Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 36

ตอนที่ 36

ตอนที่ 36 ค่ำคืนแห่งความเจ็บปวด

บนชั้นสองของบ้านพัก มีชายอ้วนกำลังกินเนื้อแกะพร้อมไวน์ขาวราคาแพงก่อนจะหันไปคุยกับชายสองคนที่นั่งข้างๆ ว่า “ถ้าเราจัดการพ่อค้ายารายใหญ่ได้ ตระกูลหม่าก็จะไม่มีของมาปล่อยและหมดอำนาจไป แค่นี้ตลาดขายยาใต้ดินของซ่งเจียงก็จะตกเป็นของเรา เหมือนที่เคยบอกไปไง…ว่าตระกูลหยวนจะไม่เป็นคนจัดการ พวกนายต้องหาซื้อยาและปล่อยเอง รายได้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์จะเป็นของพวกฉัน ส่วนที่เหลือเป็นของพวกนาย”

ชายวัยกลางคนทางซ้ายเช็ดปากก่อนพูดว่า “ต่อให้ไม่มีตระกูลหม่า เราก็ยังมีคู่แข่งอยู่ดี”

“บริษัทขายยานั้นอ่ะเหรอ? ห่วงไปทำไม มันทำงานให้เรา!” ชายอ้วนหัวเราะลั่น “เราทำข้อตกลงกันไว้แล้ว พวกเขาจะเพิ่มราคาขึ้นอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ ทำให้เรากลายเป็นเจ้าที่ขายยาถูกที่สุด แค่นี้ไอ้พวกขี้ยาก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากซื้อยาของเรา!”

“ทุกอย่างอยู่ในกำมือเราแล้ว” ชายร่างผอมที่นั่งฝั่งขวาหัวเราะก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบและพูดต่อว่า “ฉลองให้กับความล่มจมของตระกูลหม่ากัน!”

“ชน!”

ทั้งสามหัวเราะพลางยกแก้วขึ้นชน

ขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากชั้นล่าง ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีหิมะติดเต็มตัวเดินขึ้นบันไดมา

ชายอ้วนมองตรงทางเข้าห้องก่อนขมวดคิ้วถาม “แกเป็นใคร?”

“ฉันชื่อฉีหลิน” ชายหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมาขณะปัดหิมะออกจากร่าง

ทั้งสามคนตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนวางแก้วไวน์ลง

ฉีหลินมองเนื้อแกะต้มพร้อมเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่พลันยิ้มและกล่าวว่า “ไวน์กับอาหารชั้นดีเลยนี่

ชายอ้วนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนหยิบยาสูบจากห่อบนโต๊ะขึ้นมาคาบพลางบ่นพึมพำ “ไอ้ซาก้า…ไอ้คนไร้ประโยชน์นั่นไม่ดูต้นทางอีกแล้ว คงมัวแต่เล่นไพ่นกกระจอกจนไม่แหกตาดูว่ามีหนูเล็ดลอดเข้ามา”

ชายอ้วนหยิบไฟแช็กขึ้นหมายจุดยาสูบหลังพูดจบ

“ฟู่ว!”

ฉีหลินเป่าไฟแช็กดับขณะที่มือล้วงกระเป๋าอยู่

ชายอ้วนตกใจกับการกระทำอันอุกอาจของฉีหลินก่อนจะเงยหน้ามองพร้อมพูดว่า “ฉันเพิ่งได้ยินเรื่องแกมาวันนี้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ…แกต้องการอะไรถึงได้มาที่นี่?”

“แกคือพี่ของหยวนเค่อใช่ไหม?” ฉีหลินถาม

ชายอ้วนคายยาสูบทิ้งก่อนตอบ “ฉันคือหยวนเหว่ย เป็นอาของมัน”

ฉีหลินทำสีหน้าผิดหวังก่อนตอบว่า “คิดว่าจะเจอต้นตอของปัญหาแล้วซะอีก”

“หึ!” หยวนเหว่ยแค่นเสียงหัวเราะพลางชี้ไปที่บันไดก่อนพูดว่า “คิดจะจับฉันเป็นตัวประกันเหรอ? รู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน?​ แค่ฉันตะโกนครั้งเดียว คนนับสิบพร้อมอาวุธครบมือก็วิ่งกรูเข้ามาแล้ว!”

ฉีหลินจ้องหน้าหยวนเหว่ยพร้อมถาม “จะอวดว่าตัวเองมีลูกน้องเยอะเหรอ?”

“ฮ่าๆๆ ดูไอ้หนูนี่พูดเข้าสิ!” ชายวัยกลางคนทางซ้ายระเบิดเสียงหัวเราะก่อนจะตบหัวฉีหลินพร้อมพูดว่า “ถ้าคนมีน้อยแล้วตระกูลหยวนจะยึดเขตพื้นทมิฬได้ยังไง? เสียเวลา! รีบส่งของมาแล้วไปซะ รู้หรือเปล่าว่ามีคนรออยู่อีกกี่ชีวิต? ไอ้…”

ทันใดนั้น ฉีหลินก็ชักปืนออกมาจ่อหัวชายวัยกลางคนก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน “ครอบครัวฉันต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพราะไอ้ของบ้าๆ นั่น แกยังจะพล่ามเรื่องชีวิตคนอื่นให้ฟังอีกเหรอ?”

“ปัง!”

เมื่อสิ้นเสียงปืน ชายวัยกลางคนก็ล้มลง เศษเนื้อสีขาวปนเลือดกระจายเต็มโต๊ะ ราวกับเพิ่มสีสันให้หม้อไฟหม่าล่าที่กำลังเดือด

หยวนเหว่ยกับชายร่างผอมอีกคนถึงกับอึ้ง ชายวัยกลางคนหงายหลังขณะนั่งเก้าอี้พร้อมกับร่างที่ชักกระตุกก่อนแน่นิ่งไป

ฉีหลินนั่งเอนหลังถือปืนพร้อมกับมองหน้าชายอ้วนก่อนเอ่ยถาม “มีพวกเยอะไม่ใช่เหรอ? เรียกมาสิ”

หยวนเหว่ยปากสั่นเล็กน้อยก่อนจะหยิบผ้าเช็ดมือขึ้นมาเช็ดเลือดบนหน้า เขารีบเดินไปที่บันไดก่อนจะตะโกนเสียงดัง “ใครก็ได้ขึ้นมาที!”

อันที่จริงเขาไม่ต้องเปลืองแรงตะโกนด้วยซ้ำ เพราะแค่เสียงปืนลั่น ลูกน้องทั้งเจ็ดก็แตกตื่นรีบคว้าปืนวิ่งออกจากห้องเล่นไพ่ขึ้นมาหาแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นลูกพี่เหว่ย?” ชายหนุ่มที่วิ่งนำขบวนมาถามด้วยความตื่นตระหนก

“มีแค่นี้เหรอ?” ฉีหลินถามพลางยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มก่อนลุกเดินไปที่ประตู

“ไปจับมัน!” หยวนเค่อออกคำสั่ง

ชายเจ็ดคนตรงบันไดรีบยกปืนขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน

“ปัง ปัง ปัง!”

เสียงกระสุนปืนดังต่อเนื่องทำลายความเงียบยามค่ำคืน

ฉีหลินเหนี่ยวไกอยู่กับที่ไม่คิดหลบแม้แต่น้อย

หลังทุกอย่างสงบลง

ชายสี่คนตรงบันไดก็แน่นิ่ง ส่วนฉีหลินถูกยิงเข้าที่หน้าท้อง

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ยังเหลือลูกน้องของหยวนเหว่ยอีกสามคนยืนถือปืนอยู่ที่ประตู ทั้งสามขาสั่นเทาด้วยความตกใจ คนที่ถูกยิงดิ้นอย่างทุรนทุรายก่อนสิ้นใจ

หยวนเหว่ยกับพรรคพวกนั่งอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบโต๊ะ

“มีฝีมือแค่นี้เองเหรอ?” ฉีหลินจ้องไปทางบันไดก่อนจะตะคอกด้วยใบหน้าที่เริ่มซีด “ไอ้พวกขยะ จะเอาเงินหรือชีวิต? หา?!”

พวกลูกน้องพากันถอยหลังอย่างตื่นกลัวหลังโดนฉีหลินตะคอกใส่

ฉีหลินก้าวเท้าไปที่บันไดราวกับจะพุ่งเข้าใส่ พวกลูกน้องเมื่อเห็นดังนั้นก็พากันแตกตื่นวิ่งหนีไปทันที

หยวนเหว่ยนั่งมองฉีหลินอยู่ที่โต๊ะ ท่าทีสงบนิ่งก่อนหน้านี้หายไปโดยสิ้นเชิง

ฉีหลินเปลี่ยนไปถือปืนด้วยมือขวาก่อนจะใช้ข้างที่เหลือควานเอากระสุนที่ฝังอยู่หน้าท้องฝั่งซ้ายออก “ตุบ!” เขาวางมันลงบนโต๊ะอาหารพลางถามเสียงเรียบว่า “ยังมีลูกน้องอีกไหม?”

หยวนเหว่ยได้แต่นั่งอึ้ง

“ถ้าไม่มี…ก็โทรหาไอ้เสือบอกให้มันส่งน้องสาวฉันมาที่นี่ภายในสิบนาที!” หลังพูดจบ ฉีหลินก็ใช้มือซ้ายเปื้อนเลือดหยิบขวดไวน์ขาวขึ้น “อึกๆ” เขากระดกน้ำเมาไปสามอึกก่อนจะสบถพร้อมถอนหายใจ “แม่ง…ยิงเป้าฝึกยังยากกว่ายิงคนจริงตั้งเยอะ”

ในแววตาของฉีหลินตอนนี้ไม่เหลือความขมขื่นอีกแล้ว มีเพียงความสับสนและมุ่งร้ายเท่านั้น

หลายนาทีต่อมา

ไอ้เสือลากฉียู่ขึ้นรถพร้อมกับพูดโทรศัพท์ไปด้วย “ไอ้โง่ฉีหลินมันไปที่บ้านพักแล้วจับอาของนายเป็นตัวประกันไว้”

“เขาโทรหาพี่เหรอ?”

“เออ ฉันกำลังพาคนไปที่นั่น”

“พี่ทำอะไรลงไปมันถึงกล้าทำขนาดนั้น?” หยวนเค่อถามอย่างร้อนรน

“ก็ไม่ได้ทำอะไร” ไอ้เสือตอบ “ฉันก็แค่คุยกับมันปกติ”

“แม่งเอ๊ย! รีบเลยเดี๋ยวฉันตามไป” หยวนเค่อไม่มีอารมณ์จะเถียง เขารีบตัดสายและออกจากห้องทำงานทันที

รถไอ้เสือและพรรคพวกอีกสามคันแล่นไปตามถนนมุ่งหน้าสู่บ้านพักสามชั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลด้วยความเร็วสูง

ขณะเดียวกัน บนชั้นสองของบ้านพัก

ฉีหลินเติมลูกกระสุนก่อนชี้ปืนไปที่ชายร่างผอม ใบหน้าแดงจากแอลกอฮอล์เอ่ยถาม “รู้จักฉันไหม?”

ชายร่างผอมชะงักกับคำถามที่ได้ยิน

“จำใส่กะโหลกไว้…ฉันชื่อฉีหลิน”

“ปัง ปัง!”

สิ้นเสียงปืน เลือดจากอกคนชายร่างผอมก็กระฉูด เขาล้มลงด้วยสีหน้างุนงง

หยวนเหว่ยหันมองคราบเลือดและศพรอบตัว ท้องไส้เริ่มปั่นป่วนจนสำรอกสิ่งที่กินออกมาจนหมด

สิบนาทีต่อมา

รถยนต์สี่คันพุ่งเข้ามาจอดหน้าบ้านพักสามชั้น ไอ้เสือลงจากรถพร้อมด้วยปืน FMG ที่เก็บไว้ใต้เบาะนั่ง “บุกเข้าไป! วันนี้ฉันต้องได้ถลกหนังไอ้โง่นั่น!”

“เฮ!”

คนทั้งยี่สิบคนถือปืนลงจากรถวิ่งเข้าบ้านตามคำสั่ง

“กริ๊ง กริ๊ง!”

ทันใดนั้น โทรศัพท์ไอ้เสือก็ดังขึ้น เมื่อเห็นหมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอเขาก็รับสายและกระแทกเสียงใส่ “ฉันมาถึงแล้ว รอก่อนเถอะ!”

“ฉันไม่ได้อยู่ในบ้าน” ฉีหลินตอบ

ไอ้เสือตกตะลึง

“บอกให้คนของแกเข้าไปในบ้านให้หมด แล้วสั่งพวกมันยืนอยู่ข้างหน้าต่างชั้นสาม” ฉีหลินกล่าวอย่างใจเย็น

“ไอ้นรก…”

“สามสิบวิ…ถ้าฉันไม่เห็นพวกมันบนนั้น ไอ้หยวนเหว่ยได้ลงนรกแน่”

“แกไม่อยากได้น้องสาวคืนแล้วรึไง?” ไอ้เสือขู่ขณะเดินไปที่รถ

“ยังไงฉันก็ต้องตายอยู่แล้ว จะกลัวไปทำไม?” ฉีหลินตอบเสียงแข็ง “ยิงเธอสิ ถ้าเธอตายหยวนเหว่ยก็ตายเหมือนกัน”

ไอ้เสือได้แต่ยืนอึ้ง

“เหลืออีกยี่สิบวิ” ฉีหลินกล่าว

ไอ้เสือตัดสินใจหันไปสั่งพรรคพวกในบ้านขณะคาสายโทรศัพท์อยู่ “พวกแกรีบขึ้นไปชั้นสามเดี๋ยวนี้!”

หลังงุนงงกับคำสั่งอยู่ครู่หนึ่ง ชายทั้งยี่สิบคนก็ถือปืนวิ่งขึ้นชั้นสามทันที

ฉีหลินมองทุกการกระทำผ่านตึกฝั่งตรงข้าม เมื่อพรรคพวกของไอ้เสือทั้งหมดไปรวมกันที่ชั้นสามแล้ว เขาก็ลากหยวนเหว่ยออกมา

“เสือ” หยวนเหว่ยเรียกเจ้าของชื่อเสียงแผ่ว

ไอ้เสือหันไปมองตามเสียงเรียกและเผชิญหน้ากับฉีหลิน

บริเวณข้างถนนฝั่งตรงข้าม ฉีหลินดึงคอหยวนเว่ยพร้อมกับชี้ปืนไปยังไอ้เสือก่อนพูดขึ้นว่า “มานี่”

ไอ้เสือลังเลไม่นานก่อนเดินไปเปิดประตูรถและพยายามลากฉียู่ออกมา

“ปัง!”

เสียงปืนดังขึ้น

“อ๊าก…!”

หยวนเหว่ยถูกยิงเข้าที่หน้าท้อง เขาทรุดเข่าลงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด “เสืออย่าขยับ…อย่าขยับเด็ดขาด! มันจะฆ่าทุกคนที่อยู่ในบ้าน!”

ไอ้เสือเลือดขึ้นหน้า เขานิ่งตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนปิดประตูรถ

“ฉันบอกให้มานี่” ฉีหลินออกคำสั่งอีกรอบ

ไอ้เสือรวบรวมความกล้าก่อนเดินไปกลางถนนพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ฉีหลิน…ฉันยอมแพ้ ฉันยอมแล้วโอเคไหม? ปล่อยพี่เหว่ยแล้วฉันจะไปกับนาย…ฉันจะพานายออกจากซ่งเจียงเอง ตกลงไหม?”

ฉีหลินมองไอ้เสือโดยไม่พูดอะไร

“ที่จริงไม่จำเป็นต้องลักพาตัวพี่เหว่ยและเอาชีวิตมาเสี่ยงมาแบบนี้ ทุกอย่างตกลงกันได้…นายว่าไง?” ไอ้เสือพูดอย่างกระวนกระวายขณะเดินไปข้างหน้า

“ปัง!”

ทันใดนั้นฉีหลินยิงปืนใส่แขนขวาของไอ้เสือจนปืน FMG ที่ซ่อนไว้ข้างหลังร่วงลงกับพื้น

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!” ไอ้เสือแผดเสียงลั่นพลางเอื้อมมือหยิบปืนพกอีกกระบอกด้านหลัง

“ยังคิดจะขยับอีกเหรอ? ถ้าขืนยังขยับอีกนิดเดียวฉันระเบิดสมองแกแน่!” ฉีหลินตะโกนขู่ด้วยความเกรี้ยวกราด

ไอ้เสือหยุดนิ่งอยู่กับที่พลางกำหมัดแน่นและคำรามลั่น “มึงต้องการอะไรกันแน่?! อยากให้แม่กับน้องมึงตายนักเหรอ? อยากมีชีวิตบัดซบแบบนั้นรึไง?!”

“มีชีวิต? ฉันเคยได้ใช้ชีวิตเองด้วยเหรอ?” ฉีหลินปล่อยหยวนเหว่ยที่ถูกยิงก่อนเดินไปหาไอ้เสือ “ฉันเคยคุกเข่ายอมให้พวกแกกดขี่อย่างกับหมา แค่นั้นยังไม่พอใจอีกเหรอ? ก็เอาสิ! ในเมื่อพวกแกไม่ยอมปล่อยฉันไป ฉันก็จะใช้วิธีตัวเอง! ฉันแค่อยากมีชีวิตเหมือนคนอื่น อยากมีอำนาจอยู่เหนือใคร เพราะงั้น…ฉันจะเริ่มจากการฆ่าแกทิ้ง และเอาคืนทุกสิ่งที่ถูกแย่งไป”

“ไอ้โรคจิต…”

“ปัง ปัง!”

ฉีหลินเหนี่ยวไกสองครั้ง ไอ้เสือพยายามลุกหนีแต่ก็ถูกยิงร่างทะลุซะก่อน เขาล้มลงบนพื้นและพยายามดิ้นรนลากตัวเองไปตามถนนหิมะจนเลือดไหลเป็นทาง

หยวนเหว่ยที่อยู่อีกด้านพยายามหมอบคลานและคร่ำครวญไปกับพื้นอย่างสิ้นหวัง “ลูกพี่…ลูกพี่ฉีหลิน ฉันขอร้อง…ฉันจะให้ทุกอย่างที่มี ฉันเอาหัวเป็นประกันเลยว่าจะพาลูกพี่หนีออกจากที่นี่อย่างปลอดภัย…”

“ไปขอร้องยมบาลเถอะ ขอร้องท่านซ่ะว่าอย่าให้ฉีหลินคนนี้รอดไปได้ เพราะถ้ากลับไปตั้งหลักได้เมื่อไร…ฉันจะไล่ล่าตระกูลหยวนในซ่งเจียงไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” ฉีหลินแผดเสียงลั่นด้วยความสิ้นหวังและแค้นเคืองพร้อมกับเหนี่ยวไกอีกครั้ง

“ปัง!”

ควันจากปลายกระบอกปืนลอยฟุ้งในอากาศ หยวนเหว่ยนอนจมกองเลือดสิ้นใจอยู่กลางถนน

หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฉีหลินก็กลับขึ้นรถและขับออกไป

เวลาต่อมา

ฉียู่ก้มหน้าน้ำตาปริ่มและพูดเสียงสั่นว่า “พี่…ฉันกับแม่น่าจะตายไปซะ นอกจากช่วยอะไรไม่ได้แล้วยังเป็นภาระให้พี่อีก ขอโทษนะ…ขอโทษจริงๆ”

“ฉียู่…ถ้าไม่มีเธอ ฉันก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรเหมือนกัน…” ดวงตาฉีหลินเริ่มพร่ามัว เลือดจากท้องยังไม่หยุดไหลจนใบหน้าซีดเผือด

“ตุบ!” ฉีหลินวูบหัวฟาดพวงมาลัย

รถยนต์เสียการควบคุมไถลไปชนกับตรอกข้างทาง

ฉียู่ส่ายหัวตั้งสติก่อนพยายามตะเกียกตะกายไปหาร่างของฉีหลิน “พี่คะ เป็นอะไรหรือเปล่า? ตอบสิ!”

“ทะ…โทรหาเพื่อนพี่…เขาช่วยพาเธอกับแม่หนีได้…” ฉียู่ปิดตาให้ฉีหลินหลังเขาฝืนแรงพูดจนจบ

ไม่นานหลังจากนั้น

แมวเฒ่าก็รับโทรศัพท์ “ว่าไง?”

………………………………….

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Status: Ongoing

โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย…

‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง

ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้…

ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท