ยอดหญิงแห่งวังหลัง – ตอนที่ 51.1

ตอนที่ 51.1

ตอนที่ 51-1อวดอ้าง

เว่ยหยางยังกล่าวต่อไปอีกว่า

“ประการที่สี่คือ การลดภาษี โดยการส่งสารไปยังแต่ละภูมิภาค เพื่อประกาศการยกเว้นภาษีเป็นระยะเวลาสามปีสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติทุกคน

สิ่งนี้จะทำให้เหล่าราษฎรระลึกถึงพระเมตตาของจักรพรรดิด้วยความจริงใจ

สิ่งที่เราทำนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะมันมิใช่แค่การลดภาษีเท่านั้น

แต่เป็นการแสดงให้ราษฎรเห็นว่า เรามีความห่วงใยและเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง

ส่วนประการที่ห้านั้นคือการตั้งยุ้งฉางสำรอง

เพราะหลังจากได้รับการบรรเทาทุกข์แล้ว ราคาของธัญพืชจะเริ่มลดลง

และเราจะซื้อธัญพืชจากเกษตรกรเพื่อเตรียมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายภาคหน้า

เมื่อราคาธัญพืชเริ่มมีราคาสูงขึ้นเราสามารถขายธัญพืชที่เราซื้อมาเพื่อลดราคาของตลาดได้

นอกจากนี้เรายังสามารถส่งธัญพืชที่เราซื้อไปยังพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในภายภาคหน้า

และนี่คือกลยุทธ์ที่ดีทั้งหมด”

เมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงตกตะลึงจนกล่าวอันใดมิออก ขณะที่จ้องมองกันเองด้วยความประหลาดใจ

ทัวเป่าเจิ้นปรบมือเสียงดังด้วยความชอบใจ และกล่าวว่า

“เยี่ยมมาก! เยี่ยมมาก! มันวิเศษมาก!”

ขณะนี้หลี่จางเล่อยังคงมีสีหน้าที่เป็นปกติเหมือนเดิม แต่ความโกรธแค้น และความเกลียดชังได้ปรากฏอย่างท่วมท้นในดวงตาคู่สวยนั้น

นางมิอยากจะเชื่อเลยว่า หลี่เว่ยหยางสามารถคิดแผนดังกล่าวได้

และส่วนที่สำคัญที่สุดคือ ต้องยอมรับว่า แผนนี้มีเหตุผลเป็นอย่างมาก!

นางมิอยากจะเชื่อเลยว่า ในตอนนี้ตนเองได้ตกเป็นรองอีกแล้ว!

เมื่อมาถึงจุดนี้ ได้มีบางคนเดินเข้ามาในศาลา ซึ่งทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ผู้นั้นคือ หลี่เสี่ยวหรันซึ่งขณะนี้บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัด

และได้กล่าวออกมาว่า

“แม้ว่านโยบายการบรรเทาภัยพิบัติห้าขั้นตอนนี้จะสามารถดำเนินการได้ยากในบางพื้นที่

แต่ก็เป็นความคิดที่ดีอย่างมิอาจจะโต้แย้งได้!”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

หลี่หมินเฟิงได้ลุกขึ้นยืน และกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า:

“ใช่แล้ว นโยบายการบรรเทาภัยพิบัติห้าขั้นตอนของจางเล่อนั้นมิธรรมดา

แน่นอนว่า นางจะต้องได้รับการยกย่องจากผู้คนทั้งแผ่นดิน!”

ทุกคนเกิดความรู้สึกประหลาดใจขณะที่หลี่ฉางซีลุกขึ้นยืน และกระโดดด้วยท่าทางดีใจ:

“ใช่ พี่ใหญ่เก่งมาก! ด้วยความคิดเช่นนี้ นางจึงสมควรจะเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่องของผู้หญิงทุกคน!”

เมื่อได้ยินดังนั้นหลี่เสี่ยวหรันจึงเกิดความรู้สึกสับสน แต่แล้วก็ยืนอยู่ที่เดิม และเงียบไปครู่หนึ่ง

ทัวเป๋าเจิ้นขมวดคิ้ว ขณะที่สายตาของเขากวาดไปทั่วใบหน้าของหลี่จางเล่อที่กำลังแดงก่ำ

และท้ายที่สุด เขาก็มิได้ส่งเสียงอันใดออกมาสักคำ

จากนั้นได้ยินเสียงของไป๋จืออุทานออกมาว่า

“เห็นได้ชัดว่า คุณหนูสาม…”

และหลี่หมินเฟิงตำหนิอย่างรุนแรงว่า:

“เงียบ! เจ้านายกำลังสนทนากัน เจ้าเป็นเพียงแค่สาวใช้ มีสิทธิ์เอ่ยปากกล่าวอันใด!”

ไป๋จื่อรู้สึกหวาดกลัวกับคำกล่าวของเขาและการแสดงออกที่ข่มขู่เช่นนั้น

นางเหลือบมองไปที่หลี่เว่ยหยางด้วยความสับสน แล้วตอนนี้ทุกคนในศาลาได้จ้องมองมายังสาวใช้ผู้นี้

หลี่หมินเฟิงเดินออกมาหนึ่งก้าวและใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาได้เผยให้เห็นความเย็นชา:

“น้องสาม เจ้าก็คงคิดเช่นกันว่า พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นหญิงสาวที่มิธรรมดาเลยใช่หรือไม่?!”

การได้รับการยกย่องจากความดีความชอบของผู้อื่นนั้น ทำให้เห็นว่า พี่น้องพวกนี้ช่างไร้ยางอายสิ้นดี

สำหรับทัวเป่าเจิ้นแล้ว เขาทำเพียงแค่ก้มศีรษะลงเพื่อจิบชา ราวกับว่ามิรู้มิเห็นอันใดเลย

การต่อสู้ภายในตระกูลหลี่มิใช่เรื่องของเขาแต่อย่างใด และสิ่งที่เขาต้องการคือผลลัพธ์สุดท้ายเท่านั้น

หลี่เสี่ยวหรันจ้องมองไปยังหลี่เว่ยหยาง ผู้ที่เงียบสงบราวกับว่านางไร้ความรู้สึก

จากนั้นความรู้สึกเสียใจได้พุ่งผ่านเข้ามาในหัวใจของเขา

แต่เขากลับหัวเราะขึ้นเสียงดัง:

“ใช่ ฉางเล่อช่างเป็นหญิงสาวที่หน้าน่าอัศจรรย์ แม้แต่ข้าในฐานะอำมาตย์ก็ยังมิสามารถแก้ไขได้

แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดายด้วยฝีมือของนาง!

นางเป็นนักปราชญ์หญิงที่มากความสามารถอย่างเห็นได้ชัด!”

หลี่จางเล่อยิ้มเล็กน้อยขณะที่นิ้วชี้ของนางปัดผ่านกระโปรงอันงดงามของตนเอง พร้อมกับซ่อนรอยยิ้มเยาะเย้ยไว้บนริมฝีปากของนาง

หลี่เว่ยหยางแม้ว่าเจ้าจะใช้กลวิธีทั้งห้านี้แล้วเป็นอย่างไร?

ผู้ใดจะกล้าเรียกร้องความยุติธรรมให้เจ้า!

ท่านแม่กล่าวถูกต้องแล้ว เจ้าเป็นเพียงบุตรสาวนอกสมรสที่ต่ำต้อย และเจ้าเป็นเพียงสะพานให้ข้าข้ามไปเท่านั้น!

เมื่อคิดถึงจุดนี้ นางจึงยิ้มอย่างอ่อนโยน และกล่าวว่า:

“ท่านพ่อ ข้ามิสมควรได้รับคำชม ข้ากำลังทำเพื่อประชาชน และมิเคยคิดที่จะอวดอ้างแต่อย่างใด”

นางยังมีความกล้าที่จะยอมรับว่า ความคิดเหล่านี้เป็นของตนเอง

ซึ่งทำให้หลี่เว่ยหยางเกือบจะหัวเราะออกมาให้ดังที่สุดด้วยความละอายใจแทน

ยอดหญิงแห่งวังหลัง

ยอดหญิงแห่งวังหลัง

Status: Ongoing

ชีวิตเป็นสิ่งที่มิคาดเดาได้เลย สามีของนางได้ตกหลุมรักพี่สาวของนางเอง

จึงปลดหลี่เว่ยหยางออกจากการเป็นจักรพรรดินี และเขาเป็นต้นเหตุให้บุตรชายต้องตาย

ในวังเย็นแห่งนั้น หลี่เว่ยหยางถูกบังคับให้ดื่มเหล้าพิษ

จึงให้สาบานกับตนเองเอาไว้ว่า หากชาติหน้ามีจริง จะมิทำความดีอีก จะมิช่วยเหลือผู้อื่น จะมิก้าวเข้าไปในวังหลวง และจะมิมีวันเป็นจักรพรรดินี!

และในวันนั้น ที่บ้านพักขุนนางระดับสูง นายหญิงได้ให้กำเนิดบุตรสาว แต่ทว่า เด็กผู้นั้นเกิดมาเป็น’นางมารร้าย’ นังแม่เลี้ยงใจร้าย?

ข้าจะส่งเจ้าไปนรก! นังพี่สาวสับปรับ หน้าซื่อใจคด? ข้าจะแยกลอกหนังหน้าอันงดงามของเจ้าออก!

ส่วนน้องสาวที่คิดชั่วต่อข้า? ข้าจะโยนเจ้าลงหลุมฝังศพ!

พวกเจ้ามิเคยปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้นสมควรแล้ว ที่จะมีชะตากรรมเช่นนี้!

ในตอนแรก นางตั้งใจที่จะอยู่ให้ห่างจากหายนะให้มากที่สุด แม้กระนั้นหัวใจของมนุษย์ก็เหมือนเข็มในทะเล

มิอาจรู้ว่าเหตุใด และมิสามารถเข้าใจได้ ผู้ที่เคยสาบานว่าจะมิเหลียวแลเว่ยหยาง

กลับกลายเป็นผู้ที่ขาดนางมิได้ จากผู้ที่ฆ่านางในชาติที่แล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท