Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 6

ตอนที่ 6

ตอนที่ 6 ความวู่วามของหัวหน้าการสาม

ณ ห้องสอบสวนผู้บังคับบัญชาหน่วยที่หนึ่ง สำนักงานตำรวจนครบาลเขตพื้นทมิฬ…

ฉินอวี่หมุนปากกาในมือพลันหันมองหญิงสาวก่อนถาม “หายตกใจหรือยังครับ?”

“อืม”

หญิงสาวลูปผมของหล่อนด้วยสีหน้างุนงงและซีดเซียวเพราะตกใจเหตุการณ์ก่อนหน้า

ฉินอวี่มองอีกฝ่าย เขาเดินไปกดน้ำอุ่นมาแล้วยื่นให้หล่อน “ดื่มน้ำอุ่นหน่อยสิครับ เผื่อว่าจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้ และถ้าคุณบาดเจ็บตรงไหนก็บอกได้เลยครับ ทางกรมตำรวจจะพาคุณไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเอง”

“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไรร่างกายของฉันสบายดี…” หญิงสาวผู้นี้จิบน้ำอุ่นก่อนจะกล่าวขอบคุณฉินอวี่อย่างสุภาพ เธอสูดลมหายใจลึก “เริ่มถามได้เลยค่ะ”

“ครับ” ฉินอวี่นั่งลงและเปิดสมุดบันทึก “ชื่ออะไรครับ?”

“หลินเหนียนเล่ย”

“อายุล่ะครับ?”

“ยี่สิบ”

“เพศ?”

“?” หลินเหนียนเล่ยเงยหน้ามองคุณตำรวจตรงหน้า “ไม่รู้จริงๆ เหรอคะ?”

“ผมจำเป็นต้องถามครับ…เพราะมีการบันทึกวีดีโออยู่ระหว่างที่สอบปากคำ” ฉินอวี่อธิบายด้วยรอยยิ้ม

“หญิง”

“ที่อยู่ปัจจุบัน”

“…” หลินเหนียนเล่ยถอนหายใจ “เมืองเฟิงเป่ย”

“คุณมาจากเมืองเฟิงเป่ยเหรอ?”

“ค่ะ”

“…คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ? มาทำงานหรือย้ายบ้าน?” ฉินอวี่ไม่มีประสบการณ์สอบปากคำมาก่อน ทว่าเขาอ่านคู่มือแนะนำการปฏิบัติหน้าที่ตำรวจอย่างถี่ถ้วน จึงทำให้การซักถามครั้งนี้เป็นไปได้อย่างราบรื่น เนื่องจากนี่คือการสอบปากคำครั้งแรก เขาจึงตั้งใจจะทำทุกอย่างตามกฎระเบียบและไม่ผิดพลาด

“ทำงาน”

“…!”

หลังจากสอบถามข้อมูลทั่วไปครบแล้ว ฉินอวี่จึงเริ่มถามเกี่ยวกับรายละเอียดของคดี “คุณถูกลักพาตัวมาจากที่ไหนครับ? แล้วคุณทราบหรือไม่ว่าใครคือตัวการหลักในเหตุการณ์ครั้งนี้?”

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฉัน…” ขณะที่หลินเหนียนเล่ยกำลังตอบคำถาม ทันใดนั้น! ผู้กำกับหลี่พร้อมด้วยแมวเฒ่าและคนอื่นๆ ได้เปิดประตูเข้ามาในห้องสอบสวนอย่างกระทันหัน

ฉินอวี่มองไปยังพวกเขาก่อนจะยืนขึ้น “ผู้กำกับหลี่!”

“กำลังสอบปากคำอยู่เหรอ?” ผู้กำกับหลี่ถาม

“ครับ! ผมกำลังถามรายละเอียดของคดี”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณหลิน” ผู้กำกับหลี่เอื้อมมือไปข้างหน้าอย่างสุภาพเพื่อทักทายและแนะนำตัวกับหลินเหนียนเล่ย “ผมเป็นผู้กำกับของสำนักงานตำรวจแห่งนี้”

“ยินดีที่ได้พบค่ะท่าน” หลินเหนียนเล่ยตอบขณะจับมือทักทายผู้กำกับหลี่

“คนจากสถานีโทรทัศน์มารอรับคุณอยู่…ไปได้เลยครับ” ผู้กำกับหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วงเรื่องคดี ทางกรมตำรวจรับปากว่าจะนำคนร้ายมาเข้าคุกให้ได้ครับ!”

เมื่อฉินอวี่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าเขาก็ได้แต่ยืนงง ผู้กำกับหลี่ไม่ได้รู้รายละเอียดของคดี ทว่าเขากลับพูดคุยกับหญิงสาวคนนี้เกี่ยวกับรูปคดีอย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งสั่งปล่อยตัวหล่อนทั้งๆ ที่การซักพยานยังไม่เสร็จสิ้น…ฉินอวี่จึงมองไปยังหล่อนอีกครั้งด้วยสายตาแปลกใจ

หล่อนเป็นคนรูปร่างดี…สูงราวๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ถึงแม้ใบหน้าของหล่อนจะเปอะเปื้อนพร้อมกับผมที่ยุ่งเหยิง ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบดบังความสวยของหล่อนได้

แมวเฒ่าเคยพูดเอาไว้ว่าหล่อนสวยราวกับจอนจียอน ทว่าฉินอวี่กลับคิดอีกแบบ…หล่อนสวยกว่าดาราคนนั้นเสียอีก…อาจเป็นเพราะเธอมีดวงตากลมโต ผิวขาวใสเปล่งปลั่ง…ซึ่งในปัจจุบันการเลี้ยงลูกสาวให้เติบโตมาด้วยผิวพรรณและบอบบางเช่นนี้มันเป็นไปได้ด้วยหรือ?

แน่นอน…ผู้กำกับหลี่ต้องมีเหตุผลที่ถ่อมายังห้องสอบสวนอีกทั้งปล่อยตัวหลินเหนียนเล่ยไปง่ายๆ

หลังจากบทสนทนาจบลง ผู้กำกับหลี่และหลินเหนียนเล่ยได้เดินลงบันไดไปด้วยกัน

ห้านาทีต่อมา…

ชายสามคนลงจากรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมคุยกับผู้กำกับหลี่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพาตัวหลินเหนียนเล่ยไป

ฉินอวี่มองไปยังใบอนุญาตที่ติดอยู่กระจกหน้ากระจกรถ เขารู้ทันทีว่ารถคันนี้เป็นของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งในเมืองซ่งเจียง

หลังจากส่งตัวหลินเหนียนเล่ยแล้ว ผู้กำกับหลี่ได้โทรหาฉินอวี่ทันที “ตามฉันไปที่ห้องทำงาน”

“มีอะไรเหรอครับ?” ฉินอวี่ถามพลันมองไปยังแมวเฒ่า

แมวเฒ่าเกาจมูกขณะตอบฉินอวี่อย่างเงียบๆ ว่า “ไอ้ลูกหมาเอ๊ย…นายเข้าตาผู้กำกับตั้งแต่เริ่มงานเลย เฮ้อ…แต่ฉันก็รู้อยู่แล้วล่ะ เพราะคนที่มีความสามารถย่อมก้าวหน้าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน”

คำพูดเหล่านั้นทำให้ฉินอวี่เข้าใจถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

ไม่กี่นาทีต่อมา

ณ ห้องทำงาน…ผู้กำกับหลี่ตบไหล่ฉินอวี่และพูดว่า “ฉันรู้ว่านายเป็นคนที่มีศักยภาพ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าจะแสดงออกมาได้เร็วขนาดนี้”

“มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญครับ” ฉินอวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“นายสร้างชื่อเสียงให้หน่วยของเรา!” ผู้กำกับหลี่กล่าวด้วยความสุขพลันเอามือไพล่หลังและเดินไปทั่วห้อง “มัสซึชิตะก่อคดีเลวร้ายมามาก อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่สำนักงานใหญ่ต้องการตัว…เขาหนีไปกลบดานยังเขตพัฒนาเมื่อสองปีก่อน ไม่มีตำรวจคนใดสามารถจับชายคนนี้ได้ และทันทีที่ลักลอบเข้าเมืองนายก็จับเขาเข้าคุก! พรุ่งนี้ฉันจะคุยเรื่องราวการจับมัสซึชิตะในที่ประชุม! นายสร้างชื่อเสียงให้กับเรา! นายสมควรได้รับรางวัลตอบแทน!”

ฉินอวี่ยืนฟังอย่างเงียบๆ

“เฮ้อ!” ผู้กำกับหลี่นั่งลงพลันหยิบบุหรี่ชุนฮวาที่ฉินอวี่เคยให้ออกมา พร้อมแสดงสีหน้า “อันที่จริง…ตำรวจที่ทำผลงานดีเช่นนี้สามารถเลื่อนยศเป็นเจ้าหน้าที่ระดับหนึ่งและเป็นหัวหน้าหน่วยได้ง่ายๆ ทว่ากับนาย…การเลื่อนยศทั้งๆ ที่เพิ่งมาทำงานใหม่มันทำให้ฉันลำบากใจนัก! ข้อมูลและประวัติของนายถูกบันทึกลงระบบได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ….หายได้เลื่อนยศเร็วขนาดนี้คงมิวายถูกนินทาเสียๆ หายๆ แน่นอน!”

เมื่อแมวเฒ่าได้ยิน เขาได้พูดแทรกทันที “การเลื่อนตำแหน่งมันไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ได้…นั่นมันคือรางวัลสำหรับคนกล้าหาญเท่านั้น! ใครเป็นคนจับมัสซึชิตะล่ะครับ? ใครคือคนที่ช่วยตัวประกันได้ล่ะครับ? ฉินอวี่ไม่ใช่เหรอ? แล้วจะต้องกลัวเรื่องนินทาอะไรอีก?! คุณเป็นถึงผู้กำกับการตำรวจของหน่วยนี้นะครับ ทำไมต้องสนใจคำพูดของคนอื่น”

“คิดก่อนพูดบ้าง!” ผู้กำกับหลี่มองฉินอวี่ขณะตำหนิแมวเฒ่า

แมวเฒ่าจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะหันไปหาฉินอวี่

“ฉินอวี่…เกียรติยศครั้งนี้มันเป็นของนายผู้เดียว! แต่การทำงานในสำนักงานตำรวจมันมีความซับซ้อนมากมาย…นายเพิ่งมาทำงาน…หากได้เลื่อนตำแหน่งเร็วเกินไปก็อาจจะมีปัญหาตามมาได้…” ผู้กำกับหลี่บอกฉินอวี่ “เรายังมีเวลาอีกเยอะ ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน”

“ไม่เป็นไรครับ…ผู้กำกับหลี่ช่วยเหลือผมมามาก แค่นี้ผมก็พอใจแล้วครับ” ฉินอวี่ตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ”

“ภายในหนึ่งเดือนต่อจากนี้…นายจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสามอย่างเป็นทางการ พรุ่งนี้ฉันจะให้คนเขียนรายงานส่งทันที และภายในสิ้นปีนายจะเพิ่มขั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสอง” ผู้กำกับหลี่กล่าว

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้ฉันยังให้นายเป็นหัวหน้าทีมไม่ได้…เอาแบบนี้แล้วกัน ฉันจะคุยกับหยวนเค่อเพื่อแต่งตั้งให้นายเป็นรองหัวหน้าก่อน…ทว่านี่เป็นเพียงตำแหน่งภายในหน่วยงานของเราเท่านั้น ไม่ใช่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการจากสำนักงานใหญ่”

“หากนายคุ้นเคยกับการทำงานและผู้คนที่นี่แล้ว ฉันจะหาตำแหน่งใหม่ให้ นอกจากนี้นายยังจะได้รับเงินจำนวนสามพันเหรียญ เพราะนั่นคือรางวัลที่นายคู่ควร!”

“ขอบคุณครับผู้กำกับหลี่” ฉินอวี่รู้สึกพอใจกับรางวัลที่ได้ เขาคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณผู้กำกับหลี่ทันที

“เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว” ผู้กำกับหลี่กล่าวพร้อมโบกมือ “นายสองคนไปได้แล้ว!”

“ไปพักเถอะ”

“จัดไป!”

ฉินอวี่และแมวเฒ่าเดินออกจากห้อง…

ผู้กำกับหลี่จิบน้ำและกำลังเก็บของเพื่อจะกลับบ้าน ทันใดนั้น…เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น!

“สวัสดีครับ?”

“ผู้กำกับการตำรวจหลี่…ผมอยากทราบรายละเอียดการรายงานคดี…จะให้ผมเขียนส่วนที่เกี่ยวกับหัวหน้าการสามอย่างไรดีครับ? เราควรพิจารณาขั้นให้กับเขาและผู้หมวดหยวนด้วยไหมครับ?”

ผู้กำกับหลี่ครุ่นคิดก่อนจะตอบ “ฉันได้ยินว่าเขาโดนยิงระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ทว่าที่จริงแล้วหัวหน้าการสามไม่ได้มีเจตนาพาลูกน้องไปที่ร้านอาหารนั่นเพื่อจับผู้ร้าย ฉันว่า…นายน่าจะพอเข้าใจนะ”

บ่ายโมงของวันรุ่งขึ้น ณ โรงพยาบาล…

“เบื้องบนว่าอย่างไรบ้าง?” หัวหน้าการสามนอนอยู่บนเตียงพลางถามเพื่อนร่วมงานที่มาเยี่ยม

“ทางสำนักงานตำรวจจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ทั้งหมด และจะยื่นขอตำแหน่งพร้อมรางวัลให้กับทีมเรา…สำหรับใครที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงจะได้รับเงินชดเชยจำนวนห้าพันเหรียญ ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ จะได้รับค่าทำขวัญสามพันเหรียญ” เพื่อนร่วมงานตอบ

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวหน้าการสามได้นิ่งไปครู่หนึ่ง “แล้วฉินอวี่และแมวเฒ่าล่ะ?”

“เรื่องนั้นฉันไม่รู้” เพื่อนร่วมงานส่ายหัว “ทว่าฉันได้ยินมา…ผู้กำกับหลี่จะเลื่อนยศให้ฉินอวี่เป็นนายตำรวจระดับสองภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้รับตำแหน่งระดับสามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมทางหน่วยงานยังแจ้งผู้หมวดให้แต่งตั้งเขาเป็นรองหัวหน้าด้วย”

เมื่อได้ยินดังนั้น หัวหน้าการสามโมโหและอุทานอย่างไม่พอใจทันที “อะไรวะ? ไหนความยุติธรรม? ไอ้ฉินอวี่เป็นลูกของเมียน้อยมันหรือไงวะ?! ฉันเป็นคนช่วยพวกมันแท้ๆ แถมยังเกือบตาย! ทำไมความดีความชอบถึงได้ไปตกอยู่ที่ไอ้ฉินอวี่? ห่วยแตกสิ้นดี! ดูแผลที่บั้นท้ายสิ! สะเก็ดระเบิดแทบทะลุเข้าลำไส้อยู่แล้ว! แต่ฉันกลับได้รางวัลตอบแทนเป็นเงินเพียงห้าพันเหรียญจากสำนักงานงั้นเหรอ? อะไรกัน? นี่มันอะไรกัน?!”

“ไม่รู้!” เพื่อนร่วมงานกลอกตา “ทีมเราพยายามพูดแทนนายแล้ว แต่ผู้กำกับหลี่ปฏิเสธหัวชนฝา เขาบอกว่าผลงานตกเป็นของผู้ที่จับกุมมัสซึชิตะได้แต่เพียงผู้เดียว! ฉินอวี่ไม่เพียงพยายามจับกุมผู้ร้ายเพียงในร้านอาหารเท่านั้น ทว่าไล่ตามไปจนถึงตรอกและเอาชนะมัสซึชิตะมาได้ อีกทั้งผู้กำกับหลี่รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าเราไปร้านอาหารก็เพื่อหาเรื่องฉินอวี่…”

“อืม! ไม่ต้องพูดแล้ว” หัวหน้าการสามทนฟังต่อไม่ไหว เขานอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าพลันพึมพำว่า “แม่เคยบอกเสมอว่าฉันเกิดมาพร้อมกับความโชคร้าย…”

หัวหน้าการสามรู้สึกเสียใจ นั่นก็เพราะรู้สึกว่าฉินอวี่ขโมยผลงานของตนไป อีกทั้งผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากผลงานครั้งนี้ไม่ใช่เขาทว่ากลับเป็นฉินอวี่!

จากเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับหนึ่งสู่ผู้บังคับการตำรวจระดับสามภายในปีเดียว!

ฉินอวี่ยังได้รับการอนุมัติให้เป็นรองหัวหน้าผู้บังคับการภายในวันเดียวหลังจากกเข้าทำงานวันเดียว! อีกทั้งได้รับความดีความชอบมากมาย…

มีเพียงฉินอวี่และไม่กี่คนในสำนักงานตำรวจที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแมวเฒ่าและผู้กำกับหลี่…

ฉินอวี่รู้สึกสงสารผู้คนในเขตพัฒนาที่ต้องดิ้นรนแทบตายเพื่อการอยู่รอด ทว่าเทียบกับผู้คนในเขตพิเศษ คนพวกนี้มีชีวิตที่สุขสบาย…

สองวันหลังเกิดเหตุ ผู้หมวดหยวนได้นั่งรถไฟกลับมายังเมืองซ่งเจียง

……………………………………………………

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Status: Ongoing

โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย…

‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง

ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้…

ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท