี่ยวหรันยืนนิ่งและมิรู้ว่าจะตอบสนองอย่างไรดี
ขณะที่ท่านย่าใหญ่ลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปช่วยพยุงหลี่เว่ยหยางให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง:
“เด็กโง่ เจ้าทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน เพียงเพื่อปกป้องน้องชายของเจ้า
ในเรื่องนี้มิเพียงแต่เรามิควรตำหนิเจ้า แต่เราควรขอบใจเจ้าด้วยซ้ำไป”