ตอนที่ 17 พลเมืองของเขตปกครองพิเศษที่เก้า
หอพักตำรวจ…
ฉินอวี่เช็ดปืนพลางมองไปยังจาบี “นายเข้ามายังเขตพิเศษที่เก้าด้วยวิธีใด?”
“วิธีเดียวกับคนอื่นๆ” จาบีตอบเสียงแผ่ว “หลังจากเกิดภัยพิบัติ ประเทศต่างๆ ได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลสหพันธรัฐ และก่อตั้งเขตพิเศษทั้งแปดเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์…ทว่าจะยัดคนหมดทั้งโลกให้อยู่ในเขตพิเศษได้อย่างไร? ดังนั้นรัฐบาลจึงจับสลากรายชื่อ และคนที่โชคดีจะได้อยู่ในเขตพิเศษถาวร…”
“แม้พวกเขาจะเรียกมันว่าสลาก แต่สิทธิ์การซื้อส่วนใหญ่ตกอยู่ที่กลุ่มคนรวย ส่วนสลากที่เหลือแต่ละใบมีราคาไม่ต่ำกว่าสิบล้านดอลล่าเอเชีย ราคานี้แพงพอจะซื้อดาวเคราะห์ได้สักดวง! ลำพังครอบครัวฉันแทบจะไม่มีกินข้าว…แล้วจะเอาเงินจากไหนไปซื้อสลากนั่น?!”
ขณะเดียวกัน หนึ่งในตำรวจชาวไทยพยักหน้าเห็นด้วย “ฉันก็เหมือนกัน”
“ในตอนนั้นพ่อของฉันได้ยินว่าเขตพิเศษที่เจ็ดและเขตพิเศษที่แปดยังพอมีสลากอยู่ เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อพาครอบครัวมายังที่จีน ทว่าเมื่อมาถึงทุกเขตก็เต็มเสียแล้ว พวกเราผิดหวังกันมาก!”
เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้ จาบีจึงหันไปถามฉินอวี่ “นายรู้ไหมว่าเขตพิเศษที่เก้ามีความเป็นมาอย่างไร?”
“ก็พอรู้มาบ้าง” ฉินอวี่พยักหน้า
“เนื่องจากเขตพิเศษที่เจ็ดและแปดคือเขตสุดท้ายที่ยังมีสลากเหลืออยู่ ทำให้ผู้คนเดินทางไปด้วยความหวังอันน้อยนิดที่จะถูกเลือก ทว่าเมื่อสลากเหล่านั้นหมด ประชากรกว่าสิบล้านคนจึงกลายเป็นคนไร้บ้านโดยปริยาย”
“ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการจลาจล พวกเขาพยายามประท้วงให้สร้างเขตปกครองพิเศษขึ้นอีกแห่ง เพราะหลายคนยังต้องการที่อยู่อาศัย เนื่องจากมีกลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนมากทำให้รัฐบาลสหพันธรัฐไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก่อตั้งเขตปกครองพิเศษที่เก้า ทว่ารัฐบาลไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะจัดการดูแลที่นี่ได้อย่างเต็มที่จึงปล่อยให้เขตที่เก้าเป็นเอกราชปกครองตนเอง นี่คือประวัติศาสตร์ของเขตปกครองพิเศษที่เก้า…เป็นแสงแห่งความหวังของคนชนชั้นล่างที่ได้ต่อสู้เพื่อตนเอง แม้วุ่นวาย…แต่อย่างไรมันก็คือบ้านของเรา! ถ้านายจะให้ฉันเข้าไปอยู่เขตอื่นๆ ตอนนี้…มันคงเป็นเรื่องอึดอัดใจน่าดู”
จาบีเป็นคนมองโลกในแง่ดี เขามักมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นเสมอ
ฉินอวี่ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ยถาม “สมาชิกในครอบครัวนายมีใครบ้างเหรอ?”
“ตอนนี้เหลือแค่ผมคนเดียว เพราะแม่และน้องชายตายในการปะทะจากจลาจล…” ดวงตาของจาบีหม่นหมอง “ส่วนพ่อของผมเป็นตำรวจรุ่นแรกของเขตพิเศษที่เก้า และเขาได้เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจ”
ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นมองจาบีก่อนกล่าวขอโทษ “ขอโทษที่ถามนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรครับ มันผ่านมามากนานแล้ว” จาบีตอบด้วยรอยยิ้ม “แล้วหัวหน้าล่ะ? คนในครอบครัวอยู่ที่ไหนบ้าง? หัวหน้าเข้ามาที่เขตพิเศษที่เก้าได้ยังไง?”
“เอ่อ…เรื่องของฉันแย่กว่านายหลายเท่า…” ฉินอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนร่วมงานฟัง
กริ๊ง!
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“สวัสดีครับ?” ฉินอวี่รับสาย
“สมาชิกระดับสูงของตระกูลหม่าพาเฒ่าหม่าไปที่ถนนสามห่วงแล้วครับ หลังจับตาดูอยู่พักหนึ่ง ผมมั่นใจว่าพวกเขาไปพบคนส่งยา!” น้องหกรายงานสถานการณ์ผ่านทางโทรศัพท์
“พวกมันมีกันกี่คน?”
“ผมยังไม่เห็นกลุ่มคนส่งยา จึงยืนยันจำนวนไม่ได้” น้องหกขมวดคิ้ว “เท่าที่เห็น…มีคนยืนเฝ้าหน้าตรอกสองคนครับ”
“แล้วเฒ่าหม่าล่ะ?”
“เขาเข้าไปคนเดียว ส่วนลูกน้องสามคนรออยู่ด้านนอกทั้งหมดครับ”
“พวกมันพกอาวุธกันไหม?” ฉินอวี่ถาม
“ผมไม่เห็นครับ ถ้าเดาจากประสบการณ์…คนเหล่านี้คงมีทักษะการป้องกันตัวที่ดีเยี่ยมครับ” น้องหกตอบโดยไม่ลังเล
“อืม…เข้าใจแล้ว จับตาดูต่อไป…อย่าทำอะไรวู่วามเด็ดขาด! ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“ครับ!”
หลังจากวางสาย ฉินอวี่ปรบมือและสั่งคนในทีมทันที “ตรวจสอบอาวุธครั้งสุดท้าย! และเตรียมตัวออกปฏิบัติการ!”
จาบีลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยิน
“วันหลังค่อยไปดื่มกันนะ” ฉินอวี่ตบบ่าจาบีพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ได้ครับ!” จาบีตอบ
จาบีเป็นคนขยัน มุ่งมานะ และกล้าหาญ เขาทำงานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ อีกทั้งทำหน้าที่ตำรวจยามหรือกองหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม จาบีมีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการดวลปืนและชกต่อยจนถูกเรียกขานว่าเป็น ‘นักรบทองคำ’ แห่งทีมสาม
“ไปรวมพลข้างล่าง!” ฉินอวี่กล่าวก่อนเดินออกจากห้องพัก พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาหยวนเค่อ
“ว่าไงฉินอวี่!”
“ผู้หมวดหยวน! ผมต้องการกำลังเสริม” ฉินอวี่พูดตามตรง
“เจองานยากเหรอ?” หยวนเค่อตาเป็นประกาย
“ยังไม่แน่ใจครับ ผมขอนับจำนวนคนดูก่อน” ฉินอวี่ตอบ “ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะติดอาวุธหนัก และจากการประเมินเบื้องต้นอีกฝ่ายมีกำลังคนราวๆ สิบคนหรืออาจมากกว่านั้นครับ”
“ต้องการกี่คน?”
“อย่างน้อยหนึ่งหน่วยครับ”
“…มันเป็นเรื่องยากที่จะส่งสองหน่วยไปทำงานงานเดียว เพราะพวกเขาต้องทำคดีอื่นด้วย” หยวนเค่อรู้สึกหนักใจเล็กน้อย
“หากไม่มีกำลังเสริม พวกเราคงออกปฏิบัติการไม่ได้” ฉินอวี่ขมวดคิ้ว “ผู้หมวดน่าจะรู้สถานการณ์ของหมวดสามดีนะครับ”
หยวนเค่อไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ “คุณไปรอข้างล่าง…ผมจะโทรหาผู้หมวดของหน่วยใหญ่ที่สามให้ส่งกำลังเสริมไปช่วย”
“ผู้หมวดแมวเฒ่าเหรอครับ?” ฉินอวี่ผงะ
“มีอะไรหรือเปล่า?
“เปล่าครับ” ฉินอวี่ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ “ผมสนิทกับเขา…คงประสานงานกันง่ายขึ้น”
“ดี!”
…
ห้านาทีต่อมา
แมวเฒ่านำกำลังเสริมมาทั้งหมดยี่สิบคน ทุกคนต่างสวมเครื่องแบบหน่วยรบพิเศษสีเขียว รองเท้าบูตหนัง โล่ปราบจลาจล และปืน M464 ห้ากระบอก
“นายมาเร็วมาก!” ฉินอวี่อุทานพลันหัวเราะเบาๆ
“ฉันได้ยินมาว่านายจะออกปฏิบัติการเลยพาลูกน้องมา! ถ้าเป็นคนอื่น ฉันคงปฏิเสธไปแล้ว!” แมวเฒ่ายิ้ม “พวกเราเหลือกันแค่นี้แหละ ส่วนที่เหลือออกไปทำคดี”
“ขอบใจมาก!”
“สั่งการมาได้เลย…พวกเราจะเชื่อฟังและช่วยเหลืออย่างเต็มที่!” แมวเฒ่ากล่าวพลางโบกมือ
“ไปคุยกันในรถ!” ฉินอวี่กล่าวพร้อมดึงแมวเฒ่าเดินไปด้วย ก่อนหันไปออกคำสั่งกับทีมที่สาม “ตรวจสอบวิทยุสื่อสารให้ดี…ฉันจะยืนยันแผนระหว่างทาง”
“ครับผม!”
สมาชิกของทีมสามต่างแยกย้ายไปขึ้นรถ
ไม่กี่นาทีต่อมา รถสายตรวจสี่คันและรถบรรทุกออกตัวมุ่งหน้าไปยังถนนสามห่วง
…
ภายในห้องแสงสลัวและอับชื้น
อาหลงชิมเนื้อตุ๋นพลางมองไปยังเฒ่าหม่า “พี่จ่ายไหวเหรอ? ถ้าไม่ไหวผมจะได้ส่งให้คนอื่น”
“ไหวสิ แต่ขอเวลาหน่อย”
“ผมให้เวลาหนึ่งอาทิตย์” อาหลงตอบ “นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะถ้าพวกตำรวจมันหาโกดังเจอผมซวยแน่!”
“ฉันเข้าใจ” เฒ่าหม่ากล่าวพลางลุกขึ้นยืน “ฉันจะหามาจ่ายให้ภายในหนึ่งสัปดาห์ก็แล้วกัน”
“ดีครับ!” อาหลงกล่าวพลางจิบไวน์ ก่อนโบกมือและกล่าวว่า “ส่งพี่หม่า!”
ขณะที่กำลังเดินไปที่ประตู เฒ่าหม่าหยุดเดินพลางหันมาถาม “อาหลง…คู่แข่งของเราในเขตพื้นทมิฬมีแค่สองถึงสามราย…ทว่ายาของพวกเขากลับมีราคาสูงกว่าเราถึงสองเท่า…ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายไม่ยอมให้เราขึ้นราคา? นายรู้บ้างไหมว่าเราขาดทุนไปเท่าไร?”
อาหลงแคะขี้ตาพร้อมระเบิดหัวเราะ “ได้กำไรเท่านี้ก็ดีเท่าไรแล้ว!”
เฒ่าหม่านิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนพยักหน้า “อืม…นายพูดถูก…ฉันไปก่อนนะ”
“รีบจัดการปัญหาล่ะ!”
“อืม”
เฒ่าหม่าเปิดประตูและเดินออกจากห้องไป
…
สามนาทีต่อมา
น้องหกต่อสายโทรหาฉินอวี่ “หัวหน้า! เฒ่าหม่าออกมาแล้ว!”
ฉินอวี่เงียบไปชั่วขณะก่อนถาม “คนในห้องยังอยู่ไหม?”
“อยู่ครับ!”
………………………………….