Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 46

ตอนที่ 46

ตอนที่ 46 โฉมงามกับเจ้าชายเกย์

คืนต่อมา

ฉินอวี่เดินกลับบ้านตามลำพังหลังจากไปหาดามินและหม่าเหลาเอ๋อในคุก เขาตั้งใจจะไปเก็บเสื้อผ้าและไปนอนค้างกับแมวเฒ่า

ขณะที่กำลังเก็บเสื้อผ้า ฉินอวี่สังเกตเห็นว่าหลินเหนียนเล่ยเพิ่งกลับบ้าน เขาจึงเปิดประตูและตะโกนออกไปว่า “กลับมาแล้วเหรอยายเซ่อหลิน?”

“ให้ตายเถอะ” หลินเหนียนเล่ยสบถ “ไอ้เกย์อุบาทว์”

“ฮ่าๆ วันนี้กลับบ้านเร็วจังนะ”

“ฉันทำงานเสร็จเร็วน่ะ” หลินเหนียนเล่ยตอบขณะเดินมาทางบ้านฉินอวี่ “แฟนนายอยู่ไหนล่ะ เลิกกันแล้วเหรอ?”

“กลับบ้านเมียไปแล้ว” ฉินอวี่พูดหยอกล้อเพราะขี้เกียจอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น

“บ้านเมีย? ไม่ใช่ว่านายเป็นเมียเขาเหรอ?”

“นี่ไม่คิดจะเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วใช่ไหม?” ฉินอวี่พ่นลมหายใจ “ทำไมเธอถึงชอบสอดเรื่องชาวบ้านนักนะ?”

“นายนั่นแหละที่ชอบหาอะไรมาสอดก้นตัวเอง!”

“ยายโรคจิต!” ฉินอวี่โต้ตอบ

“เอาล่ะๆ ฉันไม่แกล้งแล้ว” หลินเหนียนเล่ยตอบพร้อมบิดขี้เกียจก่อนถามด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันเพิ่งนึกออก คราวก่อนที่ฉันช่วยนายไป…ไม่คิดจะเลี้ยงข้าวตอบแทนสักมื้อเลยไง?”

ต้องขอบคุณหลินเหนียนเล่ย เพราะเมื่อนานมาแล้วฉินอวี่เคยไปช่วยเธอตอนมีปัญหากับไอ้เสือ จึงเป็นสาเหตุที่ตระกูลหม่าหาโกดังเก็บสินค้าของตระกูลหยวนพบ

รูปที่เธอถ่ายไว้กลายเป็นเบาะแสสำคัญในการแกะรอย ช่วยให้ฉินอวี่ทำงานง่ายขึ้นอย่างมาก

“อยากกินอะไรล่ะ?” ฉินอวี่ถาม

“อาหารญี่ปุ่น!” หลินเหนียนเล่ยตอบอย่างจริงจัง

ฉินอวี่เย้ยหยัน “อาหารญี่ปุ่นกับผีน่ะสิ…ลำพังแค่แซลมอนจานเดียวก็แพงกว่าเงินเดือนฉันตั้งกี่เท่า! อยากกินของแพงก็ไปคุ้ยขยะหาเอาเถอะ!”

“ลองว่าฉันอีกครั้งสิ! ถึงเราจะสนิทกันก็ไม่ได้หมายความว่านายจะพูดอะไรกับฉันก็ได้นะ!”

“ไว้จะตอบแทนเป็นอย่างอื่นแล้วกัน”

“อะไร?”

“ไปกัน…ถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง” ฉินอวี่วางถ้วยชาก่อนหยิบกระเป๋าสัมภาระ

หลินเหนียนเล่ยถามอย่างสงสัย “นายจะขนของพะรุงพะรังไปไหน? จะย้ายออกรึไง?”

“ฉันว่าจะไปอยู่ที่อื่นสักพักน่ะ” ฉินอวี่ขี้เกียจอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงรั้งแขนหลินเหนียนเล่ยพร้อมพูดว่า “ไปกัน!”

หนุ่มหล่อกับสาวงามเดินเคียงคู่กันไปตามทางเท้าที่ทรุดโทรม ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีกว่าจะถึงตรอกแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างสำนักงานตำรวจ

หลินเหนียนเล่ยพ่นลมหายใจอุ่นใส่มือ ใบหน้าเริ่มแดงเพราะอากาศหนาวจัด เธอมองร้านค้าเบื้องหน้าก่อนพูดประชดขึ้น “นายพาฉันมาเลี้ยงขอบคุณที่ร้านโกโรโกโสแบบนี้เนี่ยนะ?”

“อร่อยกว่าร้านหรูแล้วกัน”

“แหวะ!” หลินเหนียนเล่ยโต้กลับ “นายมันขี้งก”

ฉินอวี่ลากสัมภาระไปหน้าร้านก่อนเลิกผ้าม่านขึ้นพร้อมเอ่ยชวน “เข้ามาสิ”

จู้เหว่ยเคยพาฉินอวี่มาร้านนี้เมื่อนานมาแล้ว เมนูพิเศษคือบะหมี่ปลาน้ำจืดซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารพื้นบ้านของซ่งเจียง เนื่องจากตอนเหนือของเมืองมีแม่น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งยาวหลายร้อยเมตรจนเลยเขตพิเศษที่เก้าออกไป ทำให้ชาวประมงแถบนั้นต้องเจาะรูน้ำแข็งที่แม่น้ำเพื่อตกปลามาประทังชีวิต

หลังวันสิ้นโลก…พื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นที่รกร้าง ทว่าโชคดีที่เมืองซ่งเจียงไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง ดังนั้นสภาพแวดล้อมจึงไม่แย่เท่าที่อื่น ไม่งั้นคงไม่สามารถก่อตั้งเป็นเขตพิเศษที่เก้าได้

ร้านนี้ขายแค่อาหารประเภทกับข้าวและอาหารจานเดียวเท่านั้น หลังจากฉินอวี่และหลินเหนียนเล่ยนั่งได้ไม่นาน เจ้าของร้านก็ยกหม้อเหล็กขนาดใหญ่กับเตาถ่านมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะจุดไฟต้มอาหารในหม้อ เนื่องจากก๊าซธรรมชาติมีราคาแพงมาก ทำให้ร้านอาหารเล็กๆ ซึ่งมีงบน้อยใช้เตาแก๊สไม่ได้

หลินเหนียนเล่ยทัดผมไว้ข้างหูพลางจ้องเม็ดพริก ปลาน้ำจืด และเส้นบะหมี่ทำมือในหม้อ เธอสูดดมกลิ่นหอมพร้อมรอยยิ้มที่เบ่งบานบนใบหน้าก่อนพูดขึ้น “โห…น่ากินเหมือนกันนะ”

“หม้อหนึ่งไม่ใช่ถูกๆ รู้ไหม?” ฉินอวี่กลอกตาขณะกล่าว “หม้อละตั้งสองร้อยดอลลาร์!”

“รู้ค่ะว่าขี้งก ไม่ต้องพูดมาก” หลินเหนียนเล่ยตอบพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาเข้าปาก “อืม…ละมุนที่สุด!”

“ใช่ไหมล่ะ อร่อยสมราคา” ฉินอวี่คีบบะหมี่มาจากหม้อขึ้นมาสวาปามอย่างหิวกระหาย

“ตายอดตายอยากมาจากไหนเนี่ย ไม่กลัวมันลวกลิ้นไง?” หลินเหนียนเล่ยบ่น “ช่วยกินให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้เหรอ?”

“ในเมื่อฉันเป็นเกย์ ฉันจะทำตัวสุภาพให้เธอชอบไปทำไม?” ฉินอวี่พูดพลางยื่นหน้าเข้าใกล้หลินเหนียนเล่ย

หลินเหนียนเล่ยหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินดังนั้น “นี่…ที่จริงนายชอบฉันใช่ไหมล่ะ? ไม่งั้นนายคงไม่ช่วยฉันจากพวกเสือคราวก่อนหรอก”

“ใช่ ผู้หญิงเพี้ยนๆ แบบเธอนี่แหละเทสฉันเลย”

“ตาบ้า!”

“ที่ฉันช่วยเพราะฉันใจดีหรอก” ฉินอวี่พูดเสริม

“แหวะ” หลินเหนียนเล่ยมองฉินอวี่ก่อนหัวเราะ “ถ้าไม่ได้คิดอะไรจริง…เราก็ยังไปเที่ยวด้วยกันได้อยู่ ไว้ฉันจะสอนวิธีมัดใจสาวให้นายเอง”

เมื่อฟังหลินเหนียนเล่ยพูดจบ ฉินอวี่ก็เงยหน้าขึ้นถามว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ฉันสงสัย”

“เรื่องอะไรเหรอ?”

“คนที่ลักพาตัวเธอไปใช่ตระกูลหยวนหรือเปล่า?” ฉินอวี่เอ่ยถาม

หลินเหนียนเล่ยผงะ “นายรู้ได้ไง?”

“ฉันแค่เดาน่ะ…หยวนเค่อเป็นคนทำคดีลักพาตัว และมีข่าวลือว่าหัวหน้าหน่วยสามถูกหยวนเค่อตำหนิเพราะทำไม่สำเร็จ” ฉินอวี่ตอบตามจริง

“ฉันรู้แค่มัตสึชิตะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา”

“ทำไมหยวนเค่อถึงต้องลักพาตัวเธอด้วย? คงไม่ใช่เรียกค่าไถ่ เพราะตอนนี้เขาก็มีกินมีใช้อยู่แล้ว” ฉินอวี่อดไม่ได้ที่จะถาม

หลินเหนียนเล่ยลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ช่างมันเถอะ ถ้าเธอลำบากใจไม่ต้องตอบก็ได้” ฉินอวี่เปลี่ยนเรื่องคุยทันทีที่รู้ว่าหลินเหนียนเล่ยลำบากใจ

หลินเหนียนเล่ยจิบน้ำเปล่าก่อนเงียบไปครู่หนึ่ง “ที่จริงฉันก็ไม่ได้ตั้งใตจะปกปิดอะไรหรอก…หยวนหัวจับตัวฉันไปก็เพราะลุงของฉันเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทใหญ่ในเฟิงเป่ย หยวนหัวร้องขอบางอย่างจากลุงแต่เขาไม่เห็นด้วย หยวนหัวจึงคิดแผนการนี้ขึ้นมาเพราะต้องการโทษมัตสึชิตะว่าเป็นคนจับตัวฉันเพื่อเรียกค่าไถ่ ก่อนจะแสดงละครว่าเป็นคนที่ช่วยฉันออกมา…เพื่อให้ลุงของฉันติดหนี้บุญคุณและยอมทำตามที่ตัวเองต้องการ”

“อย่างนี้นี่เอง…” ฉินอวี่พยักหน้า “เป็นเรื่องของลุงเธอและหยวนหัว แล้วเกี่ยวอะไรกับเธอ? ลุงไม่มีลูกเหรอ?”

“เพราะฉันย้ายมาทำงานที่ซ่งเจียง แถมลุงยังเป็นคนเลี้ยงฉันมาเหมือนลูกคนหนึ่งน่ะสิ…” หลินเหนียนเล่ยยิ้ม “ลูกคนอื่นๆ ของลุงเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ดังนั้นหยวนหัวจึงไม่กล้าแตะต้องพวกเขา เป้าหมายเลยมาตกที่ฉันแทน”

“อ๋อ…เข้าใจแล้ว”

“เฮ้อ…เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ มาคุยเรื่องของนายดีกว่า” หลินเหนียนเล่ยถอดเสื้อคลุมออกพลางมองไปยังฉินอวี่ “นายมาที่เขตพิเศษที่เก้าคนเดียวเหรอ? ครอบครัวไปไหนหมด?”

ฉินอวี่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถาม

“อะ…อะไร?” หลินเหนียนเล่ยรู้สึกได้ว่าฉินอวี่มีท่าทีแปลกไป เธอจึงถามด้วยความประหม่า

“ฉันไม่มีครอบครัวหรอก ฉัน…ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่ก่อนที่เขตพิเศษที่เก้าจะก่อตั้ง บางคนบอกว่าพวกเขาตายไปแล้ว บ้างก็บอกว่าพวกเขาหนีฉันไปพร้อมกับน้องชาย…” ฉินอวี่กล่าวด้วยสายตาสลด “ที่จริงก็มีคนบอกฉันอีกหลายอย่างเหมือนกัน แต่มันนานมาแล้วฉันเลยจำไม่ค่อยได้”

หลินเหนียนเล่ยตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะรีบพูดขึ้น “ขอโทษนะ ฉันคิดว่า…”

“ไม่เป็นไร…ฉันชินแล้ว” ฉิวอวี่ตอบพลางโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจ

หลังจากนั้นบรรยากาศรอบข้างก็อึดอัดขึ้นเล็กน้อย ทั้งคู่จึงเอาแต่ก้มหน้ากินอาหารเงียบๆ

ราวยี่สิบนาทีต่อมา…ทั้งสองก็เดินออกจากร้าน

อุณหภูมิข้างนอกเย็นลง เพราะหิมะเริ่มตกอีกครั้ง

หลินเหนียนเล่ยตัวสั่นพลางเป่าลมอุ่นใส่ฝ่ามือเพื่อคลายหนาว

“สติเลอะเลือนรึไง? ใส่เสื้อผ้าบางทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้ อยากหนาวตายเหรอ?” ฉินอวี่กลอกตาพูดก่อนหยิบถุงมือหนังแพะคู่หนึ่งออกจากกระเป๋า “เอาไปสวมซะ”

หลินเหนียนเล่ยรับถุงมือมาก่อนจะมองฉินอวี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ขี้บ่นเหมือนกันนะเรา”

“สังเกตสภาพอากาศกับเอาใจผู้หญิง มันคือเรื่องพื้นฐานที่ผู้ชายต้องรู้อยู่แล้ว…” ฉินอวี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“เดี๋ยว! นี่นายคิดจะจีบฉันด้วยถุงมือหนังแกะงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะย่ะ!” หลินเหนียนเล่ยตอกกลับ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังสวมถุงมือก่อนจะอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “โห…อุ่นจัง”

ฉินอวี่ไม่ตอบโต้อะไรนอกจากเดินไปด้านหน้าอย่างช้าๆ

ส่วนหลินเหนียนเล่ยยืนอยู่กับที่พลางเอื้อมมือไปสัมผัสน้ำแข็งที่อยู่ขอบหน้าต่างร้านค้าริมถนนก่อนจะสบถขึ้นอย่างฉับพลัน “คนงี่เง่า!”

“ว่าไงนะ?” ฉินอวี่หันมาถาม

“นายควรใช้ชีวิตให้มีความสุขกว่านี้สิ อดีตก็คืออดีต…มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ต่อให้โลกจะห่วยแค่ไหน เราก็ต้องเชื่อมั่นว่าวันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้” หลินเหนียนเล่ยหยุดยืนอยู่กลางตรอกที่เต็มไปด้วยหิมะและพูดแนะนำฉินอวี่ “อย่างน้อยตอนนี้นายก็มีสาวสวยแบบฉันอยู่ข้างๆ อย่าได้ทำหน้าซังกะตายแบบนั้นอีกเข้าใจไหม?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉินอวี่จึงตอบด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะ สาวสวย…”

ใต้แสงไฟสลัว ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนหลินเหนียนเล่ยจะรู้สึกเขินอาย และรีบเดินออกไป “จ้องอะไรยะ? พาฉันกลับบ้านสิ”

“ไม่ติดอะไรอยู่แล้ว ถ้าเธอตอบแทนฉันด้วยค่ำคืนอันแสนโรแมนติกน่ะนะ” ฉินอวี่พูดขณะเดินตามหลังหลินเหนียนเล่ย

“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะฟ้องแฟนนายว่านายนอกใจเขา…”

ในมุมมืดของถนนเถ้าธุลี

ชายหนุ่มสองสามคนที่อยู่ในสังกัดเฒ่าหม่า กำลังพูดคุยกันอยู่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง

ระยะทางไม่ไกลมากนัก มีชายรัสเซียหัวโล้นพร้อมลูกน้องสี่คนกำลังเดินมา

“ว่าไงสาวๆ?” ชายชาวรัสเซียถามก่อนจะเรอออกมา

ชายหนุ่มคนหนึ่งมองไปที่เขาก่อนถามว่า “มากันแค่นี้เองเหรอ?”

“แหกตาดูสิไอ้โง่” ชายชาวรัสเซียขึ้นเสียงใส่อย่างเกรี้ยวกราด

“แกคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าขึ้นเสียงใส่ฉัน?”

“ผัวะ!”

ชายชาวรัสเซียปล่อยหมัดใส่ชายหนุ่มจนเซถอยหลังล้มกองกับพื้น

“จะเอาใช่ไหมไอ้ชาติหมา?” เพื่อนของชายหนุ่มเข้าไปประคองเพื่อนของตนให้ลุกขึ้นยืนพลางต้องเขม็งไปยังชายชาวรัสเซีย “กล้าดียังไงถึงมาหาเรื่องในถิ่นกู!”

ชายชาวรัสเซียผิวปากส่งสัญญาณก่อนหันไปตะโกนว่า “เฮ้ย! ไอ้พวกตระกูลหม่าอยากมีเรื่องว่ะ!”

ทันใดนั้นชายฉกรรจ์สี่สิบก็คนเดินออกมาจากตรอก พร้อมท่อเหล็กและมีดในมือ

ความขัดแย้งครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นภายในค่ำคืนนี้

………………………………….

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Status: Ongoing

โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย…

‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง

ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้…

ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท