ตอนที่ 80 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (3)
ตันหวายไม่ได้บังเอิญเจออาหารของตน ทว่าบังเอิญเจอพังพอนเหลืองที่กินตนเป็นอาหาร
เมื่อเห็นพวงหางใหญ่ที่กวัดแกว่งไปมาของพังพอนเหลือง ตันหวายก็ลูบใบหูกระต่ายของตนที่โผล่ออกมาข้างนอก รู้สึกว่าตนเองช่างอ่อนแอน่าเวทนาทั้งยังไร้ทางสู้
การเป็นภูตไม่ใช่เรื่องง่าย การเป็นกระต่ายที่ไม่มีพลังอาคมเอาแต่คิดจะตอบแทนบุญคุณไปวันๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายยิ่งกว่า
ตันหวายถอยหลังไปสองก้าว ตั้งใบหูของตนขึ้นบนหัว แล้วชี้ปลายแหลมเล็กขนปุกปุยเหนือหัวของตนพลางกล่าว “เจ้าดูสิ แท้จริงแล้วข้าเป็นจิ้งจอก ข้าเล่นแปลงร่างเป็นกระต่ายพอดีน่ะ”
พังพอนเหลืองพลันนิ่งอึ้ง กระต่ายตัวนี้สมองทึบเสียล่ะมั้ง มันจะแยกจิ้งจอกกับกระต่ายไม่ออกเชียวหรือ?
กินกระต่ายโง่คงไม่กระทบสติปัญญาหรอก พังพอนเหลืองลังเลอยู่สักครู่ ตัดสินใจว่ากินเสียเลยแล้วกัน ด้วยสติปัญญาเช่นนี้ หากตนไม่กินก็ย่อมถูกสัตว์อื่นจับกินอยู่ดี อีกทั้งภูเขาร้างลูกนี้ไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตจำพวกภูตมาเนิ่นนานแล้ว มันใกล้จะหิวตายเต็มที
อันที่จริงการบำเพ็ญเซียนในหมู่ปีศาจมีข้อห้ามประการหนึ่ง นั่นก็คือห้ามทำร้ายปีศาจจำพวกภูตระดับเดียวกัน แต่ภูตพังพอนเหลืองเช่นมันไม่คิดอยากเป็นเซียนอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องละเว้นข้อนี้
เมื่อเห็นพังพอนเหลืองย่างกรายใกล้เข้ามาทุกที พวงหางด้านหลังบั้นท้ายตันหวายก็พองโตเป็นก้อนกลมไปแล้ว
“แหวะ~” พังพอนเหลืองทำจมูกฟุดฟิด สูดดมไปทั่วร่างของตันหวาย “ทำไมตัวเจ้าถึงมีกลิ่นสาบจิ้งจอก”
ตันหวายกะพริบตาปริบ ก่อนผลักไสพังพอนเหลืองออกไป ถือโอกาสแอบอ้างบารมีข่มเหงพลางแค่นหัวเราะกล่าว “ข้าบอกไปแล้ว ข้าเป็นจิ้งจอก เจ้ายังไม่เชื่ออีก”
ยามนี้พังพอนเหลืองชักไม่แน่ใจเช่นกันว่าเจ้าตัวตรงหน้านี่เป็นจิ้งจอกหรือกระต่ายกันแน่ แต่ตอนนี้มันหิวโซจริงๆ
“เจ้าสู้ข้าได้ไหมล่ะ?” พังพอนเหลืองถาม
“มะ…หมายความว่าอย่างไร?” ตันหวายสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
พังพอนเหลืองหัวเราะหึๆ “หากว่าสู้ไม่ได้ กระทั่งจิ้งจอกข้าก็กินได้ทั้งนั้น!”
???
ลูกพี่จะกินไม่เลือกขนาดนี้เชียวหรือ?
พังพอนเหลืองแสยะยิ้ม กรงเล็บแทงโผล่ออกมาจากอุ้งมือทั้งสอง พลางกระโจนพุ่งเข้าหาตันหวายด้วยแววตาโหดเ**้ยม
ตันหวายรูม่านตาพลันหดวูบ พอคิดจะใช้กรงเล็บสวนกลับไป ก็มองเห็นแสงเงินสายหนึ่งแล่นวาบผ่าน ตนยังไม่ทันจะตั้งหลักได้ พังพอนเหลืองก็ถูกซัดกระเด็นล้มออกไปหลายก้าว
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งตลบไปทั่วบริเวณ ตันหวายเห็นว่าใต้ร่างของพังพอนเหลืองเริ่มมีเลือดไหลซึม
“เฮ้อ~โจรชั่วหน้าไหน บังอาจก่อเรื่องในต้าฮวงซาน[1]ของข้า? ” สุ้มเสียงของชายหนุ่มอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงดังก้องจากสี่ด้านแปดทิศ ตันหวายฟังจนหวาดสะดุ้ง
สุ้มเสียงนี้…ช่างไพเราะทรงเสน่ห์เหลือเกิน!
พังพอนเหลืองเบิกตาโพลง หลุดปากเอื้อนเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านยังอยู่? ”
สุ้มเสียงนั้นไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ประหนึ่งเทพยดาที่เฝ้ามองฝูงมดปลวกทั้งหลาย
ตันหวายมองกองเลือดที่ไหลนองไม่หยุดใต้ร่างพังพอนเหลือง อยากบอกเหลือเกินว่าลูกพี่หยุดพักสักหน่อยเถอะ ถ้าพี่ยังไม่ไปเดี๋ยวคงได้ม่องเท่งเสียก่อน
พังพอนเหลืองคงจะคิดข้อนี้ได้เช่นกัน จึงวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานอย่างหน้าตาตื่น
รอบด้านกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ได้ยินแต่เพียงเสียงลมพัดหวีดหวิว ทิวทัศน์โดยรอบมองเห็นไกลสุดลูกหูลูกตา ที่นี่ยังคงรกร้างว่างเปล่า
(เมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?) ระบบถาม
ตันหวายหันหลังไปมองศาลเจ้าร้างแวบหนึ่ง กระซิบกล่าวว่า “น่าจะเป็นเทพภูผาของภูเขาร้างลูกนี้ล่ะมั้ง”
ศาลเจ้าแห่งนั้นที่เขาพักอาศัยเมื่อสักครู่น่าจะเป็นศาลเจ้าเทพภูผา แม้จะถูกทิ้งร้างไปแล้ว ทว่าเทพภูผายังคงปกปักรักษาเหล่าสรรพสัตว์ผู้อ่อนแออยู่ที่นี่
ภูเขาที่ไหนไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักต้น ที่นี่ต้องเคยเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นเป็นแน่
ตันหวาย “รอข้ากลับมานะ ถึงเวลานั้น ข้าจะบูรณะศาลเจ้าของท่านเสียใหม่ เพื่อให้ท่านเป็นเทพภูผาที่วิจิตรงดงาม”
ในเวลาเดียวกัน ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งบนต้าฮวงซาน ชายหนุ่มชุดดำเช็ดคราบเลือดที่ซึมออกจากมุมปากตน นัยน์ตาหรี่ปรือพลางพึมพำกล่าว “ข้าเป็นเทพภูผาเสียเมื่อไหร่กัน”
“ศาลเจ้านั่นไม่จำเป็นหรอกเจ้ากระต่ายน้อย” ชายหนุ่มหลับตาลง อ่อนแรงจนต้องเอนร่างของตนพิงกับผนัง “คืนยาในอีกครึ่งหนึ่งมาให้ข้าก็พอแล้ว”
——
[1] ในที่นี้เป็นชื่อภูเขา หมายถึง ภูเขารกร้างอันกว้างใหญ่
ตอนที่ 81 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (4)
เดินลัดเลาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตันหวายเดินมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาของต้าฮวงซาน
ภายในหมู่บ้านมีคนไม่มากนัก แต่เพราะต้าฮวงซานเป็นที่ตั้งของป้อมปราการสำคัญ ที่นี่จึงมีผู้คนขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย ที่นี่ยังมีโรงเตี๊ยมอยู่หลังหนึ่งด้วย
ตันหวายเหลือบมองผ้าเหลืองที่คลุมบนร่างของตน คำนวณว่าโอกาสที่ตนจะถูกขับไล่ไสส่งมีมากเท่าใด
ใบหูกระต่ายของเขาบัดนี้ถูกโพกปิดไว้แล้ว โดยใช้เสื้อผ้าเก่าสองสามชิ้นที่ไหม้เกรียมขาดรุ่งริ่งบนตัวเจ้าของร่างเดิม
ตันหวายแหย่เท้าเข้าไปข้างหนึ่งเป็นการหยั่งเชิง ยังไม่ทันยื่นเท้าอีกข้าง เงาสีเทาสายหนึ่งก็พุ่งวาบเข้ามา ทำเอาเขาตกใจจนถอยกรูดไปสองก้าว
“โอ้~เชิญขอรับนายท่าน ท่านต้องการรับประทานอาหารหรือพักค้างแรมขอรับ? ” เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์[1]เดินเข้ามาทักทาย
ตันหวายโผล่หัวออกมา ซ่อนร่างของตนไว้หลังกรอบประตูอย่างลังเลชั่วครู่ ถามเสียงเบาว่า “เจ้าชอบกระต่ายไหม?”
เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ “???”
“ถ้าหากมีกระต่ายตัวหนึ่ง ใกล้จะหิวตายแล้ว แต่ว่าเจ้ามีอาหาร เจ้าจะช่วยมันไหม?”
เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ลังเลสักครู่ “ช่วยกระมัง”
“เช่นนั้นก็ดี~เช่นนั้นก็ดี~”
ตันหวายโล่งอก พลางกระชับผ้าเหลืองบนร่างของตนเพื่อป้องกันความลับเปิดเผย ประคองเศษผ้าผืนเล็กบนศีรษะไปพลางซอยเท้าถี่ยิบลอดเข้ามาไปพลาง
เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์มองเห็นผ้าเหลืองบนตัวตันหวาย สายตาก็เปลี่ยนไปโดยพลัน รีบแทรกตัวเข้าขวางฝีเท้าของตันหวายไว้ ก่อนกล่าวด้วยความเคลือบแคลงใจว่า “นายท่าน แม้ร้านนี้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ก็ไม่ต้อนรับพวกกินอิ่มแล้วชักดาบนะขอรับ”
ตันหวายเม้มริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าหากกระต่ายหิวเจ้าจะให้อาหารมันกิน?”
พอสิ้นเสียงกล่าว ตันหวายเองก็รู้สึกขายหน้านิดหน่อย นี่ถือเป็นมิติใหม่แห่งวงการกินแล้วชักดาบอย่างแท้จริง
เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ตะลึงงันกับความหน้าด้านหน้าทนของตันหวายเช่นกัน เจ้าพูดถึงกระต่าย แต่ตัวเจ้าไม่ใช่กระต่ายเสียหน่อย!
เมื่อดูออกว่าคนผู้นี้เป็นพวกกินแล้วชักดาบ เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ก็ไม่ยินดียินร้าย เห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์ถูกกินมาจนชินแล้ว
เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ไม่มัวเปลืองน้ำลาย หยิบไม้กวาดที่หน้าประตูขึ้นมาไล่ตะเพิดคนออกไปข้างนอกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ตันหวายถูกไล่ตะเพิดจนผ้าเหลืองบนตัวเกือบจะร่วงหลุดลงมา ทำเอาเขาตกใจรีบกอดหน้าอกเอาไว้
“ช้าก่อน”
เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์กับตันหวายหยุดชะงักพร้อมกัน หันมองไปทางบันไดโดยมิได้นัดหมาย
โรงเตี๊ยมเป็นตึกเล็กสองชั้น หัวมุมฝั่งตะวันตกเฉียงใต้มีบันไดที่แลดูสูงชันอันตรายเชื่อมทะลุถึงห้องพักบนชั้นสอง
ตันหวายมองหน้าคนพูดที่เดินลงมาจากบันไดทีละขั้น ฉับพลันนั้นก็ตะลึงงันไป ดวงตาของคนผู้นี้มีเสน่ห์ยิ่งนัก เค้าโครงใบหน้าคมคายชัดเจน ทว่าดวงตาคู่นั้นเพียรวาดพรรณนาให้เขาดูอ่อนโยนลงหลายส่วน
“โอ้นายท่าน เหตุใดท่านจึงลงมาเล่าขอรับ ร้านเล็กของเรารับรองบกพร่องหรือ?” เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์รีบเข้าไปต้อนรับขับสู้ ลืมแม้กระทั่งไล่ตะเพิดตันหวาย
โหลวชิงอันโบกมือปัดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง จ้องมองตันหวายพลางกล่าวกับเตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ว่า “ส่วนของเขา ข้าจ่ายเอง”
ตันหวายตกตะลึง เกือบจะสะอื้นไห้ด้วยความปิติยินดีอย่างสุดซึ้ง จะมีเรื่องใดที่ทำให้คนซาบซึ้งใจไปกว่าการมีคนเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อยามคุณหิวโหยอีกหรือ? ไม่มีแล้ว ไม่มีอีกแล้วจริงๆ!
อาหารบนโต๊ะมากมายจนแทบไม่มีที่วาง ตันหวายเชมือบข้าวสวยหลายคำอย่างตะกละตะกลาม ยังไม่ทันได้คีบกับข้าว จู่ๆ เนื้อชิ้นหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในชาม
“หือ?” ตันหวายกะพริบตาปริบๆ ขณะสบสายตากับโหลวชิงอัน
โหลวชิงอัน “ข้าคิดว่าอาหารจานนี้ปรุงได้ดีมาก เจ้าชิมดูสักหน่อยก็ได้”
ตันหวายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวขอบคุณเสียงเบา จากนั้นก็เกร็งหนังหัวกินเนื้อเข้าไป การกระทำสนิทสนมอย่างเช่นการคีบกับข้าวให้ ตันหวายไม่คุ้นชินยามเกิดขึ้นกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบเจอกันไม่นานเลยจริงๆ
เมื่อดูออกว่าตันหวายอึดอัดใจ โหลวชิงอันก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ ก่อนวางตะเกียบลงราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หยิบจอกสุราขึ้นรินเองดื่มเอง
ตันหวายเขินอาย จึงรีบกินข้าวเข้าไปเพื่อปิดบังความประหม่า
กลืนเนื้อลงท้องอีกหลายชิ้น ปัญหาท้องอิ่มกายอุ่นคลี่คลายลงพอสมควร ในที่สุดตันหวายก็มีเวลาจดจ่อกับความประหม่าเมื่อครู่นี้สักที
“เอ่อ…เมื่อครู่ อันนั้นคือเนื้ออะไรหรือขอรับ? อร่อยมากทีเดียว” ตันหวายยิ้มแห้ง
สายตาที่เปี่ยมด้วยความใคร่รู้ของตันหวายจับจ้องอยู่ที่โหลวชิงอัน โหลวชิงอันยิ้มกริ่มพลางไล้นิ้วบนจอกสุรา กล่าวว่า “เนื้อกระต่ายอบน้ำแดง คัดสรรจากเนื้อกระต่ายหิมะชั้นดี หลังจากถลกหนังอย่างประณีตก็ค่อยใส่ลงอบน้ำแดงในหม้อ”
ตันหวายเบิกตาค้าง คิดว่าตนอาจจะฟังผิดไป
หันหน้ามามองเนื้อที่ยังกินไม่หมดอย่างสับสนงุนงง ตันหวายสองตาเหลือกขึ้น จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความมืดมิด
——
[1] เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ เป็นคำที่ใช้เรียกบริกรในร้านอาหาร