เหอจินหมิงเดินเข้ามา ฉุดร่างของตันหวายเข้าสู่อ้อมแขน แล้วกล่าวด้วยสีหน้าห่วงใย “ฝูเซิงเป็นอะไรหรือไม่? ความจำเสื่อมได้อย่างไร กระทั่งม้าก็ลืมว่าขี่อย่างไรแล้วหรือ?”
ตันหวายแค่นหัวเราะในใจ ทำเรื่องเลวทรามหน้าเป็นขนาดนี้ได้ไม่ใช่เหอจินหมิงแล้วจะเป็นใคร อุตส่าห์หาม้าที่ไม่เคยฝึกสอนมาหยั่งเชิงเขา จัดการไม่ง่ายเลยจริงๆ
ขณะที่คิดเช่นนี้ ตันหวายกลับไม่แสดงสีหน้า ก่อนเงยหน้าถามด้วยความฉงน “แต่ก่อนข้าขี่ม้าเป็นจริงๆ หรือ?”
“แน่นอน” เหอจินหมิงลูบใบหน้าของตันหวาย โน้มหน้าลงช้าๆ หมายจะประทับจูบบนหน้าผากของเขา
ตันหวายกำหมัดขยะแขยงจนทนไม่ไหว ทว่าฝืนกลั้นไว้ไม่หลบเลี่ยง
“ฝ่าบาท!” จวินเฉิงดึงมือตันหวายเอาไว้ ออกแรงฉุดเขาออกมาจากอ้อมแขนของเหอจินหมิง หน้าผากของตันหวายเฉียดริมฝีปากเหอจินหมิงไปอย่างหวุดหวิด
ตันหวายถูกเขาบีบมือจนเจ็บปวดพลางสูดหายใจเฮือก
“เขาเพิ่งจะอาเจียน คาดว่ายังไม่หายดี เพื่อป้องกันมิให้ล่วงเกินพระองค์ อยู่ห่างไว้ก่อนย่อมดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” จวินเฉิงกล่าวด้วยท่าทีเงียบขรึม ถ้าตันหวายไม่ใช่ผู้รู้เห็นเหตุการณ์ล่ะก็ เขาคงเชื่อหมดใจแล้ว
ฝืนกลั้นยิ้มเอาไว้ ตันหวายเริ่มทำเป็นคลื่นไส้อย่างให้ความร่วมมือ ส่วนจวินเฉิงก็ตบหลังเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ราวกับเขาจะพ่นอะไรบางอย่างออกมาเดี๋ยวนั้น
เหอจินหมิงมองพวกเขาทั้งสองสลับไปมาอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็ยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้หมอหลวงดูอาการเสร็จแล้ว ฝูเซิงก็นั่งรถม้าแล้วกัน”
กล่าวจบ เหอจินหมิงก็ก้าวขึ้นหลังม้าแล้วออกคำสั่ง “ออกเดินทาง ไปลานล่าสัตว์”
จวินเฉิงเห็นตันหวายไม่เป็นอะไรมากแล้วก็ค่อยวางใจลงบ้าง ผละมือที่ตบหลังให้ตันหวายเตรียมจะไปหาม้าของตน ใครจะรู้ว่าพอเก็บมือกลับมา จวินเฉิงก็ถูกตันหวายคว้ามือเอาไว้
ตันหวายจับมือจวินเฉิงไว้ไม่ยอมปล่อย นิ้วมือเล็กยังไม่หยุดเขี่ยอุ้งมือของจวินเฉิง
“แขนเสื้อสั้นเกินไป” จวินเฉิงกล่าวหน้านิ่ง สะบัดมือเขาออกทันทีพลางเดินหนีไปเสียไกล
ตันหวายมองชุดทหารแขนแคบบนร่างตนเองกับบนร่างจวินเฉิงอย่างอับอาย แล้วตีอกชกหัวด้วยความเสียดาย แขนเสื้อสั้นเกินไป ก็เลยบังไม่อยู่น่ะสิ!
ฉางอันโอบล้อมด้วยเทือกเขาครึ่งหนึ่ง เพราะเหตุนี้จึงมีภูเขามากมายรายล้อมอยู่รอบทิศ สะดวกแก่การออกล่าสัตว์อย่างยิ่ง ลานล่าสัตว์ยามชิวเลี่ยก็อยู่บนภูเขาลูกหนึ่งนอกเมืองฉางอัน
กองกำลังพลเดินทางไม่ถึงสองชั่วยามก็ถึงลานล่าสัตว์แล้ว ตันหวายออกมาจากรถม้าอย่างเวียนหัว บังเอิญพบกับจวินฉิงที่ขี่ม้าผ่านทางมาพอดี
จวินฉิงสวมเครื่องแบบทหารขี่อยู่บนหลังม้า เมื่อมองเห็นตันหวายก็ผินหน้าอย่างเหยียดหยาม แค่นหัวเราะกล่าว “ข้าก็ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้เพิ่มรถม้าอีกคัน ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง ออกวังยังต้องนั่งรถม้า ทำตัวราวกับเป็นหญิงอย่างไรอย่างนั้น”
ตันหวายเกือบจะโกรธจนหัวเราะออกมาอยู่แล้ว เขาถามตัวเองว่าไม่เคยไปหาเรื่องอะไรนาง แต่จวินฉิงทำไมเห็นเขาแล้วเป็นต้องทนอยู่เฉยไม่ได้ ต่อให้เขาอารมณ์ดีกว่านี้ ตันหวายก็คงโกรธอยู่บ้างเหมือนกัน
จวินฉิงเพียงแค่รู้จักเขาจากปากคนเล่านิทานพวกนั้นในซีหนาน การตัดสินใครสักคนด้วยวิธีแบบนี้ ทั้งยังแสดงเจตนาร้ายต่อคนผู้นี้อย่างถึงที่สุด มันทำให้เขานึกถึงพวกนักเลงคีย์บอร์ดในยุคปัจจุบัน
ตันหวายกระโดดลงมาจากรถม้า กอดอกเดินรอบรถม้าของจวินฉิงพลางพินิจดูนาง จู่ๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะ
“เจ้าหัวเราะอะไร?” จวินฉิงขมวดคิ้ว
“ข้าหรือ” ตันหวายเอนพิงกับรถม้า “ข้าหัวเราะที่เจ้าพูดว่าข้าทำตัวราวกับเป็นหญิง แต่ข้ามองอย่างไรเจ้าก็ทำตัวราวกับเป็นชาย”
จวินฉิงฟังแล้วก็โมโห กระโดดลงจากหลังม้าถือแส้ชี้หน้าเขาแล้วกล่าว “เจ้ามันก็แค่ชายยาใจที่ใช้มารยาหากินเท่านั้นแหละ เจ้า…”
“ข้าทำไม?” ตันหวายมองจวินฉิงด้วยสายตาเฉียบคม “เจ้าดีกว่าข้าสักแค่ไหนกัน? ช่วยต้าโจววางแผนออกอุบายหรือสังหารศัตรูในสนามรบมากกว่าข้างั้นรึ?”
จวินฉิงตะลึงงัน พูดอะไรไม่ออก
ตันหวายสีหน้าเย็นยะเยือก “ตอบไม่ได้แล้วหรือ? เช่นนั้นข้าขอบอกเจ้าไว้ เก็บความดีเลิศของเจ้าไว้กับตัวเถอะ เจ้ากับข้า ก็พอกันนั่นแหละ!”
จวินฉิงถูกเขาว่าจนหน้าซีด เบิกตาค้างแล้วผงะก้าวถอยหลัง ก่อนจะจากไปโดยไม่พูดอะไรในที่สุด
ตันหวายสีหน้าดีขึ้นนิดหน่อย พลางก้มหน้าอย่างอัดอั้นตันใจ แกว่งเท้าไปเตะก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งแถวนั้น
หากพูดว่าตอนแรกเขาเพียงแค่จงใจแกล้งทำเป็นโกรธเล่นๆ เช่นนั้นตอนหลังเขาก็พาลโกรธขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือเป็นเจ้าของร่างเดิม ก็คงทนไม่ได้กับคำว่าใช้มารยาหากิน