ตอนที่ 138 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 26)
กงฉือติดตามหน่วยกู้ภัยขึ้นเขามาด้วย เขาคืออัลฟ่าผู้แข็งแกร่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งเต็มใจทำเรื่องที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้
เขาเป็นนักศึกษาเอกธรณีวิทยา คุ้นเคยกับสถานที่แบบนี้อยู่แล้ว ก็เลยติดตามหน่วยกู้ภัยขึ้นเขามาด้วย
คนที่ขึ้นมาบนเขาส่วนใหญ่เสียชีวิตแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งผู้รอดชีวิต ถึงอย่างไรก็ต้องขึ้นมาลาดตระเวนค้นหา
เส้นทางบนภูเขาเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน เขาข้อเท้าแพลงขณะกู้ชีพจนติดตามต่อไปไม่ไหว จึงตกลงกับหน่วยกู้ภัยว่าไว้รอพวกเขาลงมาก่อนค่อยรับตัวเขาไป เพียงแต่ลมฟ้าอากาศยากจะคาดการณ์ ใครจะรู้ว่าต้องเผชิญพายุหิมะอีกระลอก เส้นทางก่อนหน้านี้ถูกกลบมิดหมดแล้ว พวกเขาจะตามหาเขาเจอหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ตันหวายเดินเข้าไปใกล้เขา แตะข้อเท้าของกงฉือที่บวมเป่งเป็นลูกขนุนอย่างเบามือ เรียกให้กงฉือส่งเสียงหอบหายใจหนักหน่วงออกมา
“เจ็บเหรอ?” ตันหวายถาม
อันที่จริงนี่เป็นคำถามไร้สาระ จะไม่เจ็บได้อย่างไร แช่แข็งอยู่ท่ามกลางหิมะจนเท้าบวมขนาดนี้ต้องทรมานสักแค่ไหนกัน
“ไม่เจ็บจริงๆ ครับ” กงฉือคลี่ยิ้ม “ผมลุกขึ้นยืนได้สบายมาก แค่รู้สึกขี้เกียจก็เลยไม่อยากลุก ถ้าคุณเป็นห่วงเดี๋ยวผมยืนให้ดูก็ได้”
พูดจบกงฉือก็เอามือยันพื้น ตั้งใจจะลุกขึ้นยืนให้เขาดูจริงๆ
ตันหวายหอบหายใจแรงขึ้น กดไหล่ของกงฉือเอาไว้แล้วดันร่างเขาลงไป ก่อนจะก้มลงประกบจูบอย่างดุดัน
กงฉือพลันอึ้งตะลึง หลับตาลงจูบตอบอย่างเร่าร้อน เลื่อนมือไปตรึงท้ายทอยของตันหวายพลางออกแรงกดเบาๆ ช่วงชิงความได้เปรียบของตนกลับคืนมา
จูบครั้งนี้ร้อนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา ถึงแม้พวกเขาจะเคยจูบดูดดื่มเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ว่าครั้งนี้เอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ เปี่ยมล้นไปด้วยความรักทะนุถนอมด้วยชีวิต
ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่ง พวกเขาอาจต้องพรากจากกันเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ นานา ดังนั้นทุกรอยจูบจึงล้วนประณีตบรรจง เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้
เมื่อจูบนี้เสร็จสิ้นลง ตันหวายก็ซบอยู่ในอ้อมกอดของกงฉือพลางหอบหายใจแฮก กล่าวว่า “ตอนพวกเรากลับไป คุณค่อยตีตราผมก็แล้วกัน”
กงฉือนิ่งอึ้งไป มือที่จับหัวไหล่ของตันหวายออกแรงบีบเบาๆ ก่อนเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น “ตกลง”
สถานการณ์ที่นี่ไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขาพะเน้าพะนอกันนานนัก อันที่จริงเมื่อเห็นว่ากงฉือยังมีชีวิตอยู่ตันหวายก็พอใจแล้ว ตอนนี้เขาคิดเพียงแค่ว่าจะพากงฉือออกไปจากนรกขุมนี้อย่างไร
ตันหวาย “ระบบ ขอซื้ออุปกรณ์เคลื่อนย้ายฉับพลันอีกอันหนึ่ง”
(ท่านเจ้าของร่าง ขอแจ้งให้ท่านทราบว่าอุปกรณ์เคลื่อนย้ายฉับพลันท่านสามารถใช้ได้คนเดียว)
ตันหวายตะลึงจนอ้าปากค้าง “อย่างอื่นล่ะ?”
(ท่านเจ้าของร่าง ประกาศภารกิจลับ นำทางกงฉือลงจากภูเขา สารภาพกับเขาว่าท่านรักเขาด้วยใจจริง)
ตันหวายขมวดคิ้ว ทำไมจู่ๆ ถึงประกาศภารกิจลับในเวลาแบบนี้ แถมยังต้องบอกให้กงฉือรู้ว่าตนรักเขาด้วยใจจริง กงฉือไม่รู้ว่าตนรักเขาอย่างนั้นหรือ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เขาแสดงออกอย่างชัดเจนมาโดยตลอด
“คุณพูดกับใครอยู่หรือ?” กงฉือถาม เนื่องจากลุกขึ้นยืนไม่ไหวและตันหวายหันหน้าคนละทางกับเขา เขาจึงเอาแต่รู้สึกเหมือนว่าตันหวายกำลังพูดคุยกับคนอื่น
ตันหวายส่ายศีรษะ ก่อนจะหันหลังย่อตัวลงให้กงฉือ “ขึ้นมาสิ”
“ทำอะไรครับ?” กงฉือมองแผ่นหลังบอบบางตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
“ผมจะแบกคุณลงไป”
“พูดเป็นเล่นไปได้” กงฉือขมวดคิ้ว “คุณจะแบกผมไหวได้อย่างไร ผมเป็นอัลฟ่านะ”
ตันหวายไม่เหลียวหลังมามอง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “นักเรียนกง คุณกำลังดูถูกโอเมก้าอยู่หรือไง?”
“เปล่าครับ” กงฉือจนปัญญา “ผมแค่ทนเห็นโอเมก้าของผมตกระกำลำบากขนาดนี้ไม่ได้ ถึงกับต้องแบกผมลงไปเอง”
เขาพูดว่าโอเมก้าของผม ช่างปลอบประโลมจิตใจของตันหวายได้ชะงัดนัก ตันหวายจึงเอ่ยอย่างค่อนข้างอารมณ์ดีว่า “ขึ้นมาเถอะนักเรียนกง ผมรอให้คุณลงเขาไปตีตราผมอยู่นะ”
ตอนที่ 139 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 27)
ตันหวายมักจะแสดงความเข้มแข็งในแบบที่โอเมก้าไม่มีอยู่เสมอ นอกจากช่วงระยะพิเศษที่อ่อนแอจนทำให้กงฉือปวดใจ ช่วงเวลาที่เหลือเมื่อกงฉืออยู่ต่อหน้าเขากลับดูเหมือนเพื่อนตัวน้อยที่ต้องคอยเอาอกเอาใจเสียมากกว่า
กงฉือเกาะอยู่บนหลังของตันหวาย พยายามจะทำตัวให้เบาที่สุด ฉะนั้นจึงคล้อยตามการเคลื่อนไหวของตันหวายอย่างว่าง่ายโดยไม่กระดุกกระดิก
เจ้าของร่างเดิมชอบออกกำลังกาย สมรรถภาพร่างกายจึงค่อนข้างแข็งแรง แม้ขณะที่แบกกงฉือจะเหนื่อยล้า แต่โชคดีที่ยังพออดทนไหว
“ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าภูเขาฉางเสวี่ยใหญ่มากจริงๆ”
ตันหวายกะพริบตาปริบ ไม่ได้โต้ตอบอะไร กล่าวเพียงว่า “นอนพักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวตื่นมาพวกเราก็ออกไปได้แล้ว”
ตันหวายไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด กงฉือบอกพิกัดตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ตอนนี้อย่างคร่าวๆ กับเขาแล้ว ไม่สูงเท่าไหร่นัก หากไม่โชคร้ายถึงขนาดต้องเผชิญพายุหิมะหรือหิมะถล่มอีกหน พวกเขาก็คงจะฝ่าออกไปได้
กงฉือรับรู้ข้อนี้เช่นกัน เขาเกาะอยู่บนหลังตันหวายอย่างสบายใจ เดิมทีอยากจะชวนตันหวายคุยมากกว่านี้ แต่กลับเผลอม่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ภูเขาหิมะหนาวเย็นจริงๆ มันสามารถทำให้คนมากมายต้องฝังกระดูกไว้ที่นี่ ทำให้คนคนหนึ่งต้องแข็งตายทั้งเป็น
ตอนที่กงฉือสะลึมสะลือเบิกตาขึ้นก็มองเห็นแต่เพียงสีขาว ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะรู้สึกตัวว่าอยู่ในห้องพักผู้ป่วย
ศาสตราจารย์นั่งอยู่ข้างๆ กงฉือ หมุนมวนบุหรี่ที่ไม่ได้จุดไฟในมือเล่นอย่างอารมณ์ดี
พอเห็นกงฉือตื่นแล้ว ศาสตราจารย์ก็วางมือที่ถือบุหรี่ไว้ด้านข้าง เอ่ยขึ้นเบาๆ “ตื่นแล้วหรือ?”
กงฉือเม้มริมฝีปาก พยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง “ฮั่วหมิงเยว่อยู่ที่ไหนครับ?”
“แกหมายถึงโอเมก้าที่แบกแกกลับมา?” ศาสตราจารย์ยิ้มกริ่มกล่าว “เขาเป็นโอเมก้าของแกหรือ?”
ตันหวายไม่เอ่ยตอบ ก่อนจะฉวยเอามวนบุหรี่จากมือศาสตราจารย์เหวี่ยงทิ้งลงในถังขยะ
“ไอ้เด็กเปรตนี่!” ศาสตราจารย์เป่าหนวดถลึงตาใส่เขา “ฉันไม่สูบแกยังจะแย่งบุหรี่ฉันไปอีก!”
กงฉือเอามือนวดหว่างคิ้ว ถามอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ฮั่วหมิงเยว่ไปไหนแล้วครับ?”
ศาสตราจารย์หัวเราะหึๆ ก่อนผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยันไม้เท้าเดินกะโผลกกะเผลกออกไปข้างนอก
“อาจารย์!” ตันหวายตื่นตกใจ รีบก้าวลงมาจากเตียงแล้ววิ่งไล่ตามศาสตราจารย์ จนกระทั่งประคองแขนเขาไว้ได้จึงค่อยผ่อนลมหายใจ ขมวดคิ้วกล่าว “อาจารย์ขายังไม่หายดี ทำไมถึงเดินเหินอีกล่ะครับ”
ศาสตราจารย์โบกมือไปมา กล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า “ฉันแข้งขายังไม่หายดี แต่ก็ต้องออกกำลังเสียบ้าง แกว่าถ้าฉันไม่ออกกำลังจะไม่พิการไปก่อนหรือไง?”
กงฉือพยักหน้าโดยไม่กล่าวตอบ แต่กลับประคองศาสตราจารย์ให้มั่นคงยิ่งขึ้น
ภายในโถงทางเดินของโรงพยาบาลมีผู้คนขวักไขว่ ทว่ากลับเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ผู้คนข้างในนี้ดูท่าทางเร่งรีบ หน้าตาไม่ฉายแววห่อเ**่ยวก็ฉายแววกังวล และมีอีกหลายคนที่สีหน้าเบื่อหน่ายอย่างสุดซึ้ง
“จริงสิ แกอยากหาเจ้าโอเมก้าน้อยที่แบกแกกลับมาไม่ใช่หรือ” ศาสตราจารย์ชี้ไปยังห้องที่อยู่ด้านข้างกงฉือ ยิ้มกล่าว “หน่วยกู้ภัยเจอตัวพวกแกระหว่างทาง เจ้าโอเมก้าน้อยอาการทรุดหนักไปแล้ว โชคดีว่าเจอตัวพวกแกทันเวลา ไม่อย่างนั้นแกกับเจ้าโอเมก้าน้อยนั่นคงไม่รอดแล้ว”
“เขาชื่อฮั่วหมิงเยว่ครับ” กงฉือเอ่ยขึ้นทันควัน
“ฮั่วหมิงเยว่?” ศาสตราจารย์หัวเราะ “ชื่อนี้ฟังคุ้นหูดีแท้”
กงฉือตอบรับเสียงแผ่วเบาโดยไม่กล่าวอะไร
กงฉือพาศาสตราจารย์มาส่งถึงห้องโถงรับรอง พอทักทายรุ่นพี่ทุกคนเสร็จแล้วก็รีบกระวีกระวาดย้อนกลับไปทันที
“อ้าว เพิ่งตื่นไม่ใช่เหรอไอ้น้อง จะรีบไปทำอะไรกันเล่า?”
กงฉือชะงักไปชั่วครู่ ไม่ได้หยุดฝีเท้าลง
ศาสตราจารย์ยิ้มพลางโบกมือไปมา “พวกแกอย่าแหย่เขานักเลย ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาคงได้อดแต่งเมียเข้าจริงๆ”
_________
ห้องพักผู้ป่วยเป็นห้องแยกส่วนตัว ข้างในกว้างขวางแต่มีเพียงแค่เตียงเดียว ตันหวายนอนเอามือกุมหัวอยู่บนเตียง ลืมตาขึ้นจ้องมองเพดานห้อง กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่ากงฉือตื่นแล้วหรือยัง?”
ระบบหัวเราะเหอะๆ (ท่านไปดูเองเสียก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือ?)
“คุณคิดว่าผมไม่อยากไปดูหรือไง?” ตันหวายเบ้ปาก “ผมเพิ่งเห็นอาจารย์ของเขาไปเยี่ยมไข้เขาเมื่อกี้นี้ ในเมื่อผู้ใหญ่เข้าไปแล้ว ผมเลยไม่เข้าไปยุ่มย่ามดีกว่า”
(ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย ท่านรู้จักผู้ใหญ่ผู้น้อยกับเขาด้วย?)
“ไสหัวไปซะ!” ตันหวายฮึดฮัด คิดว่าระบบของตนหากไม่ชวนทะเลาะสักวันคงจะลงแดงตายจริงๆ
กงฉือยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้าประตูห้อง ไม่รู้เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขามักจะเห็นว่าฮั่วหมิงเยว่พูดพึมพำกับตัวเอง ราวกับมีใครคุยตอบโต้กับเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ชิ้นส่วนความฝันมากมายนับไม่ถ้วนผุดวาบขึ้นในหัว แต่ทำอย่างไรกงฉือก็นึกไม่ออกว่าเคยมีภาพตอนเขาพึมพำกับตัวเองหรือเปล่า
เมื่อครุ่นคิดดูแล้วพบว่าตนเองคิดไม่ออก กงฉือก็ไม่ได้ดันทุรัง ก่อนจะเคาะประตูเดินเข้าไปในห้อง
ตันหวายปิดปากเงียบทันควัน พอเห็นว่าเป็นกงฉือก็พลันดีอกดีใจ ดีดตัวลุกพรวดลงจากเตียง สาวเท้าเดินไปอยู่ตรงหน้ากงฉือพลางจับมือเขาไว้ กล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ตื่นแล้วเหรอ ผมว่าจะไปเยี่ยมคุณอยู่พอดีเลย”
กงฉือกระดกมุมปาก ข่มใจตัวเองไม่ให้ยิ้มกว้างจนปากฉีกถึงใบหู แสร้งวางมาดนิ่งขรึมตอบว่า “อืม”
ตันหวายกลอกตาทีหนึ่ง คิดว่าเพื่อนตัวน้อยของตนแสดงละครเก่งเสียจริง เห็นชัดๆ อยู่ว่ายิ้มจนแก้มแทบปริแล้ว กลับยังแกล้งตีหน้าขรึมอย่างนั้นอยู่อีก
ตันหวายบีบแก้มของกงฉือ เงยหน้าขึ้นหอมแก้มเขาทีหนึ่งแล้วยิ้มกริ่มถาม “เจ้าหนู เมื่อไหร่คุณจะตีตราผมสักทีล่ะ?”
พอสิ้นเสียงกล่าว ตันหวายก็เห็นเจ้าหนูน้อยแสนนิ่งขรึมของเขาหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันใด