Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 33

ตอนที่ 33

ตอนที่ 33 ชีวิตที่พังทลาย

หยวนเค่อสั่งให้ชายแปลกหน้าสองคนไปส่งฉีหลินที่บ้าน แทนที่จะเป็นตำรวจที่คุ้นเคย

ในซอยแห่งหนึ่ง ทันทีที่รถหยุด ฉีหลินหันไปกล่าวกับชายทั้งสองว่า “พวกนายไม่ต้องตามไป รออยู่ที่นี่…ถ้าเจอของแล้วฉันจะกลับมา”

“โอเค ไปเถอะ” หนึ่งในนั้นตอบกลับพร้อมพยักหน้า

ฉีหลินเปิดประตูลงจากรถ ก่อนจะเดินต่ออีกสองร้อยเมตรจนกระทั่งถึงบ้านของตน เขาพยายามเปิดประตูก่อนจะพบว่ามันถูกล็อกอยู่

“เปิดประตูหน่อย!” ฉีหลินตะโกนเรียก

“รอเดี๋ยวนะคะ” เบลล่ารีบตอบกลับ

“เร็วๆ!” ฉีหลินเร่งเบลล่า

ไม่นาน เบลล่าก็สวมเสื้อคลุมออกมาเปิดประตูให้ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง “ทะ…ทำไมวันนี้กลับมาเร็วจังคะ? คิดว่าจะทำงานล่วงเวลาซะอีก”

ฉีหลินไม่พร้อมจะอธิบายอะไรทั้งนั้น เขารีบเดินเข้าบ้านพร้อมกล่าวว่า “กระเป๋าสีดำที่ฉันให้เมื่อวันก่อนอยู่ไหน?”

เบลล่าไม่เข้าใจกับสิ่งที่ฉีหลินถาม “กระเป๋าสีดำเหรอคะ?”

“กระเป๋าที่ให้พร้อมกับเงินใช้จ่ายในบ้านไง!” ฉีหลินตอบกลับ

เขายังนึกเสียใจที่ทิ้งขว้างเงินกับกระเป๋าที่อาหลงให้ในตอนนั้น แต่คำพูดอาหลงก็ไม่ชัดเจนเช่นกัน ทำให้เขาคิดว่าเบอร์โทรศัพท์ในกระเป๋าที่ให้เป็นเบอร์สำหรับติดต่ออาหลงหากเกิดปัญหาหรือต้องการเงิน

ฉีหลินไม่ได้ฉุกคิดเลยสักนิดว่าเบอร์ติดต่อจะเชื่อมโยงกับพ่อค้ายารายใหญ่ จึงไม่ได้ซ่อนมันไว้ให้ดี แต่กลับยกให้เบลล่าไปพร้อมกับเงินค่าเลี้ยงดู เขาไว้ใจให้เธอเป็นคนจัดการทุกอย่าง

เบลล่าตอบกลับขณะแต่งตัวให้เรียบร้อย “ฉันจำได้ว่าเอาเงินออกมา…แต่จำไม่ได้ว่าเอากระเป๋าเก่าๆ นั่นไปวางไว้ไหน…”

“เคยจำอะไรได้บ้างไหมเนี่ย?!” ฉีหลินสติแตกจึงตะคอกใส่เบลล่าด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยใช้มาก่อน เขาจ้องหน้าหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแผดเสียงลั่นอย่างโมโหว่า “รีบไปหาเร็ว! นึกให้ออกว่าเห็นมันครั้งสุดท้ายที่ไหน!”

“ค่ะ ฉันจะรีบหา”

“เดี๋ยวฉันช่วย!”

“คุณไปพักเถอะค่ะ ฉะ…ฉันจะหาเอง แต่ขอคิดก่อนว่าเอาวางไว้ไหน…” เบลล่าพูดตะกุกตะกักด้วยความกลัว หลังสวมเสื้อผ้าเสร็จก็รีบค้นตู้ที่อยู่ข้างหน้าต่างทันที

“กระเป๋านั่นสำคัญมาก จะให้มันหายไม่ได้!” ฉีหลินเริ่มกระวนกระวายเข้ารื้อข้าวของในห้องเหมือนคนเสียสติ

ขณะนั่งรื้อของอยู่ เบลล่าก็เริ่มแสดงท่าทีกังวลใจ เมื่อฉีหลินค้นรอบห้องกระทั่งไปหยุดอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า

ด้วยความร้อนรนเธอจึงรีบโกหกขึ้นว่า “ฉะ…ฉันจำได้แล้วค่ะ! ฉันหิ้วกระเป๋าไปซื้อของข้างนอกเมื่อวันก่อน และบังเอิญทำมันสะ…สกปรก ก็เลยโยนทิ้งไปแล้ว…”

ฉีหลินที่กำลังจะเปิดตู้เสื้อผ้าชะงักทันทีที่ได้ยินเบลล่าพูด เขาจึงตะคอกด้วยความโมโห “ว่าไงนะ? เธอโยนมันทิ้งเหรอ?!”

เบลล่าตกตะลึงทำตัวไม่ถูกทันทีที่ฉีหลินกระชากประตูตู้จนเปิดออก

เมื่อเห็นท่าทางมีพิรุธของเธอ ฉีหลินจึงหันมองด้านในตู้เสื้อผ้าก่อนจะอึ้งอยู่กับที่

ผู้ชายคนหนึ่งยืนเปลือยอยู่ในตู้ ทั้งตัวมีเพียงเศษผ้าสองชิ้นเท่านั้นที่ปิดส่วนสำคัญอยู่ เขากะพริบตามองฉีหลินด้วยความตกตะลึง

ฉีหลินหน้าซีด ผงะถอยหลังพร้อมกับหันมองเบลล่าด้วยสีหน้างุนงง

“คะ…คือฉัน…” เบลล่ากระวนกระวาย ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความกลัว

“แม่งเอ๊ย! นายควรเข้าเวรอยู่สำนักงานไม่ใช่เหรอ จะกลับมาหากระเป๋าอะไรนั่นทำไมเนี่ย?” น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากชายที่อยู่ในตู้ ร่างหนาเดินเปลือยออกมาพร้อมถามว่า “ตกใจเหรอ?”

ฉีหลินกำหมัดแน่น ความโกรธกำลังพลุ่งพล่านจนแทบควบคุมไม่อยู่ ทั้งความแค้นและอัปยศอดสูที่ถาโถมจนต้องระเบิดออก เขาหันไปหาเบลล่าพร้อมเตะเข้าหน้าท้องเธออย่างแรง “สำส่อน! กูทำงานเสี่ยงชีวิตแทบตายแต่มึงนอนเล่นชู้อยู่บ้านงั้นเหรอ?!”

ชายชู้ก้าวออกจากตู้เสื้อผ้า ใต้แสงสลัวของโคมไฟเผยให้เห็นใบหน้าของคนที่บังเอิญเจอกันที่งานแต่งของฉีหลิน…ไอ้เสือ

ไอ้เสือเดินไปนั่งที่เก้าอี้พร้อมแต่งตัวอย่างไม่เกรงกลัวความผิด “ไอ้พวกตำรวจเฮงซวย รับเงินฉันไปแล้วทำไมไม่ทำงานให้เรียบร้อยวะ! พวกมันไม่ได้เพิ่มกะเข้าเวรให้นายเหรอ?”

ทางฝั่งฉีหลินที่สติขาดผึง เขากระชากผมเบลล่าไปกระแทกเธอกับตู้และทุบตีอย่างแรง

“ตุบ!”

ดวงตาของฉีหลินรื้นไปด้วยน้ำตาขณะเตะเบลล่า เขาตะคอกอย่างเสียใจว่า “กูให้อาหาร เสื้อผ้า และตัวตนถูกกฎหมายในซ่งเจียง! ช่วยทำให้มึงเป็นผู้เป็นคน…แต่มึงตอบแทนด้วยการหักหลังกู? แต่งงานได้ไม่กี่วันก็เผยสันดานแล้วเหรอ?!”

“เฮ้ยๆ! ทำเกินไปแล้วนะ นายจะทำร้ายเขาทำไม?!” ไอ้เสือเริ่มฉุนเฉียว

ฉีหลินยิ่งเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้ยินไอ้เสือพูด เขาเปิดประตูออกไปคว้าพลั่วเหล็กด้านนอกมา

“ถ้ากล้าเอาพลั่วนั่นฟาดฉันก็เอาสิ! เก่งมากไม่ใช่รึไง? หือ?”

ไอ้เสือท้าด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะสวมเสื้อโค้ตก่อนจะเดินไปที่ประตูพร้อมตะคอกเสียงดังว่า “รออะไร? จะฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ? คนปอดแหกอย่างแกกล้ารึเปล่า?”

“ไอ้นรก!” ฉีหลินคำรามลั่นพลันยกพลั่วหมายจะฟาดลงกลางหัวไอ้เสือ

“นะ…นั่นพี่หรือเปล่า? กลับมาแล้วเหรอคะ?”

ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ตั้งใจก็มีเสียงเรียกจากห้องขัดขึ้นเสียก่อน น้องสาวตาบอดของฉีหลินสวมเสื้อโค้ตเดินมาพร้อมกับไม้เท้าในมือ “ทำไมถึงเสียงดังกันจัง? แม่ตกใจตื่นเลยบอกให้หนูมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะค่ะ”

ฉีหลินมองน้องสาวตัวน้อยของตน พลันอารมณ์เดือดพล่านหายไปในพริบตา มือที่จับพลั่วอยู่เริ่มสั่นสะท้านเมื่อเขาเหลือบมองไปที่ห้องของแม่

“โตๆ กันแล้ว เลิกทำตัวเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนสักที โอเคไหม?” ไอ้เสือรั้งข้อมือฉีหลินลงพร้อมพูดว่า “ใจเย็นๆ วางของเล่นนี่ลงก่อนแล้วค่อยคุยกัน”

ฉีหลินมองไอ้เสือด้วยแววตาโกรธแค้นและเกลียดชัง

“นายไม่อยากมีแม่กับน้องสาวแล้วเหรอ? คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะมีเรื่องกับฉัน?” ไอ้เสือหัวเราะเยาะขณะกระซิบกับฉีหลินก่อนจะกดแขนอีกฝ่ายลงและตะโกนไปที่ประตู “หนูกลับไปก่อนเถอะ ที่นี่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เดี๋ยวพวกพี่จะคุยกันต่อ”

ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่น้องสาวฉีหลินก็ยังคงยืนนิ่งไม่พูดจาอยู่หน้าประตู

ไอ้เสือจึงเดินไปปิดประตูห้อง ก่อนหันกลับมามองฉีหลิน “นายซื้อเบลล่ามาสี่พันห้าใช่ไหม?”

ฉีหลินกัดฟันเงียบ

“เอาแบบนี้…” ไอ้เสือล้วงเงินทั้งหมดในกระเป๋าออกโดยไม่นับพลางโยนลงหน้าตู้เสื้อผ้า “ฉันมีอยู่แปดพันดอลลาร์ ฉันให้นายหมดแลกกับเบลล่า อย่างที่เห็น…ฉันกับเธอเข้ากันได้ดี”

ฉีหลินจ้องหน้าไอ้เสือด้วยร่างสั่นเทาด้วยความโมโห

“ไม่พูดอะไรหน่อยรึไง?” ไอ้เสือจ้องหน้าพลางชี้นิ้วไปที่ฉีหลิน “แล้วท่าทางหยิ่งยโสนี่คืออะไร? หรือต้องให้ฉันอธิบายให้ฟังอีก? แกซื้อเบลล่ามาสี่พันห้า แล้วฉันซื้อต่อในราคาแปดพัน ไม่คิดว่าฉันใจดีหน่อยเหรอ? คนอย่างแกไม่มีปัญญาดูแลเธอด้วยซ้ำ ดีใจซะเถอะที่ฉันยอมจ่ายให้ขนาดนี้!”

ฉีหลินหันไปมองเบลล่าพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “แค่เพราะฉันแบกรับหลายอย่างได้…พวกแกเลยคิดว่าจะทำยังไงกับฉันก็ได้เหรอ?”

“หัดเจียมตัวซะบ้าง ฉันได้ยินมาจากคนครัวในสำนักงานตำรวจ…ว่าแกยอมซักถุงเท้าให้พวกมันเพื่อแลกกับเศษอาหารเหลือกลับบ้าน ถึงฉันจะไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่คิดรังแกใครเพื่อเพิ่มอีโก้ให้ตัวเองแบบนั้นหรอก!” ไอ้เสือถ่มน้ำลายลงพื้นพลางเปิดประตู “ถ้างั้นเอาเงินนั่นไปซะ ฉันจะไปรอเบลล่าอยู่ข้างนอก”

ไอ้เสือเดินออกจากห้องไปหลังพูดจบ

ฉีหลินยืนอึ้งอยู่หน้าประตูพักใหญ่ก่อนจะหันไปหาเบลล่าพร้อมพูดว่า “ฉันต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ชีวิตเราดีขึ้น…แต่สุดท้ายเธอก็ทำลายศักดิ์ศรีของฉันซะป่นปี้…”

เบลล่าก้มหน้าเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูด “แล้วที่คุณทำร้ายฉันถึงสามครั้งเมื่อกี้ เคยนึกถึงศักดิ์ศรีของฉันบ้างหรือเปล่าฉีหลิน?”

ฉีหลินถึงกับชะงักเมื่อได้ยินดังนั้น

“คุณจะนึกถึงความรู้สึกพวกนั้นทำไมกัน เราต่างก็ทำเพื่อความอยู่รอดไม่ใช่เหรอ? คุณคอยเลี้ยงดูแลกกับการที่ฉันนอนกับคุณ ซักเสื้อผ้า ทำอาหาร และจัดบ้านให้” เบลล่าพูดพร้อมก้าวเท้าออกไป “พี่เสือให้ฉันได้มากกว่าที่คุณมีทั้งชีวิต…ฉันอยากอยู่กับเขา ตอนที่โลกยังไม่แตก เราสองคนเข้าหากันด้วยการปกปิดตัวตนใต้หน้ากาก แต่สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือเรากล้าเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา…เท่านั้นเอง”

“ไปซะ…” ฉีหลินหลับตาชี้ไปที่ประตู

เบลล่าหยิบเสื้อโค้ตพลางรวบผมและเดินไปที่ประตูอย่างใจเย็น “คุณได้ประโยชน์จากฉันตั้งยี่สิบกว่าวัน แถมยังได้กำไรเพิ่มอีกสามพันห้า คุณไม่ได้ขาดทุนเลยสักนิด…”

“ฉันบอกให้ออกไป!” ฉีหลินตะคอกพร้อมกำหมัดแน่น

เบลล่าเปิดประตูและออกจากห้องไป

ไอ้เสือบ่นพึมพำเมื่อเห็นเบลล่าเดินออกมา “ให้ตายเถอะ…แปดพันดอลลาร์! ฉันเอาเงินที่หาได้ทั้งอาทิตย์มาลงกับเธอเลยนะ!”

“ฉันจะไปกับคุณค่ะ”

“แหงสิ! หรือเธอชอบไอ้หมาขี้เรื้อนนั่นมากกว่าฉัน?!” ไอ้เสือโอบเอวเบลล่าและเดินออกจากบ้านไปด้วยกัน

ในห้องนอน

ฉีหลินทรุดตัวลงพื้นเงยหน้ามองเพดานราวกับคนไร้ชีวิต

เขาไม่ใช่แมวเฒ่า…คนที่เป็นสีสันให้สำนักงานตำรวจ เขาไม่เคยได้รับการใส่ใจจากใครมาก่อน

และเขาก็ไม่ใช่ฉินอวี่ ที่จะสามารถกระโจนเข้าหาอันตรายได้อย่างกล้าหาญ เขาเป็นแค่คนขี้ขลาดที่ถูกสำนักงานกดขี่

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เขาก็ยังพยายามมองโลกในแง่ดี หวังเพียงดูแลแม่น้องสาวได้ก็พอแล้ว

กระทั่งวันนี้…ความหวังนั้นพังทลายไม่มีชิ้นดี ชีวิตอันขมขื่นซัดกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร่างกายแทบแหลกลาญ

ทั้งพี่ชายตาย ทั้งคนรักหักหลัง และยังต้องพัวพันกับคดีใหญ่อีก…

กระเป๋าสีดำที่จะช่วยพลิกผันชีวิตก็กลับอันตรธานไปด้วย…

เมื่อก่อน ฉีหลินมักจะหนีทุกครั้งที่ต้องประสบปัญหา แต่ตอนนี้เขาถอยมาจนสุดขอบหน้าผาแล้ว หากถอยอีกเพียงก้าวเดียว…ทุกอย่างคงดับสูญแน่นอน

ความรู้สึกผิด ความขุ่นเคือง และความอัปยศ ทุกอย่างประเดประดังเข้าใส่ฉีหลินจนเกินรับไหว

“แอ๊ด…”

ประตูเปิดออกพร้อมกับน้องสาวตัวน้อยที่เดินร้องไห้เข้ามา “พี่คะ…เธอเป็นคนไม่ดี ไม่มีค่าพอให้เสียใจหรอกค่ะ!”

ฉีหลินมองฉียู่ แววตาที่ขุ่นมัวเริ่มกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

‘นี่ฉันจะใช้ชีวิตและตายเหมือนหมาข้างถนนแบบนี้เหรอ?’

คำพูดนี้ก้องอยู่ในหัวฉีหลิน เขาค่อยๆ ชันตัวขึ้นพลางขยี้ตาพร้อมกล่าวว่า “กลับเข้าห้องแล้วไปช่วยแม่เก็บข้าวของซะ”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”

“ไม่ต้องถาม รีบไปจัดการเถอะ” ฉีหลินตัดสินใจเสี่ยงโชคกับชีวิตอีกครั้ง

ในเมื่อกระเป๋าใบนั้นหายไปแล้วคงหวังพึ่งหยวนเค่อไม่ได้ หรือต่อให้กลับไปสำนักงานตำรวจตอนนี้ เห็นทีว่าอาจไม่ได้ออกมาอีก

ทันทีที่ตัดสินใจได้ ฉีหลินก็กดโทรศัพท์หาแมวเฒ่าทันที

………………………………….

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Status: Ongoing

โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย…

‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง

ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้…

ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท