ตอนที่ 21 อะไรคือความยุติธรรม?
บริเวณบันไดชั้นสามของสำนักงานตำรวจนครบาลเขตพื้นทมิฬ
“ไม่ต้องมาห้ามฉัน!” ฉีหลินกล่าวขณะสะบัดมือของแมวเฒ่าออก “ฉันแค่อยากไปถามว่าหยวนเค่อมีสิทธิ์อะไรถึงโอนย้ายฉันไปทำงานเอกสาร!”
“แล้วนายคิดว่าตัวเองเหมาะกับแนวหน้างั้นเหรอ? ตื่นได้แล้ว! แค่นี้ยังทำร้ายคนอื่นไม่พออีกรึไง?” แมวเฒ่าตะคอกใส่ฉีหลิน “ทุกคนโกรธและเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น หากนายไปคุยกับหยวนเค่อตอนนี้สิ่งเดียวที่นายจะได้ก็คงเป็นลูกปืน อย่าโง่ไปหน่อยเลย!”
“…!”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเถียงกัน ฉินอวี่ก็เดินลงมาจากบันไดและถาม “พวกนายทำบ้าอะไรกัน?”
ทั้งสองผงะ
“ไม่อายบ้างเหรอที่ก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่?” ฉินอวี่มองฉีหลินและแมวเฒ่าด้วยความไม่พอใจ “ไปหาที่นั่งกันเถอะ…ฉันมีเรื่องต้องคุยกับฉีหลินด้วย”
ฉีหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถูกฉินอวี่และแมวเฒ่าลากตัวออกไป
…
ณ ชั้นล่างสุดของสำนักงานตำรวจ
หลินเหนียนเล่ยกะพริบตากลมโตคู่สวยของเธอและกล่าว “ฉันเป็นนักข่าวจากบริษัทวิทยุออนไลน์…พอดีฉันรู้มาว่ามีการลักลอบขายยาเถื่อนในตรอกเถ้าธุลี แต่ระหว่างการสัมภาษณ์ กลุ่มอันธพาลได้ฉกเอากล้องของฉันไปค่ะ”
“คุณจำอันธพาลพวกนั้นได้ไหมครับ?”
“จำไม่ได้ค่ะ”
“กรอกเอกสารแจ้งความนี้พร้อมแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน…อย่าลืมจดวัน เวลา สถานที่และรายละเอียดอื่นๆ ให้ชัดเจนด้วยนะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวขณะยื่นเอกสารให้กับหลินเหนียนเล่ย
หลินเหนียนเล่ยกรอกเอกสารแจ้งความอย่างละเอียดก่อนส่งคืนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพลันสอบถาม “แค่นี้เหรอคะ? ไปจับพวกมันตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ?”
“ใช่ครับ ตอนนี้คุณกลับไปก่อน…เราจะติดต่อกลับทันทีที่ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว”
“ไม่…เดี๋ยวก่อนนะคะ คือว่าพวกเขาฉกกล้องของฉันไปและตอนนี้อันธพาลกลุ่มนั้นก็ยังอยู่ในตรอกเถ้าธุลี ทำไมคุณถึงไม่ไปจับพวกมันตอนนี้เลยล่ะคะ?!” หลินเหนียนเล่ยเริ่มกระวนกระวายใจ
“ผมขอให้คุณช่วยสอนวิธีทำคดีเหรอครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นสั่นขาอย่างเกียจคร้านขณะตอบ “กลับไปได้แล้ว หากมีความคืบหน้าทางเราจะติดต่อไป”
“คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? พวกหัวขโมยนั่นยังอยู่ที่เดิม ทำไมถึงไม่รีบไปจับ?”
“ไม่เข้าใจภาษาคนเหรอ? บอกให้คุณกลับไปก่อน!”
“คุณ!…” หลินเหนียนเล่ยใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ “ช่างเถอะ! ฉันขอคุยกับฉินอวี่หน่อย เขาอยู่ที่นี่ไหม?”
“คุณรู้จักใครในนี้ด้วยเหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นถามด้วยความตกใจ
“แน่นอน ฉันรู้จักฉินอวี่”
“รอสักครู่นะครับ” ท่าทีของนายตำรวจผู้นี้สุภาพขึ้นทันที เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
หลินเหนียนเล่ยรอเกือบหนึ่งนาทีก่อนที่นายตำรวจผู้นี้จะหันมาส่ายหัว “ฉินอวี่ไม่อยู่ครับ”
หลินเหนียนเล่ยถอนหายใจกล่าว “ถ้าอย่างนั้นตามฉันไปเอากล้องคืนจากอันธพาลได้หรือเปล่า?”
“ไม่ได้ครับ…ผมจำเป็นต้องทำตามขั้นตอนและรายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนก่อน”
“…ว้าว! เล่นเอาฉันพูดไม่ออกเลย” หลินเหนียนเล่ยกลอกตาก่อนจะคว้ากระเป๋าและออกจากสำนักงานตำรวจไป
…
ณ ร้านขายอาหารข้างสำนักงานตำรวจนครบาลเขตพื้นทมิฬ
ฉีหลินนั่งนิ่งมองไปยังซาลาเปาบนโต๊ะด้วยสายตาเหม่อลอย
“ฉีหลิน…ใจเย็นหน่อย…แค่ทำตามคำสั่งและย้ายไปทำงานเอกสารก่อน ผู้หมวดหยวนกำลังโกรธ” ฉินอวี่แนะนำฉีหลิน
ดวงตาของฉีหลินแดงก่ำ เขาพึมพำอย่างขุ่นเคือง “มันไม่ยุติธรรม!”
แมวเฒ่าเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาไม่พอใจกับท่าทีของฉีหลินเมื่อคืนอย่างมากและยิ่งโมโหเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉีหลินพูด “ไม่ยุติธรรมเหรอ? ทำงานพลาดก็สมควรได้รับการลงโทษไม่ใช่เหรอ? ฉันเคยบอกไปแล้วว่าคนอย่างนายไม่เหมาะกับแนวหน้า…วันๆก็เอาแต่ฝันเฟื่องว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งจากการทำงานในหน่วยนี้…”
“แล้วดูผลที่ตามมาสิ! ที่ทีมปฏิบัติการทั้งหมดต้องพังไม่ใช่ว่าเป็นเพราะนายเหรอ? ถ้าเมื่อคืนเราจับอาหลงได้ คิดว่าเบื้องบนจะว่าอย่างไร? แน่นอนว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้จะได้รับรางวัล แต่นี่เป็นเพราะนายไม่กล้าเหนี่ยวไกปืนไง…นอกจากเราจะถูกลงโทษแล้ว จาบียังถูกยิงตายอีก! นายเห็นศพเขาหรือเปล่า? ศพที่ถูกยิงถึงสามนัดทั้งที่ใส่เสื้อเกราะอยู่!”
ฉินอวี่นิ่งเงียบเมื่อได้ฟังสิ่งที่แมวเฒ่าพูด
ฉีหลินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปยังแมวเฒ่าด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวก่อนจะตอบกลับ “แมวเฒ่า…อย่าเพิ่งด่วนสรุปทั้งๆ ที่ยังไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดได้ไหม?!”
“ยังมีเรื่องอะไรที่ฉันไม่รู้อีก? บอกมาสิ ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าทำไมนายไม่ยอมยิงปืน!” แมวเฒ่ากระแทกชามลงบนโต๊ะและจ้องหน้าฉีหลินด้วยความโกรธ
ฉีหลินจ้องแมวเฒ่ากลับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันตอบ “โอเค…ใช่! ฉันยอมรับว่ามันเป็นความผิดของฉันที่ไม่ยิงปืนออกไป”
“นายผิดอยู่แล้ว!”
“แล้วนายไม่เคยทำผิดพลาดเลยเหรอ?” ฉีหลินถาม
แมวเฒ่าพูดไม่ออก
“ตั้งแต่ถูกคุมประพฤติ ฉันไม่เคยฝ่าฝืนกฎของสำนักงานตำรวจเลยสักครั้ง!” ฉีหลินพูดเสียงสั่นมองแมวเฒ่าและฉินอวี่ “ฉันใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงในสำนักงานตำรวจแห่งนี้เหมือนกำลังเดินบนแท่นน้ำแข็งบาง ไม่ใช่แค่ไม่เคยทำผิด…ฉันพยายามทำทุกอย่างให้ได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสองเพื่อจะได้เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นสักเล็กน้อยก็ยังดี ฉันต้องทำงานอย่างหนักให้ได้เป็นมือปืนอันดับต้นๆ ของสำนักงานและเป็นสามอันดับแรกของเขต นายเคยรู้บ้างไหม?”
ฉินอวี่รู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเช่นนั้น เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฉีหลินเคยได้รับรางวัลในการยิงปืน
“ในตอนที่สร้างชื่อเสียงให้กับสำนักงาน ฉันไม่เคยได้รับรางวัลอะไรเลย แต่ทันทีที่ทำผิดกลับถูกลงโทษอย่างหนัก นี่เหรอที่เรียกว่าความยุติธรรม?” ฉีหลินเอ่ยถามน้ำตาคลอ “การเป็นนายตำรวจระดับสองมันยากมากเลยเหรอ? ทุกอย่างที่มาจากเบื้องบน…ทำไมมันไม่มาถึงฉันบ้าง? ไม่เคยมีใครช่วยฉัน ทุกปีที่ได้รับการเสนอชื่อ…ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง มันยุติธรรมแล้วเหรอแมวเฒ่า?”
แมวเฒ่าไม่เคยเห็นฉีหลินพูดกับเขาด้วยท่าทีเฉยเมยแบบนี้มาก่อนจึงชะงักไปชั่วขณะ
“ฉันไม่เหมือนกับนายนี่! ที่มีผู้กำกับหลี่คอยหนุนหลังเลยไม่มีใครกล้าเอาเปรียบ นายสามารถสบถด่าหยวนเค่อได้แบบไม่ต้องเกรงใจ แล้วฉันล่ะ? ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น ฉันระบายกับใครได้บ้าง และถ้าวันไหนฉันเกิดพูดอะไรไม่เข้าหูก็อาจถูกไล่ออก…แล้วค่ารักษาพยาบาลแม่ฉันใครจะรับผิดชอบ? ใครจะดูแลน้องสาวฉัน? นายเหรอ? ยินดีที่จะรับผิดชอบพวกเขาแทนฉันไหม?” ฉีหลินกำหมัดแน่นและพูดด้วยท่าทีโวยวาย
“ที่นี่นายแค่ใช้ชีวิตต่างจากฉันที่ต้องเอาตัวรอด เหตุผลที่ฉันต้องหนีปัญหาเพราะฉันจะใช้ชีวิตตัวเองเดิมพันไม่ได้! ยังมีคนที่บ้านอีกสองชีวิตที่ต้องเลี้ยงดู ถ้าฉันหายไป…แม้จะแค่สามวัน พวกเขาคงอดตาย! ขณะที่นายมีคนคอยจุนเจือ แต่ฉันมีแต่ภาระ! นี่คือเหตุผลที่ทำให้นายได้ยืนในจุดสูงสุดและเหยียบย่ำฉันไง ในขณะที่ฉันทำได้เพียงทนรับมัน แม้ว่าจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อจะไปอยู่ในจุดเดียวกับนาย แต่สุดท้ายก็ได้แค่หวัง!”
หลังพูดจบ ฉีหลินก็ยืนขึ้นพลันกล่าวอย่างเย็นชา “พวกนายกินกันไปเถอะ…ฉันขอตัวก่อน”
“ฉีหลิน!” ฉินอวี่ตะโกน
ทว่าฉีหลินไม่ได้หันมามองฉินอวี่แม้แต่น้อย เขาเดินออกจากร้านขายอาหารเช้าไปด้วยท่าทีอิดโรย
แมวเฒ่าขมวดคิ้วมองฉีหลินพลางทานข้าวต้มต่อ
กลับกันฉินอวี่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด
ผ่านไปสักพัก แมวเฒ่าก้มหน้าพร้อมถาม “ฉันพูดแรงไปเหรอ?”
“อืม…นิดหน่อย” ฉินอวี่พยักหน้า
“ฉันแค่เป็นห่วง…” แมวเฒ่าถอนหายใจ
…
ฉีหลินเดินย่ำไปตามถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ เขาอยากจะซื้อแอลกอฮอล์สักขวดเพื่อดื่มย้อมใจให้กับความผิดหวัง ทว่าเมื่อล้วงกระเป๋า ฉีหลินก็คิดได้ว่าแม้แต่แอลกอฮอล์ที่ถูกที่สุดยังมีราคาถึงยี่สิบห้าดอลลาร์…
เขาทำได้เพียงอดทนต่อความรู้สึกที่เดือดพล่านและเดินกลับบ้านไปอย่างช้าๆ
…
ณ บ้านหลังหนึ่งในตรอกเถ้าธุลี
อาหลงสูบบุหรี่พลันขมวดคิ้วมองลุงหม่า “ผมจะไปได้เมื่อไร?”
“ฉันกำลังเตรียมการ…คิดว่าไม่น่าเกินสองวัน”
“ก่อนจะไป ผมอยากออกไปข้างนอกหน่อย”
“เสียสติไปแล้วหรือไง? ถ้าพวกตำรวจเห็นนายอยู่ข้างนอกคงได้แห่มาจับกันให้ควั่ก!” ลุงหม่ากล่าวตักเตือน
“ผมไม่รู้ว่าหากออกจากที่นี่ไปแล้วจะได้กลับมาอีกเมื่อไร” อาหลงกล่าวพร้อมก้มหัวลง “ผมหวังเพียงอยากตั้งตัวให้ได้”
……………………………………