ตอนที่ 9 สายลมที่พัดผ่านตรอกเถ้าธุลี
ห้าทุ่มครึ่ง…
ขณะที่ฉินอวี่ ฉีหลิน และชายชาวแอฟริกันเพิ่งกินข้าวเสร็จ จู้เหว่ยและคนอื่นๆ ในทีมได้กลับมาพอดี
“ไปข้างนอกมาเหรอ?” ฉินอวี่ถามขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้
อึก อึก!
จู้เหว่ยดื่มน้ำอึกใหญ่ก่อนตอบอย่างคึกคะนอง “ฉันพาพวกเราไปจัดการไอ้เวรที่กล้ามายุ่งกับญาติของฉัน…แต่นายไม่ต้องห่วง เพราะพวกเราเอาอยู่!”
ฉินอวี่นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อืม…งั้นมาวางแผนทำคดีกันเถอะ”
“คืนนี้พวกเราต้องทำงานล่วงเวลาเหรอ?” จู้เหว่ยถามขณะวางแก้วน้ำลงพลางเดินไปยืนข้างฉินอวี่ “หัวหน้ามีบุหรี่ไหม? ขอสักมวนสิ!”
“หมดแล้ว ฉันมีแค่กล่องเดียว”
“เฮ้อ…สิ่งดีๆ มักอยู่กับเราไม่นาน หัวหน้าควรตุนไว้เยอะๆ สิ!” จู้เหว่ยกล่าวขณะเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกมาสูบ “พวกเราจะวางแผนกันคืนนี้ใช่ไหม?”
“อืม ผู้หมวดหยวนสั่งให้พวกเราปิดคดีนี้โดยเร็วที่สุด!” ฉินอวี่ตอบ “งานนี้มันคงจะยากทีเดียว อย่างแรก…พวกเราต้องสำรวจเส้นทางในการขนส่งยาเสียก่อน”
ก่อนที่ทุกคนจะได้อ้าปากพูด จู้เหว่ยนั่งลงบนโต๊ะทำงานพร้อมกล่าว “ไม่จำเป็นต้องสอดแนม แค่บุกจับพวกมันที่ตรอกเถ้าธุลีก็สิ้นเรื่อง”
ฉินอวี่ตะลึง “นายรู้เหรอว่าพวกมันอยู่ที่ไหน?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งจากเบื้องบนก็คงไม่มีใครอยากไปที่นั่น!” จู้เหว่ยแคะเล็บด้วยความเบื่อหน่าย “พวกนั้นขายยาอย่างเปิดเผย ผมเจอหลายครั้งแล้ว!”
“ฉันได้ยินจากผู้หมวดหยวนว่าเขตพิเศษนั้นเข้มงวดเรื่องการปราบปรามการลักลอบค้ายามาก! แล้วทำไมพวกเขายังกล้าทำอย่างโจ่งแจ้งล่ะ?”
“เขตพิเศษที่เก้านั้นต่างจากที่อื่น” ฉีหลินอธิบาย “ที่นี่ก่อตั้งช้ากว่าเขตพิเศษอื่นๆ และเต็มไปด้วยผู้คนหลายเชื้อชาติ ดังนั้นจึงวุ่นวายกว่าทุกเขต….อีกทั้งการเลือกประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งทางทหารขึ้นในซ่งเจียงและเฟิงเป่ย…ดูเอาเถอะว่ามันวุ่นวายขนาดไหน!”
“อ๋อ…เข้าใจแล้ว” ฉินอวี่พยักหน้าอย่างไร้เดียงสา “แล้วมันพอจะเป็นไปได้ไหม…ถ้าเราจะบุกเข้าจับกุมอย่างกะทันหัน?”
ฉีหลินกำลังจะตอบ ทว่าจู้เหว่ยพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? พวกค้ายาไม่รู้ว่ามีคำสั่งจากเบื้องบนเสียหน่อย…และหากเราชิงเข้าจับกุมก่อน โอกาสในการปราบปรามก็จะง่ายขึ้นไงล่ะ!”
ฉินอวี่รู้สึกว่าคำพูดของจู้เหว่ยไม่น่าเชื่อถือ เพราะเขาดูราวกับคนที่ตัดสินสิ่งต่างๆ จากภายนอก ดังนั้นฉินอวี่จึงหันไปถามฉีหลินแทน “แล้วนายล่ะ? คิดว่ามันจะส่งผลต่อการสืบสวนไหม?”
“ฉันไม่แน่ใจน่ะ” ฉีหลินเกาหัว
“ฮ่าๆๆ นายถามอาหลินเนี่ยนะ?!” จู้เหว่ยระเบิดหัวเราะ “ไอ้หนูสกปรกที่เอาแต่มุดหัวอยู่ในรู ไม่เคยเข้าร่วมการปฏิบัติการเลยสักครั้งจะรู้ได้ยังไง!”
คำพูดเหล่านั้นทำให้ฉีหลินไม่พอใจอย่างมาก ทว่าเขากลับเอาแต่ยิ้มตอบ
“ฉินอวี่…นายเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน…เชื่อฉันสิแล้วจะไม่ผิดหวัง! คืนนี้ไปจับพวกมันกันเถอะ!” จู้เหว่ยกล่าวอย่างมุ่งมั่นโดยไม่สนลำดับยศ “ไป! ฉันจะเบิกปืนที่คลังอาวุธมาให้”
เห็นได้ชัดว่าสมาชิกทีมที่สามเชื่อฟังจู้เหว่ย เพราะพวกเขาลุกขึ้นยืนตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี่นั่งจ้องจู้เหว่ยตาไม่กะพริบ แต่แทนที่จะห้ามปราบเขากลับกล่าวว่า “เอาล่ะ…ไปกันได้!”
จู้เหว่ยกระโดดลงจากโต๊ะพลางตบบ่าฉินอวี่พร้อมหัวเราะอย่างสะใจ “นายโชคดีมากที่ได้เข้าทีมสาม! เพราะพี่น้องของเราไม่ใช่พวกนอนรับเงินเดือนไปวันๆ! ฉันชอบความเด็ดเดี่ยวของนายเสียจริง…ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าฉันและพี่น้องของเราจะสนับสนุนนายอย่างเต็มที่!”
ฉินอวี่กัดฟันพลางมองไปยังแผลที่หัวไหล่
“เชี่ย! ลืมไปเลยว่านายบาดเจ็บ!” จู้เหว่ยอุทานพลางก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว “เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ฉินอวี่มองอีกฝ่ายพลางกล่าว “ไม่เป็นอะไร…นายไปเบิกปืนได้แล้ว”
“อืม…จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” จู้เหว่ยหันหลังเดินออกไป
ฉินอวี่มองจู้เหว่ยที่กำลังเดินออกไปพร้อมขมวดคิ้ว
“หัวหน้าทีม…จู้เหว่ยนั้นแตกต่างจากผู้การสาม…แม้จะทำตามอำเภอใจไปบ้าง ทว่าเขาก็ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร” ฉีหลินเดินมาหาฉินอวี่พลางกล่าว “อย่าถือสาเลย”
คำจำกัดความของจู้เหว่ยก็คือ ‘วู่วาม’ เพราะข้อเสียของเขาคือชอบที่ทำอะไรโดยไม่คิดถึงจิตใจผู้อื่น
เมื่อใดที่มีปัญหากับคนอื่นเพราะนิสัยวู่วาม เขามักพูดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย…ไม่จำเป็นต้องจริงจังถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังว่าอีกฝ่ายเป็นคนใจแคบและทำตัวเนียนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น…
หากเป็นสถานการณ์อื่นฉินอวี่คงอยู่ให้ห่างจากคนแบบจู้เหว่ย ทว่าตำแหน่งหัวหน้าทีมที่สามจึงไม่มีทางเลือก…เหว่ยคือผู้ใต้บังคับบัญชา อีกทั้งยังอยู่ในสังกัดเดียวกันดังนั้นมันหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉินอวี่ไม่สามารถปล่อยจู้เหว่ยให้ทำตามใจได้เหมือนอย่างเคย เพราะหากจู้เหว่ยออกคำสั่งในนามของเขาโดยพลการ ฉินอวี่คงเดือดร้อน
การที่ทุกคนในทีมสามเห็นดีเห็นงามกับจู้เหว่ยนั้นรังแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง หากฉินอวี่จัดการกับจู้เหว่ยทันทีหลังจากย้ายมาใหม่นั่นก็คงส่งผลแย่กับเขาและทีม
แล้วเขาควรทำอย่างไร?
ขณะที่ฉินอวี่จมอยู่ในห้วงความคิด ฉีหลินได้สังเกตถึงประติกิริยาของฉินอวี่พลางครุ่นคิดว่าอยากเห็นฉินอวี่ลุกขึ้นต่อต้านจู้เหว่ยไปพร้อมกับการรักษาตำแหน่งหัวหน้าทีมสาม
…
สองทุ่มครึ่งในคืนนั้น
รถตำรวจสองคันแล่นมาจอดข้างถนนตรอกเถ้าธุลี ฉินอวี่และสมาชิกทีมสามสวมชุดลำลองเดินลงจากรถพลางมุ่งหน้าไปยังถนนตรอกเถ้าธุลี
ตรอกเถ้าธุลีถือว่าเป็นตรอกที่วุ่นวายที่สุดในเมืองพื้นทมิฬ เพราะมีคนที่ได้รับวีซ่าแต่ไม่มีงานทำอาศัยอยู่ที่นี่กว่าแสนคน ตลอดสองข้างทางในตรอกนี้มีร้านค้าประดับไฟสีชมพูพร้อมหญิงสาวราวแปดคนยืนเต้นยั่วยวนเพื่อดึงดูดลูกค้า
ภายในตรอกมืด…พวกขี้ยายืนพิงกำแพงพร้อมสายตาอันเลื่อนลอย
ฉินอวี่เคยเห็นผู้คนประเภทนี้มามากตอนที่ยังอาศัยในเขตพัฒนา เขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไรและเดินก้มหน้าผ่านไป
…
หลังจากเดินไปหนึ่งกิโลเมตร พวกเขาได้หยุดอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่งที่ไม่มีป้ายชื่อ
จู้เหว่ยเกาศีรษะพลางกระซิบบอกฉินอวี่ “ที่นี่คือร้านขายยา”
“ไม่เห็นมีใครเลย…” ฉินอวี่เอ่ยถามขณะมองเข้าไปด้านใน “ฉันไม่เคยจับกุมคนเหล่านี้มาก่อน ต้องทำอย่างไร? เดินเข้าไปจับได้เลยเหรอ?”
ฉีหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “บุกจับกุมระหว่างการซื้อขายคงดีกว่า”
ฉินอวี่นั่งลงข้างทางพร้อมไตร่ตรองอยู่นาน ทว่าเขายังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี “ซื้อขายกันอย่างเปิดเผยขนาดนี้! พวกมันไม่คิดจะระวังตัวกันบ้างเหรอ? ฉันคิดว่าพวกเราไม่ควรบุ่มบ่ามเข้าไปเพราะพวกมันอาจไหวตัวทัน!”
คำพูดเหล่านั้นทำให้จู้เหว่ยโมโห “ฉันบอกแล้วไงว่าพวกมันไม่ได้สนใจตำรวจหรือกฏหมาย หากอยากกวาดล้างพวกเราต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด! ถ้าเอาแต่สืบสวนเงียบๆ พวกมันอาจไหวตัวทันและนั่นจะทำให้การปราบปรามกลายเป็นเรื่องยาก!”
ฉินอวี่มาถึงที่นี่ได้ไม่นาน อีกทั้งไม่เคยมีประสบการณ์การใช้กฎหมายในเขตพิเศษที่เก้ามาก่อน เขาจึงครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนหันไปถามชายชาวแอฟริกัน “จาบี…นายคิดว่ายังไง?”
“ฉันไม่เคยทำคดีแบบนี้มาก่อน…” จาบีตอบ “แต่ถ้าเราใช้เวลาในการสืบสวนมากไป ข่าวพวกนี้อาจรั่วไหลไปได้นะครับ!”
ฉินอวี่ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนออกคำสั่ง “เราขับรถตำรวจเข้าไปไม่ได้เพราะมันดึงดูดสายตาประชาชนมากเกินไป…จาบีและน้องหก! ฉันอยากให้พวกนายขับรถไปรอด้านหลังตรอก หากจับพวกมันได้พวกเราจะกลับไปขึ้นรถที่จุดนัดหมายทันที!”
“ครับ!”
“ส่วนที่เหลือแยกย้ายไปปฎิบัติหน้าที่ ตรวจสอบปืน กระสุน และเสื้อกันกระสุนกันให้ดี!” ฉินอวี่สั่งการ “เราจะเข้าจับกุมทันทีที่มีคนเข้าไปในร้าน!”
“หึ! ออกปฏิบัติการแค่นี้ต้องสวมเสื้อกันกระสุนด้วยเหรอ? ขี้ขลาดกว่าที่คิดนะเนี่ย!” จู้เหว่ยพูดกวนโทสะ “ไอ้พวกค้ายา! แกไม่มีที่ยืนในโลกใบนี้แล้ว! เมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนฉันมาลาดตระเวนและจับหนึ่งในพวกมัน ชายคนนั้นไม่เกรงกลัวหรือพยายามหนีเสียด้วยซ้ำ นายไม่รู้หรอกว่าประติกิริยาเช่นนั้นมันน่ากลัวเพียงไหน…”
ฉินอวี่มองจู้เหว่ยพลางกล่าว “เริ่มปฏิบัติการได้!”
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ชายหนุ่มสองคน และชายวัยกลางคนเดินเข้าไปในร้านค้า
ฉินอวี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นสั่งการ “สังเกตการณ์ผ่านหน้าต่างว่าพวกมันเริ่มซื้อขายหรือยัง?”
ไม่นานฉีหลินตอบกลับหลังจากนั้นไม่นานนัก “พวกมันเริ่มการซื้อขายแล้ว!”
“ทุกคน! บุก!” ฉินอวี่สั่งการทันที “เข้าไปในร้าน!”
ครู่ต่อมา…ชายหนุ่มแปดคนได้พุ่งเข้ามาจากคนละทิศละทางพลางถีบประตู
ภายในร้านค้ามีชายหนุ่มสองคนและชายชรายืนบรรจุยาอยู่ด้านหน้าเคาน์เตอร์ ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีชายรูปร่างกำยำยืนสูบบุหรี่ไฟฟ้าอยู่
ชายทั้งสี่หันมองทางประตูด้วยความตกใจที่จู่ๆ มีคนมากมายบุกเข้ามา
จู้เหว่ยก้าวไปด้านหน้าพลางจ่อปืนไปที่ชายร่างกำยำพลางตะโกน “นี่คือตำรวจ! ยกมือขึ้นแล้วเดินไปด้านข้าง!”
ชายร่างกำยำตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว จึงเดินถอยหลังพร้อมชักปืนออกมาจากเอวโดยไม่สนใจคำสั่งของจู้เหว่ย
ภายใต้สถานการณ์กดดันและวุ่นวายเช่นนี้ ย่อมไม่มีอาชญากรคนไหนเกรงกลัวตำรวจ ดังนั้นทันทีที่จู้เหว่ยเห็นปืนจึงพุ่งตัวเข้าไปคว้าและทุบด้ามปืนลงไปที่ศีรษะของชายร่างกำยำทันที
‘ผัวะ ผัวะ ผัวะ!’
จู้เหว่ยพยายามทุบศีรษะชายร่างกำยำถึงเจ็ดครั้ง ทว่าชายผู้นั้นกลับขัดขืนและดิ้นสุดชีวิต! จู้เหว่ยจึงกระชากหัวของเขากระแทกเข้ากับเคาน์เตอร์อย่างแรง!
ตึง! ชายผู้นั้นทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมเลือดสดๆ ไหลลงมาจากหน้าผาก
เสียงฝีเท้าลุกลี้ลุกลนได้ดังมาจากชั้นบน ชายหัวล้านที่สวมเสื้อโค้ตทหารรีบวิ่งลงมาด้วยหน้าตาแตกตื่น เขาตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมคว้าวิทยุสื่อสารขึ้นมา “ร้านสองถูกบุก! มาช่วยที่นี่ด่วน!”
ความเงียบเข้าครอบคลุมชั่วขณะ
จากนั้นเสียงฝีเท้าอึกทึกดังขึ้น พร้อมด้วยกลุ่มคนพุ่งออกมาจากร้านขายยาที่ตั้งอยู่ทั้งสองข้างทาง
กลุ่มคนเหล่านั้นต่างพกมีด ท่อเหล็ก โซ่ และปืนเป็นอาวุธ พวกเขายืนปิดล้อมร้านราวกับน้ำขึ้น!
ฉินอวี่มองไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านนอกพลางนึกถึงภาพผู้คนในเขตพัฒนาที่มักรวมตัวกับเพื่อแย่งชิงอาหาร ขนแขนของเขาพลันลุกชันพร้อมกำปืนแน่นทันที
จู้เหว่ยเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านหน้าต่าง เหงื่อพลันไหลลงมาจากหน้าผาก เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่และพึมพำ “พะ…พวกมันแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? มะ…มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
………………………………….