กาลเวลามีประโยชน์อยู่สองประการ ประการหนึ่งคือเยียวยาบาดแผลทางใจ บรรเทาบาดแผลทางกาย อีกประการหนึ่งก็คือทำให้ใบหน้าของผู้เป็นที่รักยิ่งสลักลึกซึ้ง และทำให้ใบหน้าของผู้ที่เกลียดชังยิ่งมัวหมองพร่าเลือน
ตันหวายครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย จวินเฉิงผู้นี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน เขาอาจจะลืมเลือนไม่ลงไปตลอดชั่วชีวิต หัวใจของตนจดจำเขาได้อย่างชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไร หากถามว่าไป๋เยว่กับจวินเฉิงในหัวใจเขาใครสำคัญกว่ากัน เขาย่อมเลือกฝ่ายหลังโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตันหวายเห็นสีหน้าของจวินเฉิงสลดวูบในพริบตา หัวใจราวกับถูกมือคู่หนึ่งบีบคั้นจนแทบเจียนตาย
จวินเฉิง “สามเดือน จะเป็นไปได้อย่างไร”
ตันหวายลุกขึ้นยืน ประคองใบหน้าของจวินเฉิงไว้ ประทับจูบลงบนหน้าผากเขาอย่างอ่อนโยนที่สุด
“จะเป็นไปไม่ได้อย่างไร เชื่อข้า”
จวินเฉิงถูกตันหวายจูบจนสั่นสะท้าน จากนั้นก็พลิกเป็นฝ่ายได้เปรียบโดยไม่ลังเล ออกแรงรวบร่างตันหวายเข้าสู่อ้อมกอด จูบนี้ถอดเปลือกนอกอันอ่อนโยนทิ้งไป ดุเดือดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตันหวายเกือบนึกว่าตนจะขาดใจตายคาอ้อมกอดของจวินเฉิงเสียแล้ว
ตอนที่ตันหวายออกมาจากเรือนเล็กปากก็บวมฉึ่งไปหมด สายตาที่เหอหรูกู้มองเขาทอแววแค้นเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้าอย่างลึกซึ้ง แน่นอนว่าเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้าชิ้นนี้ย่อมหมายถึงท่านลุงของเขาเอง
ตำหนักฮวาเจียว
จวินฉิงนอนตะแคงอยู่บนเตียงตัวเตี้ย เอื้อมมือดึงพูระย้าตรงหน้ามาถือเล่น ก่อนเอ่ยปากกล่าวอย่างแช่มช้า “เจ้ามาทำอะไร?”
ตันหวายยิ้มกล่าว “ข้ามาขอสุรากาหนึ่งกับเจ้า เอาสุราฤทธิ์แรงที่สุดของซีหนาน”
จวินฉิงชะงักนิ้วมือ เห็นชัดว่าทายออกแล้วว่าเขาจะเอาไปให้ใคร
จวินฉิงส่ายศีรษะกล่าว “เจ้าจะดื่มสุรา? สุราของซีหนานฤทธิ์แรงเป็นที่สุด ข้าขอเตือนว่าเจ้าระวังไว้หน่อยจะดีกว่า”
ตันหวายพยักหน้ารับ คะยั้นคะยอจะเอาสุรากานั้นให้ได้ จวินฉิงไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับเขาให้มากเรื่อง สั่งให้คนอุ้มสุรากาหนึ่งมาให้เขาทันที
ตอนที่เหอจินหมิงได้ฟังว่าตันหวายต้องการพบเขาเพื่อดื่มสุราก็ตะลึงงัน เอ่ยถามขันทีอาวุโสข้างกายด้วยความฉงนว่า “เหตุใดเขาถึงนึกอยากดื่มสุรา?”
ขันทีอาวุโสรีบร้อนกล่าวว่าอาจเพราะคิดคะนึงถึงฝ่าบาทก็เป็นได้
เหอจินหมิงพึงพอใจกับเหตุผลนี้ยิ่งนัก อีกทั้งไม่มีอะไรทำพอดี จึงโบกมือสั่งให้ออกเดินทางไปตำหนักเย็น
กลิ่นสุราฉุนแรงคละคลุ้งไปทั่วห้องเล็กๆ ในตำหนักเย็น ยืนห่างไปหลายเมตรก็ยังได้กลิ่น เหอจินหมิงขมวดคิ้ว เอามือไพล่หลังเดินเข้าไปในห้อง
ตันหวายที่เมาอ้อแอ้นอนพังพาบอยู่กับโต๊ะเงยหน้าขึ้นมา ปรือดวงตาทั้งสองโดยไม่อาจตั้งสติจดจ่อ กล่าวอย่างดีใจว่า “ท่านมาแล้ว”
เหอจินหมิงบีบจมูกปิดกั้นกลิ่นสุราที่รุนแรงเกินต้านทาน ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ตันหวาย
ตันหวายหันไปมองเหอจินหมิงพลางหัวเราะ เขาเลียปากทำเสียงจ๊อบแจ๊บ กล่าวงึมงำฟังไม่ชัดว่า “ท่านกับข้ามาคุยเรื่องในอดีตกันดีกว่า”
เหอจินหมิงได้ยินดังนั้นก็สีหน้าเปลี่ยน สองมือกำแน่นฉับพลัน กล่าวเสียงเ**้ยมเกรียมว่า “เรื่องในอดีตมีอะไรน่าพูดกัน ข้าลืมไปนานแล้ว ในเมื่อเจ้าความจำเสื่อมก็ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นมันอีก!”
ตันหวายเบิกดวงตาอันไร้เดียงสา ราวกับไม่เข้าใจที่เขาบันดาลโทสะกะทันหัน ได้แต่กล่าวพึมพำว่า “ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นอีกหรือ? ข้านึกว่าความทรงจำของทุกคนล้วนเป็นสิ่งล้ำค่า”
เหอจินหมิงสีหน้าบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม “ผู้ใดกล่าวกันว่าความทรงจำเป็นสิ่งล้ำค่า หากความทรงจำในอดีตรังแต่จะส่งผลร้ายมากเกินไป เช่นนั้นสู้กำจัดมันทิ้งเสียเลยดีกว่า”
ตันหวายไม่กล่าวอะไรต่อ นอนพังพาบอยู่บนโต๊ะพลางรินสุราให้ตนเองอย่างทุลักทุเล
เหอจินหมิงมองดูเขาดื่มสุราด้วยสีหน้าไม่หวังดี ไม่มีเจตนาห้ามปรามเขาแม้สักนิดเดียว
ดื่มสุราจนพอสมควรแล้ว ตันหวายก็ฝืนพยุงร่างเงยหน้าขึ้นมา ชี้ไปยังหน้าอกข้างซ้ายของตนอย่างน้อยอกน้อยใจ “ข้าเจ็บตรงนี้จังเลย ข้างในเสื้อมีรอยแผลเป็นอันเบ้อเริ่ม ข้าไม่รู้ว่าได้มาอย่างไร บางครั้งก็รู้สึกคันยิบๆ ข้าคิดว่ามันคงจะสำคัญมาก แต่ท่านบอกว่า หากในความทรงจำมีแต่สิ่งไม่ดีมากเกินไป ก็ไม่จำเป็นต้องจดจำ”
เหอจินหมิงตะลึงงัน จ้องมองหน้าอกข้างซ้ายของตันหวายด้วยสายตาซับซ้อน
ตันหวายพึมพำต่อไปว่า “ข้ารู้ดี คนเราต้องก้าวไปข้างหน้า ทว่า หากวันหนึ่งหันหลังกลับแล้วพบว่าชีวิตมีเพียงความว่างเปล่า มันช่างน่าเศร้าเสียนี่กระไร”
ตันหวายย่อมรู้ว่าแผลเป็นนี้ได้มาอย่างไร เจ้าของร่างเดิมตันฝูเซิงเคยรับกระบี่แทนเหอจินหมิง กระบี่เล่มนั้นเกือบพรากชีวิตเจ้าของร่างเดิมไป แต่ว่าเจ้าของร่างเดิมก็ยังรอดมาได้ ตันหวายมักจะคิดว่า บาดแผลสาหัสขนาดนั้นยังรอดมาได้ แล้วทำไมถึงดันตายเพราะถูกคนเลวกลั่นแกล้งกันเล่า
มีคนประเภทหนึ่ง อย่างเช่นเหอจินหมิง มักจดจำเพียงสิ่งเลวร้ายที่ผู้อื่นกระทำต่อตน แต่ไม่เคยจดจำสิ่งดีงามที่ผู้อื่นกระทำแก่ตนเลย จึงได้แต่เตือนใจคนผู้นั้นอยู่เรื่อยๆ ว่า เห็นแล้วหรือยัง ข้าเกือบสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อเจ้า
เป็นดังที่คาด หลังจากตันหวายเอ่ยปากถามเหอจินหมิงก็ไม่กล่าวอะไรอีก เขามองดูตันหวายเอะอะโวยวายจนจบอยู่เงียบๆ ก่อนผุดลุกขึ้นกล่าวอย่างร้อนรน “พรุ่งนี้ค่อยย้ายกลับหอจวินจื่อก็แล้วกัน” กล่าวจบเหอจินหมิงก็หนีเตลิดไปทันที
ประตูเก่าชำรุดส่งเสียงออดแอดบอกลาแขกที่จากไปให้เดินทางปลอดภัย ส่วนตันหวายที่ด้านหลังประตู แววตาทอประกายแจ่มกระจ่าง