ตอนที่ 14 เฒ่าหม่า
วันถัดมา…
หกโมงเช้า…เสียงสายเรียกเข้าดังขึ้นปลุกแมวเฒ่า ก่อนที่เขาจะรีบร้อนออกไปยังสำนักงานตำรวจทันที ดังนั้นในบ้านจึงเหลือเพียงฉินอวี่คนเดียว
ขณะที่ฉินอวี่กำลังตัดสินใจว่าจะกินอะไรเป็นอาหารเช้า จู่ๆ หลินเหนียนเล่ยได้มาหาและมอบถุงแป้งทอดร้อน
“รับไปสิ…ฉันซื้อมาให้” หลินเหนียนเล่ยกล่าวพร้อมแขวนถุงไว้ที่ลูกบิดประตู
“ไม่เห็นต้องลำบากซื้อมาเลย” ฉินอวี่ที่กำลังล้างมืออยู่รู้สึกประหลาดใจ
“เอาไปเถอะ…เพื่อนบ้านต้องช่วยเหลือกันและกันไม่ใช่เหรอ?” หลินเหนียนเล่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม เธอรู้สึกขอบคุณฉินอวี่สำหรับน้ำร้อนเมื่อคืนจึงอยากตอบแทน “ฉันไปทำงานก่อนนะ”
“ไปเช้าขนาดนี้เลยเหรอ?”
“วันนี้ฉันต้องไปออกภาคสนาม เลยต้องไปเช้ากว่าปกติเพื่อเตรียมอุปกรณ์” หลินเหนียนเล่ยตอบด้วยรอยยิ้มสดใส “เจอกันค่ะ”
“ครับ…เจอกันครับ”
“ไปก่อนนะ…เพื่อนสาวคนสวย!” หลินเหนียนเล่ยกล่าวขณะหยิบกระเป๋า
ฉินอวี่รู้สึกตกใจกับคำพูดของหลินเหนียนเล่ย “เพื่อนสาวเหรอ? เธอหมายความว่าไง? อย่าบอกนะ…?!”
ห้านาทีต่อมา…
หลินเหนียนเล่ยซุบซิบกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งระหว่างทางไปกองถ่าย “มีหนุ่มคนหนึ่งหล่อมาก เขาเช่าบ้านอยู่ข้างๆ ฉันนี่เอง…แต่เพิ่งรู้เมื่อวานนี้ว่าเขาเป็นเกย์!”
“จริงเหรอ?”
“จริงสิ ฉันเห็นกับตาตัวเอง!”
“น่าเสียดาย…ทำไมหนุ่มหล่อๆ ต้องเป็นเกย์ด้วย!”
“…!”
หลังทานอาหารเช้าที่หลินเหนียนเล่ยซื้อมาให้เสร็จ ฉินอวี่เก็บของและเดินทางไปยังสำนักงานตำรวจทันที
เนื่องจากเมืองซ่งเจียงเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน ทรัพยากรที่ขาดแคลนทำให้การคมนาคมไม่สะดวกนัก…ที่นี่ไม่มีระบบขนส่งสาธารณะอย่างเช่นแท็กซี่หรือรถเมล์ ดังนั้นคนส่วนใหญ่มักเดินเท้าไปทำงาน ยานพาหนะอิเล็กทรอนิกส์ต้องใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อน ทว่าด้วยราคาไฟฟ้าที่สูงทำให้พนักงานที่หาเช้ากินค่ำไม่สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายนี้ไหว
ฉินอวี่เป็นคนมัธยัสถ์และต้องการเก็บเงินเพื่ออนาคต จึงไม่ซื้อและใช้ยานพาหนะอิเล็กทรอนิกส์ชนิดใดเลย แม้เขาจะสามารถนำรถตำรวจมาใช้นอกเวลาราชการได้ ทว่าต้องจ่ายค่าน้ำมันเอง ฉินอวี่รู้สึกเสียดายเงินส่วนนั้นจึงเลือกเดินเท้าไปทำงานแทน
ห้านาทีต่อมา ขณะฉินอวี่กำลังมุ่งหน้าไปยังร้านขายของชำเพื่อซื้อตลับใส่น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จู่ๆ ชายร่างใหญ่สองคนเดินขนาบข้างอย่างไม่เป็นมิตร
ฉินอวี่ก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วพร้อมไขว้มือไปด้านหลัง ราวกับกำลังจะหยิบปืนออกมาทว่าเขาไม่ได้พกปืนมาด้วย
“ฉันมาดี…แค่อยากคุยด้วย” หนึ่งชายปริศนานั้นกล่าว
ฉินอวี่เงียบครู่หนึ่งก่อนจะถาม “พวกนายเป็นใคร?”
“ไม่ต้องรู้หรอกว่าเราเป็นใคร” ชายคนเดิมตอบพร้อมถกเสื้อขึ้นให้เห็นปืนที่เหน็บตรงเอว
ฉินอวี่ยืนนิ่งพร้อมมองพวกเขาด้วยแววตาเย็นชา
ชายผู้นั้นขึ้นนกปืน “ขอคุยด้วยได้ไหม?”
ฉินอวี่พยายามนึกถึงศัตรูหรือคนที่เขาเคยทำให้ขุ่นเคืองหลังย้ายมายังซ่งเจียง ก่อนพยักหน้ารับ “ได้สิ”
…
ไม่กี่นาทีต่อมา ในตรอกมืดลับตาคน
ชายสี่คนยืนล้อรอบฉินอวี่ ขณะที่ชายชรานั่งอยู่บนรถจี๊ป
ฉินอวี่มองพวกเขาอย่างวิเคราะห์ และพบว่าทั้งหมดสวมแจ็คเก็ตหนังที่หนาและหมวกไหมพรม ขณะที่ใบหน้าเปรอะเปื้อน
จุดที่ฉินอวี่ยืนอยู่ไม่ทำให้เขากลัว ‘บุคคลที่มีอำนาจ’ ทว่ากลับเกรงกลัวต่อคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใครเสียมากกว่า
ฉินอวี่รู้สึกประหม่า ชายเหล่านี้ทำให้นึกถึงมัตสึชิตะที่เขาได้สังหารไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
“นายคือคนที่บุกจับหม่าเหลาเอ๋อและดามินใช่ไหม?” ชายชราสวมเสื้อโค้ตที่นั่งอยู่ในรถถามขึ้น
เหตุผลที่ฉินอวี่ไม่ขัดขืนและทำตามคำสั่งของชายทั้งสองแต่โดยดี เพราะเขาเดาได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้มาเพื่อสืบคดี…ฉินอวี่ทำให้หลายคนในซ่งเจียงขุ่นเคืองรวมถึงผู้บังคับการสาม ทว่าก็ไม่ได้เกลียดกันถึงขนาดที่ต้องฆ่าแกง
มีคนเพียงสองประเภทเท่านั้นที่เข้าหาฉินอวี่ ประเภทแรกคือคนที่ต้องการผลประโยชน์ และสองคือคนที่ต้องการกำจัดเขา ดังนั้นฉินอวี่จึงไม่กล้าเสี่ยง
เฉินอวี่ลังเลชั่วครู่ “ใช่…ฉันจับพวกเขาเอง”
“ฉันมาจากตระกูลหม่า และเป็นนายใหญ่ของหม่าเหล่าเอ๋อ” ชายชราตอบพลางหยิบบุหรี่ขึ้นสูบ
ฉินอวี่กะพริบตาพลางแสดงออกอย่างอ่อนน้อมทันที “ยินดีที่ได้รู้จักครับหัวหน้าหม่า”
ชายชรามองฉินอวี่พร้อมถามเสียงแหบว่า “เพิ่งย้ายมาที่ซ่งเจียงเหรอไอ้หนู?”
“ครับ เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน…ผมจ่ายเงินซื้อสัญชาติเพื่อเข้ามาทำงาน” ฉินอวี่ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ผมกำลังสร้างตัว ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือการทำตามคำสั่งของเบื้องบนครับ”
“นายมีเส้นสายเหรอ? ทำไมถึงได้ตำแหน่งหัวหน้าทั้งๆ ที่เพิ่งย้ายมาไม่นาน?” เฒ่าหม่าดึงบุหรี่ออกจากปากขณะถาม
“ไม่ครับ” ฉินอวี่ตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อน “ผมแค่โชคดีที่คลี่คลายคดีสำคัญได้…ทางสำนักงานจึงเลื่อนตำแหน่งให้เพื่อเป็นรางวัลตอบแทน”
ลุงหม่าพ่นควัน “ไอ้หนู…ตอนนี้คดีลักลอบขายยาอยู่ในความดูแลของนาย มาร่วมมือกันเพื่อหาทางปล่อยตัวสองคนนั้นดีไหม?”
“หึ…” ฉินอวี่มองเฒ่าหม่าด้วยความไม่พอใจ “ผมคงทำไม่ได้”
“ฉันก็ไม่ได้บังคับให้นายทำเสียหน่อย”
ลุงหม่าส่งสัญญาณให้กับชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างฉินอวี่ ก่อนที่ชายผู้นั้นจะหยิบเงินจำนวนสองหมื่นดอลล่าเอเชียออกจากกระเป๋าและยื่นให้ฉินอวี่ “เอาไปสิ”
“จะดีเหรอครับ…” ฉินอวี่ตอบอย่างหวาดระแวง
“ถ้าไม่เอาเงิน ก็เอาลูกปีนแทนไหมล่ะ!” ชายร่างใหญ่กล่าวอย่างเย็นชา “เลือกเลยจะเอาอันไหน”
เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก สัญชาตญาณของฉินอวี่บอกว่าหากคนเหล่านี้ไม่พอใจกับคำตอบ พวกเขาคงไม่ลังเลที่จะฆ่าตนแน่นอน
“ไอ้หนู…นายเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคดีนี้ เพียงแค่นายช่วยทำลายหลักฐานนิดหน่อย ก็สามารถปล่อยคนของฉันออกมาได้แล้วใช่ไหมล่ะ?” ลุงหม่าถามด้วยรอยยิ้ม “ยุคนี้ ฉันได้ยินผู้คนมากมายพูดเกี่ยวกับอาหาร การเอาตัวรอด และอำนาจ ทว่ากลับไม่มีใครพูดถึงศีลธรรมแม้แต่น้อย ถ้านายรับเงินนี้ไปคงมีกินมีใช้ไม่ต้องทำงานไปอีกนาน…”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินอวี่ก็เอื้อมมือแตะธนบัตรที่มีมูลค่ากว่าสองหมื่นหยวนในมือของชายร่างใหญ่ก่อนตอบอย่างนอบน้อมว่า “คุณหม่าครับ ผมเคารพคุณและผมอยากจะรับเงินก้อนนี้มาก ผมเข้าใจว่าเงินสองหมื่นดอลล่าเอเชียนี้สามารถทำให้ผมอยู่อย่างสุขสบายและแต่งงานกับหญิงสาวได้อีกหลายคน…ทว่าเรื่องนี้มันซับซ้อนกว่าที่คิด”
เฒ่าหม่านิ่งเงียบ
“หัวหน้ามอบหมายให้ผมจัดการคดีนี้โดยเฉพาะ” ฉินอวี่อธิบาย “ถ้าผมยังไม่ได้พาพวกเขาไปที่สำนักงาน…ผมคงปล่อยตัวพวกเขาแลกกับเงินสองหมื่นดอลล่าเอเชียไปแล้ว แต่ผมได้ทำการฝากขังและสืบสวนพวกเขาไปแล้วนี่สิ หากปล่อยตัวไปดื้อๆ คงเป็นการท้าทายอำนาจกฎหมายและผู้บังคับบัญชาจนเกินไป…ผมไม่อาจทำให้เบื้องบนโกรธเคืองได้…ดังนั้นผมช่วยคุณไม่ได้จริงๆ ครับ…”
“ไอ้เด็กเปรต! เรากำลังหาทางออกที่ดีให้แต่นายกลับปฏิเสธอย่างนั้นเหรอ?!”
ชายร่างใหญ่ล้วงมีดสั้นออกมาพร้อมจ่อไปที่คอของฉินอวี่ .
ชายร่างใหญ่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ลมตีหน้าฉินอวี่อย่างไม่ทันตั้งตัว
………………………………….