ตอนที่ 7 สวัสดีครับผู้หมวดหยวน
แม้ฉินอวี่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองหัวหน้าแล้วก็จริง…ทว่าคนส่วนใหญ่ในหน่วยงานยังคงปฏิบัติราวกับว่าเขาไม่ใช่คนมียศมีตำแหน่ง มีเพียงฉีหลิน แมวเฒ่า และเจ้าหน้าที่สองสามคนที่ยำเกรงในตำแหน่งของฉินอวี่
หากคนนอกหน่วยงานปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ก็คงจะไม่เป็นอะไร ทว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต่างต้องทำงานและพบเจอกับฉินอวี่แทบทุกวัน…ถึงพวกเขาจะไม่กล้าหาเรื่องหรือยั่วยุ ทว่าพวกเขาไม่คุยและไม่ให้ความร่วมมือกับฉินอวี่เลย ทุกครั้งที่ฉินอวี่ก้าวเข้าไปในห้องพัก รูมเมททุกคนต่างพากันวงแตกและเดินออกจากห้องในทันที และเมื่อใดที่ฉินอวี่เดินออกไป คนเหล่านั้นก็จะเข้าห้องพัก ดูเหมือจะโดนรังเกียจแล้วล่ะ…
ทุกคนปฏิบัติเช่นนี้ก็เพราะเขาไม่ถูกกับหัวหน้าการสาม อีกทั้งยังได้รับการเลื่อนยศอย่างกะทันหันและรวจเร็ว นั่นเลยทำให้ผู้คนอิจฉา
ถ้าเป็นคนอื่น คนนั้นก็คงรู้สึกผิดต่อหัวหน้าการสาม…ทว่าฉินอวี่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เพราะลึกๆ แล้วเขาเป็นคนเย็นชาและใจแข็ง ด้วยเหตุนี้…การกระของผู้อื่นจึงไม่ได้ส่งผลต่อเขานัก ฉินอวี่คิดว่าการแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนบางทีมันก็ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น
เขารู้ว่าหากทำตัวอ่อนแอเกินไปเขาจะโดนกดขี่และเอาเปรียบ ถ้ายอมอ่อนข้อให้หัวหน้าการสามแล้วครั้งหนึ่ง…ก็ต้องยอมไปอีกร้อยครั้ง หากวันนั้นเขายอมเข้ากะแทน…ในอนาคตเขาคงถูกใช้ให้ทำอย่างอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น…อาจได้ทำความสะอาดห้องหรือซักผ้า ซึ่งนั่นมันไม่ใช่สิ่งฉินอวี่จะรับได้
แม้ฉินอวี่ไม่ได้ใส่ใจคนอื่นนัก ทว่ารู้สึกอึดอัดในใจเล็กน้อยเพราะเขาต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับคนเหล่านี้ เขาต้องเผชิญกับใบหน้าบึ้งตึงตลอดทั้งวันและนั่นคงเป็นเรื่องที่ไม่สบอารมณ์นัก…
หลังได้รับเงินโบนัสสามพันเหรียญจากคดีของมัสซึชิตะ ฉินอวี่ตัดสินใจเช่าบ้านอยู่ทันทีเพื่อหลีกหนีจากปัญหาเหล่านั้น
เนื่องจากเขาเข้ากับคนพวกนั้นไม่ได้แล้วทำไมต้องอดทนอยู่ที่นั่นด้วยล่ะ เนื่องจากฉินอวี่มาอยู่ที่เขตพิเศษได้ไม่นานนักเขาจึงไม่สามารถหาบ้านเช่าได้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงต้องขอให้แมวเฒ่าช่วยหาบ้านเช่าที่ราคาไม่แพงนักพร้อมด้วยเครื่องอำนายความสะดวกครบครัน
ประจวบเหมาะกับที่แมวเฒ่ารู้สึกถูกชะตากับฉินอวี่เป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจช่วยฉินอวี่ในทันที…
วันรุ่งขึ้น…
ทันทีที่ฉินอวี่มาถึงสำนักงานตำรวจเพื่อเข้ากะ จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกดังขึ้น “ฉินอวี่…ผู้หมวดหยวนเรียกไปพบที่โรงอาหาร”
ขณะที่ฉินอวี่กำลังจะเอ่ยถามชายผู้นั้นว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าไม่ทัน…เขาเดินออกไปแล้ว และก็คงเป็นเพราะเขาไม่อยากสนทนากับฉินอวี่…
“เฮอะ” ฉินอวี่หัวเราะ เขาคว้าเสื้อโค้ทและเดินออกจากห้องทำงาน
ณ โรงอาหารของสำนักงาน…
“เขาอยู่ไหนวะ?” ฉินอวี่บ่นพึมพำกับตัวเอง…
หลังจากถามเจ้าหน้าที่แถวนั้น ในที่สุดเขาก็เห็นว่าผู้หมวดหยวนนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง
หยวนเค่อสูงราวหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร รูปร่างดี ผิวละเอียด โดยรวมแล้วดูเป็นคนห้าวหาญ ทั้งยังมีดวงตารูปพระจันทร์เสี้ยวที่ดูเหมือนกำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา เขามีเสน่ห์และน่าประทับใจ…
“สวัสดีครับ ท่านคือผู้หมวดหยวนใช่ไหม? ผมฉินอวี่ครับ”
“สวัสดี” หยวนเค่อยิ้มพลันยืนขึ้นและจับมือฉินอวี่ “เมื่อสองวันก่อนฉันไม่ได้อยู่ในซ่งเจียงเลยไม่ได้ไปต้อนรับ ดังนั้นก็เลยเรียกนายมาที่นี่”
“ครับ ผมได้ยินว่าท่านติดประชุมที่เฟิงเป่ย”
“เป็นยังไงบ้าง? ปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้หรือยัง?” หยวนเค่อถามขณะผายมือเชิยให้ฉินอวี่นั่ง
“ครับ เริ่มคุ้นเคยกับระบบของที่นี่แล้ว” ฉินอวี่ตอบพลันนั่งลง
“ดีแล้ว…” หยวนเค่อรินน้ำให้ฉินอวี่ “ฉันได้ยินเรื่องที่นายจัดการมัสซึชิตะ…ฉันภูมิใจในตัวนายมาก”
“ผมบังเอิญไปเจอพอดีครับ…นับว่าเป็นโชคดี” ฉินอวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อเช้าฉันได้คุยกับผู้กำกับหลี่และรู้เรื่องการเลื่อนตำแหน่งของนายแล้ว” หยวนเค่อกล่าว “อาชญากรอย่างมัสซึชิตะถูกจับกุม บุคคลที่จัดการเรื่องนี้ก็ต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่ง…นั่นมันคือรางวัลตอบแทนสำหรับความกล้าหาญ!”
“ผู้กำกับหลี่ตั้งใจที่จะเลื่อนยศให้เป็นนายเจ้าหน้าที่ระดับสอง สำหรับคนอื่นอาจดูเป็นเรื่องแปลกเพราะนายเพิ่งมาใหม่ และยังจัดการกับคดีใหญ่ได้ ซึ่งการได้เลื่อนขั้นในช่วงเวลาอันรวดเร็วอาจทำให้เกิดการซุบซิบนินทา…ไม่ต้องรีบหรอกเนอะ เรายังมีเวลาอีกเยอะ”
“ครับ ผู้กำกับหลี่บอกผมแล้ว ซึ่งผมเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร…” ฉินอวี่ตอบ “ในฐานะเด็กใหม่ ผมควรปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมให้ดีเสียก่อนครับ”
“แต่ไม่ต้องกังวล…นายจะได้เลื่อนยศแน่นอน!”
“…”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน พนักงานได้นำอาหารมาเสิร์ฟซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อวัวและผักที่มีราคาแพง สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่คิดว่าหยวนเค่อเป็นคนใจกว้างและเป็นมิตร
“เราไม่สามารถดื่มฉลองในช่วงเวลางานได้…ดังนั้นก็กินอาหารดีดีนี่แทนแล้วกัน” หยวนเค่อกล่าวพลางเติมน้ำให้ฉินอวี่
“ดีครับ”
“เอาล่ะ…รีบกินตอนที่มันยังร้อนอยู่ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อยเอา”
“ครับ”
เมื่อพูดจบทั้งสองก็เริ่มรับประทานอาหารทันที หนวนเค่อมองไปยังฉินอวี่เพื่อประเมินนิสัยใจคอ เขาตระหนักได้ว่า…ต่อให้ชายผู้นี้มาจากเขตพัฒนาแต่เขากลับประพฤติตัวดีและอ่อนน้อม
“ฉินอวี่…นายควรเข้าบรรจุสังกัดที่สามนะ” หยวนเค่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “หัวหน้าทีมหน่วยสามโดนปลดเนื่องจากฝ่าฝืนกฎและทุจริต…ฉันว่าจะให้นายเป็นหัวหน้าทีมสามชั่วคราว นายคิดว่าไง?”
ฉินอวี่ผงะเล็กน้อย “ตำแหน่งนี้ไม่สูงไปหน่อยเหรอครับ? เพราะตอนแรกผู้กำกับหลี่ตั้งใจจะให้ผมดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าเท่านั้น…”
“ถ้าตอนนี้นายได้เป็นรองหัวหน้านั่นก็เท่ากับเป็นหัวหน้าทีมชั่วคราวใช่ไหมล่ะ ลองคิดดูสิ…ผู้กำกับหลี่ตั้งใจจะเลื่อนยศให้นายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสองอยู่แล้ว และเมื่อนายเข้ารับตำแหน่ง เขาก็จะให้นายเป็นหัวหน้าทีมอย่างเป็นทางการ” หยวนเค่อกล่าว “มันเป็นเรื่องภายในของหน่วยงานไม่มีอะไรยุ่งยากหรอก”
“เข้าใจแล้วครับ…ยังไงก็ต้องขอบคุณที่ให้โอกาสผมนะครับ”
“ฉินอวี่…ฉันไม่ใช่เจ้าของสำนักงานตำรวจ ฉันไม่สามารถดำรงตำแหน่งผู้หมวดหรือผู้บังคับหน่วยงานได้…หากไม่ใช่เพราะพี่น้องในหน่วยที่หนึ่งที่ร่วมกันต่อสู้” หยวนเค่อกล่าวอย่างสนิทสนม
“ตั้งแต่วันแรกที่นายเข้ามาในหน่วยหนึ่ง…ฉันถือว่านายคือพี่น้องและต้องคอยดูแลสนับสนุนกันและกัน ไม่จำเป็นต้องทำตัวสุภาพมากมายนัก และไม่ต้องเกรงใจที่จะถามหรือร้องขอถ้าหากสิ่นนั้นมันเป็นสิ่งที่นายควรจะได้รับ… ถ้าให้ได้ฉันก็จะให้ เราทุกคนที่นี่กินข้าวจากหม้อเดียวกัน…ทุกคนล้วนแต่ต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าถ่อมตัวมากไปเลย!”
ที่จริงแล้วฉินอวี่คิดว่าตัวเองอาจโดนหยวนเค่อลงโทษเรื่องที่เขาทำร้ายหัวหน้าการสาม ถึงแม้จะเขาจะไม่ได้ลงโทษโดยตรงแต่คงใช้กลอุบายต่างๆ เพื่อขัดขวางการทำงาน
แต่ใครจะรู้ว่าหยวนเค่อ…เป็นคนอ่อนน้อมและอบอุ่นถึงเพียงนี้ เขาไม่ได้บ้าอำนาจหรือลงโทษฉินอวี่เลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับดูเป็นกันเองอย่างน่าตกใจ
“ผู้หมวดครับ ขอบคุณอีกครั้งที่หวังดีกับผม!” ฉินอวี่รับรู้ถึงความปรารถนาดีของหยวนเค่อจึงยกถ้วยขึ้นพลันพูดว่า “ผมจะทำหน้าที่ในหน่วยหนึ่งอย่างสุดความสามารถครับ!”
หลังจากพูดจบทั้งสองก็กระดกแก้วน้ำในมือทันที
หยวนเค่อเช็ดปากก่อนจะมองไปยังฉินอวี่ “เอาล่ะ หลังจากพูดคุยกันในฐานะเพื่อนเสร็จแล้ว…เรามาคุยเรื่องงานกันดีกว่า”
“ครับ!”
“เมื่อเช้านี้ฉันได้รับหมายจับมาหลายใบ…ในนั้นมีหมายจับอาชกรรายใหญ่จากเขตพัฒนาที่บุกมายังเขตพื้นทมิฬ ฉันมอบหมายให้หน่วยหนึ่งรับผิดชอบ และมาที่นี่เพื่อจัดระเบียบการปฏิบัติการนี้” หยวนเค่อกล่าว “มีคดีสำคัญอื่นๆ ที่ฉันต้องดูแล และนายเพิ่งมาใหม่อาจยังไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับอาชญากรรายใหญ่ ดั้งนั้นฉันคิดว่าจะให้นายเป็นหัวหน้าสังกัดสามที่จะช่วยฉันจัดการกับคดีสำคัญอื่นๆ ที่มีไปก่อน”
“คดีเหรออะไรครับ?” ฉินอวี่ถาม
“การลักลอบขายยารักษาโรค” หยวนเค่อจิบน้ำก่อนจะเริ่มอธิบาย “เมื่อไม่นานมานี้มีการลักลอบขายยามากมายในเขตพื้นทมิฬ ซึ่งยาเหล่านั้นมันมาจากแหล่งผิดกฎหมาย…ที่จริงไม่มีค่อยใครสนใจคดีนี้เพราะเรามีคดีอื่นที่ที่สำคัญกว่าต้องรับมือ และเราไม่สามารถแบ่งเจ้าหน้าที่ไปจัดการเรื่องนี้ได้เพราะคนไม่พอ…”
“ในเขตปกครองกลางเมืองเฟิงเป่ย สองบริษัทเภสัชกรรมรายใหญ่สร้างแรงกดดันมากมายให้รัฐบาลสหพันธรัฐ นั่นก็เพราะการลักลอบขายยาส่งผลต่อกำไรของพวกเขา…”
“อย่างที่รู้…ยิ่งโลกวุ่นวายมากเท่าไหร่ บริษัทที่มีอิทธิพลต่อการช่วยเหลือรัฐก็ยิ่งมีอำนาจมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเบื้องบนจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากกดดันให้เราเร่งจัดการเรื่องนี้เสีย ประธานบริษัทซ่งเจียงเภสัชกรรมโทรไปยังสำนักงานใหญ่เกือบทุกวัน และสำนักงานใหญ่ได้กดดันผู้กำกับหลี่ให้รีบจัดการเรื่องนี้ ทั้งยังยื่นคำขาดให้หน่วยที่หนึ่งรับหน้าที่กวาดล้างผู้ที่ลักลอบขายยาทั้งหมดในพื้นทมิฬ และต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในสามเดือนนี้”
“เราต้องกำจัดพวกมัน หรือแค่ตักเตือนครับ?” ฉินอวี่ถาม
หยวนเค่อผงะเล็กน้อยและตอบด้วยสีหน้าประหลาดใจ “กำจัด!”
“สังกัดที่สามมีกำลังพลมากพอหรือครับ?”
“นายต้องทำการสืบเบาะแสมาก่อน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วฉันจะให้หน่วยหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือบ้างบางส่วน” หยวนเค่อตอบ “เนื่องจากหน่วยหนึ่งจำเป็นต้องมุ่งเน้นการจับกุมอาชญากรรายใหญ่ที่บุกเข้ามาจากเขตพัฒนา ดังนั้นคงช่วยได้ไม่มาก”
“รับทราบครับท่าน” ฉินอวี่รู้ดีว่าต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาตราบใดที่ยังสวมเครื่องแบบตำรวจอยู่ นี่เป็นกฎเหล็กของสำนักงานและเขาไม่มีทางเลือก
“รัฐบาลสหพันธรัฐให้ความสนใจและพยายามอย่างมากที่จะจัดการกับปัญหาการลักลอบขายยา นั่นก็เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเภสัชกรรมและผลประโยชน์ของผู้ป่วยที่ได้รับความเดือดร้อนด้วย ผู้ใดก็ตามที่ลักลอบขายยาที่มีปริมาณมากกว่าห้ากิโลกรัมจะต้องโทษประหารชีวิต…” หยวนเค่ออธิบาย “เพราะฉะนั้นนายต้องทำคดีอย่ารอบคอบ และการจับกุมขบวนการนี้จะต้องเป็นไปอย่างราบรื่นและสำเร็จภายในสามเดือนนี้ให้ได้ และที่สำคัญระวังความปลอดภัยของนายและทีมด้วย”
“รับทราบครับ”
“ฉันจะส่งข้อมูลไปยังสังกัดที่สามไม่เกินบ่ายนี้ นายต้องหาข้อสรุปให้ได้โดยเร็วที่สุด จากนั้นเริ่มวางแผนทันที นอกจากนี้ยังต้องทำความคุ้นเคยกับลูกน้องในทีมด้วย นายจะพาพวกเขาไปเลี้ยงอาหารก็ได้นะ นั่นก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์ยังไงล่ะ!” หยวนเค่อกล่าวขณะยืนขึ้นเพื่อเรียกเก็บเงิน
หลังจากจ่ายเงินค่าอาหาร…หยวนเค่อหยุดชะงักก่อนจะหันมาพูดกับฉินอวี่ “ใช่สิ ลืมไปเลย…หัวหน้าการสามเป็นคนฉุนเฉียวและพูดไม่คิด อย่าไปกวนใจเขามากล่ะ…เดี๋ยวฉันจะหาวันให้นายสองคนได้ปรับความเข้าใจกัน”
ฉินอวี่พยักหน้า “ผมคงทำให้นายหนักใจแย่เลยครับ”
“เอาล่ะ ฉันจะไปแล้ว…มีงานอีกมากมายที่ต้องจัดการ” หยวนเค่อกล่าวขณะยิ้มให้ฉินอวี่ก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน
ฉินอวี่มองไปยังหยวนเค่อขณะพึมพำกับตนเอง “เขาดูเป็นคนใจกว้างมากเหมือนกัน…”
บ่ายโมงตรง…
ขณะฉินอวี่กำลังมุ่งหน้าไปยังสังกัดสาม แมวเฒ่าบอกให้เขารีบไปยังบ้านเลขที่แปดสิบแปด…ถนนทงไป่ทันที
ฉินอวี่ดูนาฬิกาบนโทรศัพท์และเห็นว่ายังเหลือเวลาพัก…ดังนั้นเขาจึงรีบไปยังบ้านเช่าอย่างเร็วที่สุด
ฉินอวี่ใช้เวลาเดินเท้าราวสิบห้านาที เมื่อถึงทางเข้าบ้านเขาได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง “คุณ คุณคนนั้น! เอ่อ…ผู้ชายหรือผู้หญิงหน่ะ…คุณใช่คนที่จะมาดูบ้านไหม?”
เมื่อได้ยินดังนั้นฉินอวี่จึงหันไปมองต้นเสียงทันที! เขาพบหลินเหนียนเล่ยสวมเสื้อคลุมอยู่หน้าบันได หล่อนยิ้มออกมาอย่างไร้ความหวาดกลัว…เธอดูสวยราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายอย่างไงอย่างนั้น
………………………………………………………….