ตอนที่ 110 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (33)
มือของตันหวายที่คอยดึงกระดาษเหลืองพลันหยุดชะงัก กล่าวเสียงเบาว่า “ไว้ค่อยว่ากัน”
เอ๋อโซ่วนิ่งงันไปชั่วครู่ ทั้งไม่ได้โน้มน้าวต่ออีก ช่วยตันหวายจัดเรียงกระดาษเหลืองสำหรับอธิษฐานขอพรต่อไป
วันที่ซวงหร่านกับอวี๋อิงฉือมาเยี่ยมเยียน ตันหวายเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ตั้งใจว่าจะนอนหลับสักตื่น แม้จะกลายเป็นภูตแล้ว แต่อุปนิสัยเดิมของมนุษย์ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลง วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกติดต่อกันตั้งหลายวัน ตอนนี้รู้สึกอยากพักผ่อนเหลือเกิน
ยังไม่ทันเข้าศาลเจ้าเทพภูผา ตันหวายก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยของคนทั้งสอง
ซวงหร่านกำลังนั่งคุกเข่าบนเสื่อในวัดเทพภูผาขณะวางของเซ่นไหว้พร้อมกับอวี๋อิงฉือ บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่เป็นที่รู้กันอยู่แก่ใจโดยไม่มีผู้ใดแทรกกลางได้
ตันหวายนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะแย้มยิ้ม รู้ว่าในยามนี้พวกเขาคงจะมีใจตรงกันแล้ว
สาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าศาลเจ้าเทพภูผา เสียงฝีเท้าของตันหวายแว่วดังมาถึงหูของสองคนนั้น เรียกให้สองคนนั้นเหลียวหน้ามามองพร้อมกัน
ตอนที่มองเห็นตันหวายซวงหร่านตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าอยู่ที่ศาลเจ้าเทพภูผาแห่งนี้ พวกเราผ่านมาทางนี้พอดี จึงอยากมาเยี่ยมสักหน่อย”
พูดไปซวงหร่านก็เงยหน้าขึ้นชมดูรูปปั้นเซียนจิ้งจอกในศาลเจ้าเทพภูผา กล่าวต่อว่า “ตอนแรกข้านึกว่าพวกเรามาหาผิดที่เสียอีก ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่จริงๆ”
อวี๋อิงฉือที่อยู่ด้านข้างกุมขมับ ฉุดซวงหร่านเอาไว้แล้วกล่าว “ท่านกุนซือเป็นจิ้งจอกอย่างไรเล่า”
แม้ว่าซีโจวจะไม่มีอยู่แล้ว ทหารของพวกเขาล้วนถูกกลบฝังร่างในสนามรบ แต่เขายังคงเรียกโหลวชิงอันว่าท่านกุนซืออย่างเคยชิน
ซวงหร่านพลันตะลึงงัน เอามือเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วนใจ พลางเอ่ยขอโทษอย่างเก้อเขินเป็นพัลวัน
ตันหวายส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
อวี๋อิงฉือกุมขมับ ก่อนจูงมือของซวงหร่านด้วยสีหน้ารักใคร่เอ็นดู เสมือนว่าเคยชินกับการล่วงเกินทุกที่ทุกเวลาของเขาไปเสียแล้ว
ตันหวายมองคนทั้งคู่สัพยอกกัน จู่ๆ อารมณ์ที่เรียกว่าอิจฉาริษยาก็เข้าครอบงำเขาไว้
(ท่านเจ้าของร่างอย่าไปดูเลย ขืนดูต่อไปท่านคงได้กลายเป็นผีอาฆาต)
ตันหวายไม่สนใจมัน พอเงยหน้ามองรูปปั้นจิ้งจอกของโหลวชิงอันก็รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว
อวี๋อิงฉือมองไปยังตันหวาย เห็นเขาอยู่ลำพังคนเดียวก็รีบเอ่ยถาม “ท่านกุนซือเขาไปไหนเสียเล่า?”
เรื่องราวของโหลวชิงอันนอกจากตันหวายกับเอ๋อโซ่วแล้วก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ดังนั้นอวี๋อิงฉือกับซวงหร่านจึงคิดมาโดยตลอดว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันจนบัดนี้
“เขา…” ตันหวายส่ายศีรษะ “เขาไปที่อื่นแล้ว ไว้ข้าจัดการธุระในต้าฮวงซานเสร็จสิ้นค่อยตามไปหาเขา”
ฝ่ายอวี๋อิงฉือไม่ได้คิดมากมายนัก ในความคิดของพวกเขา โหลวชิงอันคือตัวตนอันเป็นอมตะ เขาคือราชาปีศาจผู้สืบสายโลหิตบรรพกาล เว้นเสียแต่ว่าเขาสมัครใจ มิเช่นนั้นใครก็บังคับเขาไม่ได้
ตันหวายคลี่ยิ้มโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ตันหวายเดิมหวังจะรับรองอีกสักหลายวัน ทว่าถูกอวี๋อิงฉือปฏิเสธอย่างสุภาพ
“พวกเราแค่บังเอิญผ่านทางมา ยามนี้ยังต้องรีบไปชิงโจวให้ทันการ” อวี๋อิงฉือยิ้มกล่าว “บ้านเดิมของตระกูลอวี๋อยู่ที่นั่น ยามนี้มิได้รับตำแหน่งในราชสำนักอีกแล้ว จึงตั้งใจจะกลับบ้านเกิดไปเยี่ยมญาติพี่น้อง”
ตระกูลอวี๋เป็นตระกูลพ่อค้าอันเลื่องชื่อในแคว้นจิ่วเทียน มีเรื่องเล่าขานว่าพวกเขามีภูเขาทองคำลูกหนึ่ง แม้ไม่รู้จริงเท็จเช่นไร แต่ก็เพียงพอจะอธิบายว่าตระกูลอวี๋ร่ำรวยเพียงใด
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตันหวายก็ไม่ได้รั้งไว้ เพียงขอให้พวกเขาเดินทางระมัดระวัง
“เรื่องนี้เจ้าวางใจเถิด” ซวงหร่านตบหน้าอกแล้วกล่าว “ชาวเผ่ากระต่ายหิมะผู้องอาจเช่นข้า ย่อมปกป้องมนุษย์ผู้ดุร้ายเช่นเขาได้อยู่แล้ว”
อวี๋อิงฉือเลิกคิ้วสูง ไม่ได้โต้แย้งอะไร
ตอนที่คนทั้งสองจากไปตันหวายส่งพวกเขาลงจากเขา พอกลับมาอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว ตันหวายเดินเขาศาลเจ้าเทพภูผาอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง มองชาวเขาที่ยังอธิษฐานขอพรอยู่หน้าศาลเจ้า พลางส่ายศีรษะอย่างจนใจ
เอ๋อโซ่วเห็นเขากลับมาก็พุ่งถลามาอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ร้อนรนใจจนแทบจะน้ำตาไหลพราก
“ฮือๆๆ เจ้ากลับมาได้สักที โหลวชิงอันหายไปแล้ว”
ตันหวายตะลึงงัน ถามด้วยสีหน้าซีดเผือด “หมายความว่าอะไรหายไปแล้ว?”
เอ๋อโซ่วเห็นสีหน้าของตันหวายก็ตกใจกลัว ลืมแม้กระทั่งร้องไห้ กล่าวอย่างลนลานว่า “ตอนกลางวันข้ากำลังเก็บกระดาษอธิษฐานของพวกมนุษย์ พอข้าเก็บกวาดเสร็จ เขาก็หายไปแล้ว”
ตันหวายเม้มริมฝีปาก หมุนตัวหันหลังด้วยใบหน้าเย็นเยือก “ไปตามหากับข้า”
เอ๋อโซ่วพยักหน้าอย่างห่อเ**่ยว ติดสอยห้อยตามอยู่ข้างหลังตันหวายต้อยๆ
“คือว่า…” เอ๋อโซ่วกล่าวอึกอักว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลนักหรอก ตอนนี้เป็นฤดูวสันต์ เขาอาจจะแค่ไปข้างนอก…”
เอ๋อโซ่วพูดไปได้ครึ่งประโยคก็เงียบเสียง สายตาของตันหวายมองจนมันอกสั่นขวัญผวา
ตอนที่ 111 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (34)
เอ๋อโซ่วอาศัยอยู่ในโลกของสรรพสัตว์มาโดยตลอด มันไม่อาจเข้าใจพวกมนุษย์ที่ครองคู่กันตราบชั่วนิรันดร์อย่างแท้จริง
ในสายตาของมัน วสันต์ผ่านผันเหมันต์มาเยือน ทุกปีล้วนเป็นการเริ่มต้นใหม่ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะตบตีเพื่อสิ่งที่เรียกว่าความรักแต่อย่างใด
แต่พอเห็นสีหน้าของตันหวาย เอ๋อโซ่วก็รู้ว่าคำพูดของมันอาจจะทำให้ตันหวายโกรธเคือง ในเมื่ออาจจะทำให้โกรธเคือง เช่นนั้นสู้ไม่พูดเสียเลยจะดีกว่า
อันที่จริงแล้วตันหวายไม่คิดว่าเอ๋อโซ่วจะพูดความจริง ต่อให้กลายเป็นสัตว์ที่ไร้ซึ่งรากวิญญาณ ตันหวายก็ไม่เชื่อว่าโหลวชิงอันจะทรยศหักหลังเขา
ต่อให้ทรยศหักหลัง นี่ก็ไม่ใช่เขา เขาคนนั้นกำลังเฝ้ารอตนอยู่ในโลกอื่นแล้วอย่างแน่นอน ตันหวายตระหนักรู้เสมอ
ตันหวายตามหาเจ้าจิ้งจอกน้อยจนพบบนไหล่เขาต้าฮวงซาน เจ้าจิ้งจอกน้อยเนื้อตัวมอมแมม ขาข้างหนึ่งถูกกับดักหนีบรัดจนเลือดไหลนอง เจ็บปวดจนมันส่งเสียงร้องโหยหวน
ตันหวายมองเห็นภาพเบื้องหน้าก็ปวดใจแทบเจียนตาย รีบปรี่เข้าไปปล่อยเจ้าจิ้งจอกออกจากกับดักแล้วอุ้มมันไว้ในอ้อมแขน
เห็นได้ชัดว่าเอ๋อโซ่วเดือดดาลกับภาพตรงหน้าเช่นกัน พลางขู่คำรามใส่ที่โล่งอันว่างเปล่า
“เอ๋อโซ่ว?” สุ้มเสียงหยอกเย้าดังแว่วมา แฝงด้วยเจตนาร้ายเต็มเปี่ยมพลางกล่าว “เจ้ามีเดรัจฉานพรรค์นี้อยู่ข้างกายเชียวรึ?”
เอ๋อโซ่วที่ถูกเรียกว่าเดรัจฉานเป็นครั้งแรกพลันอึ้งตะลึงงัน ก่อนพุ่งกระโจนเข้าหาสุ้มเสียงนั้นทันทีทันใด
ใครจะรู้ว่าพอเหินทะยานขึ้นกลางอากาศ ก็ถูกใครบางคนตวัดฝ่ามือฟาดกลับลงมา เอ๋อโซ่วร่วงตกลงบนพื้น หน้าผากโขกกระแทกกับโขดหินบนพื้นจนเลือดตกยางออกในฉับพลัน
“ยามปกติพูดเป็นแต่เรื่องโกหก พละกำลังก็อ่อนแอถึงเพียงนี้ ยังสมควรเรียกว่าอสูรเทพบรรพกาลอีกหรือ?” ชายหนุ่มไม่แยแส
ตันหวายเม้มปาก สะบัดมือรวบตัวเอ๋อโซ่วกับจิ้งจอกน้อยเข้ามาไว้ในแขนเสื้อ
ตันหวาย “ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร มัวเล่นลิงหลอกเจ้าเช่นนี้ สู้ปรากฏตัวให้เห็นเสียเลยดีกว่า”
“โอ้ ไม่เจอกันนาน เจ้าหัดปล่อยจิตสังหารพรรค์อย่างนี้แล้วหรือนี่ ข้านึกว่าเจ้าจะโง่เง่าไปจนตายเสียอีก”
คนในมุมมืดกระโดดออกมา เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี บนหน้าผากมีลวดลายสีแดงเข้มอยู่แห่งหนึ่ง ดูท่าทางไม่น่าหาเรื่องเท่าไหร่นัก
ชายหนุ่มพินิจมองตันหวายหลายรอบ สายตาจับจ้องอยู่ที่แขนเสื้อของเขาพลางยิ้มเยาะ “จิ้งจอกจับชาวเผ่าเรากินไปตั้งเท่าไหร่ เจ้ากลับทรยศเผ่าพันธุ์กระต่ายหิมะ คลุกคลีตีโมงอยู่กับจิ้งจอกน่ะรึ?”
ตันหวายหรี่ตา นึกอยู่ครึ่งวันกว่าจะนึกออกว่าคนตรงหน้าเป็นใคร คนผู้นี้คือจ่าฝูงของเผ่าพันธุ์กระต่ายหิมะในปัจจุบัน อุปนิสัยชอบการต่อสู้ ดูแคลนชาวเผ่าที่พลังอาคมต่ำต้อย แต่ก่อนคอยกีดกันเจ้าของร่างเดิมอยู่บ่อยครั้ง
เจ้าของร่างเดิมเป็นคนไร้เดียงสา จดจำเพียงความดีของผู้อื่น แต่ไม่เคยจดจำความชั่วของผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่คาดคิดว่าจะต้องสั่งสอนคนที่เคยรังแกเขา
ตันหวายเก็บเอ๋อโซ่วกับจิ้งจอกน้อยให้เรียบร้อย จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างท้าท้ายเต็มที่
“เจ้าคิดว่าพลังอาคมของข้าในตอนนี้สู้เจ้าไม่ได้รึ?” ตันหวายชี้ไปยังพลังปราณที่เริ่มแตกหน่อออกมาด้านหลังพลางกล่าว “บัดนี้ข้าคือเทพภูผาผู้ปกปักรักษาต้าฮวงซาน ประชาชนต่างเคารพบูชา เจ้าคิดว่าเจ้ายังสู้ข้าได้จริงๆ หรือ?”
ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด รู้ดีว่าสิ่งที่ตันหวายกล่าวเป็นความจริง ก่อนที่เขาจะมาได้ยินว่าพลังอาคมของตันหวายในยามนี้ไม่อาจประมาทได้เลย
ตั้งแต่ตันหวายมาถึงที่นี่ เขาก็สัมผัสได้ถึงลมปราณอันแกร่งกล้า จึงเชื่อคำเล่าลือเหล่านี้อยู่หลายส่วน ยามนี้เมื่อเห็นท่าทีไม่เกรงกลัวสิ่งใดของเขาก็เชื่ออย่างหมดใจแล้ว
ตันหวายมองออกว่าชายหนุ่มล่าถอย แต่ยังไม่อยากจบเรื่องจบราวทั้งอย่างนี้ กล่าวตรงๆ ว่า “เอาอย่างนี้ดีไหม เจ้ากับข้าไม่ต้องใช้อาคม แค่ประลองกันตัวต่อตัวสักตั้ง ว่าอย่างไร?”
ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย
ตันหวายกล่าวต่อ “หากเจ้าไม่วางใจจริงๆ พวกเราจะไปสุญญภูมิก็ได้”
สุญญภูมิมีอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ภูตผีปีศาจเทวดา ขอเพียงอาศัยพลังอาคมก็สามารถเข้าสู่สุญญภูมิได้ดั่งใจนึก เมื่อเข้าไปแล้วพลังอาคมของทุกคนย่อมล้วนอันตรธานไป
ชายหนุ่มชุดดำหรี่ตา แค่นหัวเราะหึพลางเชิดคางขึ้นสูง “เจ้าช่างไม่รู้ที่ตายเสียจริงๆ”
ตันหวายหรี่ตา ร่ายมนต์เข้าสู่สุญญภูมิในทันที
ชายหนุ่มเห็นเขาเข้าไปแล้วก็ไม่ลังเลอีก รีบตามเขาเข้าไปโดยพลัน
ยามเพิ่งเข้าสู่สุญญภูมิมักจะเกิดอาการวิงเวียนอย่างไม่คุ้นชิน ชายหนุ่มหยัดยืนให้มั่นด้วยความมึนงง ก่อนหมัดอันหนักหน่วงจะซัดลงบนใบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว