ลมฤดูสารทพัดโชย เปลวไฟบนกองฟืนพลิ้วไหวตามลม บางครั้งคราวยังแตกปะทุเป็นสะเก็ดไฟกระเด็นตกใส่บริเวณเท้าของจวินเฉิง กลิ่นหอมของปลาย่างลอยกรุ่นมาตามลม ส่งมาถึงจมูกของตันหวายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
(ขอแสดงความยินดีท่านเจ้าของร่าง ค่าความประทับของจวินเฉิงต่อตัวท่านสูงถึงแปดสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์แล้ว ชัยชนะรออยู่เบื้องหน้า ผู้เขียนโปรดพยายามต่อไป)
ระบบที่เงียบสนิทมานานแล้วเด้งข้อมูลขึ้นมากะทันหัน ตันหวายกลับไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจ
ดวงตาจดจ้องตรงไปยังปลาย่างที่อยู่ไม่ไกล ตันหวายกลืนน้ำลายเอื๊อกเป็นครั้งที่ N
จวินเฉิงแสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็นแม้แต่น้อย ค่อยๆ ขยับแขนพลิกปลาบนแท่นปิ้ง คอยโรยเครื่องปรุงบนตัวปลาอยู่เป็นระยะ
ตันหวายขอคารวะจวินเฉิงจากใจจริง ออกล่าสัตว์ยังจะพกเครื่องปรุงมาเอง เขาอยากถามดูสักทีว่าจะมีใครทำได้อีก!
“จวินเฉิง…คุณชายจวิน…” ตันหวายบีบเสียงอ้อน “ข้าขอกินคำหนึ่ง คำเล็กๆ ก็คงพอแล้วล่ะ แค่คำเดียวเอง”
จวินเฉิงนิ่งไม่ไหวติง
“ท่านพี่จวิน~”
จวินเฉิงมือสั่นสะท้าน ปลาเกือบจะร่วงตกลงในกองไฟ ทว่ายังดีที่ทรงตัวไว้ได้
“ท่านอย่าได้ใจไปหน่อยเลย!” ตันหวายลุกพรวดขึ้นมา “ปลาตัวนี้ข้าจับมานะ! ข้าจับมาเอง!”
จวินเฉิงผินหน้าเล็กน้อย สายตาปรายมองตรงเท้าของตันหวาย ความหมายบ่งบอกชัดเจน
ตันหวายใจฝ่อ พลางเขยิบไปทางซ้ายเล็กน้อย ปิดบังเศษก้างปลากองหนึ่งใกล้กับเท้าตนเอง ใครจะรู้ว่าปลาที่เขาจับเองทำไมถึงได้น้อยขนาดนั้น ยังไม่พอให้ติดซอกฟันด้วยซ้ำ หันไปมองปลาของจวินเฉิง แต่ละตัวอ้วนท้วนสวยงาม ตัวเดียวเท่ากับเขาสองตัว ตอนนี้เขาเตรียมจะกลายร่างเป็นผีอาฆาตรังควาญจวินเฉิงให้ขาดใจตาย
จวินเฉิง “อยากกินก็ย่อมได้ แต่เจ้าต้องบอกข้าว่าประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไร”
ตันหวายแกล้งโง่ “ประโยคไหน? ข้ารู้สึกมึนๆ หัวนิดหน่อย ข้าพูดว่าอะไรไปหรือ?”
จวินเฉิงเลิกคิ้วขึ้น บ่งเป็นนัยว่าตนไม่ได้รีบร้อนอะไร พลิกมือเอาปลาที่สุกดีแล้ววางไว้บนใบไม้ที่ล้างจนสะอาด ต่อจากนั้นจึงค่อยย่างตัวที่สอง
ตันหวายมองดูปลาย่างบนใบไม้เขียวสด ตาก็เขียวปั้ด
ทิ้งตัวลงนั่งบนโขดหินอย่างหมดอาลัยตายอยาก ตันหวายยอมแพ้พลางระบายความโกรธ “ข้าบอกก็ได้!”
ตันหวายเม้มปาก ก่อนค่อยๆ เอ่ยปากกล่าว “หนึ่งน่ะ มีความหมายว่าน้องชาย ข้าหมายถึงว่าความผูกพันพี่น้องที่ข้ามีต่อท่านแน่นแฟ้นจนฟ้าดินซาบซึ้ง ยินดีจะเป็นน้องชายของท่าน”
จวินเฉิงแค่นหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ ก่อนจะหยิบปลาที่ย่างสุกตัวหนึ่งกัดเข้าปาก
ชิบหาย!
ตันหวายเบิกตาโพลง โผเข้าหาร่างของจวินเฉิงโดยไม่ทันยั้งคิด คว้ามือเขาที่หยิบปลามากินเอาไว้แล้วร้องกล่าว “ข้าบอกแล้วข้าบอกแล้ว! หนึ่งก็คือคนที่อยู่ข้างบน ถ้าท่านอยากอยู่ข้างล่าง ข้าก็ไม่ถือเรื่องอยู่ข้างบนหรอกกกกก!”
จวินเฉิงเงียบกริบ ผ่านไปอีกสักครู่ใหญ่ ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม “ใครบอกเจ้าว่าข้า…”
ตันหวายกะพริบตาปริบ เฝ้ารอคำพูดต่อไปของจวินเฉิงอย่างเงียบๆ
จวินเฉิงไม่ได้กล่าวต่อ เพียงเอาปลายัดใส่มือของตันหวายแล้วกล่าวว่า “กินเถอะ”
ตันหวายที่ถูกยัดเยียดปลามาให้ดีอกดีใจ ขณะเดียวกันก็ค่อนข้างรู้สึกสับสน เป็นอย่างที่คาด ยอมรับแล้วสินะ เขาคือหมายเลขศูนย์ ดูท่าต่อไปนี้ตนคงต้องมีจิตสำนึกความเป็นหมายเลขหนึ่งซะบ้างแล้ว
ตันหวายกินปลาไปพลาง จ้องมองจวินเฉิงไปพลาง ตัดสินใจในใจเงียบๆ ว่าต่อไปนี้จะต้องปกป้องฝ่ายรับของตนเองให้ดี นี่คือความรับผิดชอบของผู้เป็นฝ่ายรุก
หลายวันที่ล่าสัตว์อยู่กลางแจ้งนับว่าราบรื่นไปด้วยดี จวินเฉิงยิงธนูแม่นมาก ขอเพียงมองเห็นเหยื่อโดยปกติแล้วก็มักเก็บแต้มใส่กระเป๋าได้เสมอ
สิ่งเดียวที่ทำให้จวินเฉิงรู้สึกแปลกใจ ก็คือตันหวายที่พักนี้ทำตัวผิดปกติยิ่งนัก
พอคลายมือ ลูกศรในมือก็แล่นพุ่งออกไป ยิงดอกเดียวถูกกระต่ายที่หมอบคลานอยู่บนพื้น
ตันหวายไต่ปีนลงมาจากหลังม้าอย่างเชื่องช้าพลางหยุดยั้งจวินเฉิงที่กำลังจะลงม้า แล้ววิ่งต๊อกๆ เข้าไปหิ้วกระต่ายขึ้นมาแขวนด้านหลังม้า
“ท่านวางใจเถอะ เรื่องที่ข้าทำได้ จะไม่ปล่อยให้ท่านทำแน่นอน” ตันหวายกล่าวอย่างแน่วแน่ มองด้วยสายตาของจวินเฉิงแล้วแทบจะมีประกายแสงออกมา
จวินเฉิง “…”
ระบบชักจะทนดูต่อไปไม่ไหว รีบกล่าวโน้มน้าว (ท่านเจ้าของร่าง คือเราคิดว่า ท่านอาจจะคิดมากไป)
ตันหวายกลอกตาไม่สนใจระบบ เจ้าระบบนี่เขามองทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว นอกจากประกาศค่าความประทับใจได้นิดหน่อย เรื่องอื่นที่สำคัญกว่านั้นล้วนไร้ประโยชน์สิ้นดี ไหนจะภารกิจลับก่อนหน้านี้แลกเปลี่ยนอย่างไรก็ยังไม่ทันได้ตรวจสอบแน่ชัด เขาความจำดีมากนะจะบอกให้